ไม่เห็นด้วยครับ ไม่มีหัวคิด งั่ง
เอาสมองเน่าๆไปปรับปรุงเนื้อหา/หลักสูตรที่เด็กต้องเรียนให้มันเข้าท่าดีกว่า จนป่านนี้เด็กยังต้องมานั่งท่องเรื่องที่"จะให้ท่องไปทำซากอะไรมิทราบ"อยู่เลย
พวกนักวิชาการที่นั่งบนหอคอยงาช้าง ดูงานที่ต่างประเทศแล้วกลัวไม่มีผลงานเสนอกันออกมา
สารพัดครับ เจอมาเยอะมากๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คนปฏิบัติเวียนหัว ปีนี้ให้ทำอย่างนี้ ปีหน้าไม่เอาแล้ว ทำแบบใหม่
นโยบายนี้น่าจะดีกับเด็กที่เรียนพิเศษกระมังครับ เอาเวลาไปเรียนพิเศษเยอะๆ โรงเรียนกวดวิชารับทรัพย์กันไป
อยากรู้นักพวกที่ทำงาน สพฐ. นี่มีสักกี่คนที่เคยลงมาสอน มาเจอสถานที่จริง มาคลุกคลีกับเด็กๆจริงๆจังๆ
นี่ก็คงไปเห็นที่ใหนมา จึงนำมาปรับเปลี่ยน(คิดได้นะ ลดการบ้าน) คงเห็นเด็กฝรั่ง การบ้านน้อยกว่าเด็กไทย เอาเวลาไปทำกิจกรรมตามความถนัด
ลืมนึกไปละกระมังครับ ว่า ประเทศเรามันมีสิ่งจำเป็นรองรับหรือไม่ เช่น
เด็กชอบกีฬาก็ไปซ้อมกีฬา แต่ในโรงเรียนอุปกรณ์กีฬายังไม่ค่อยจะมี แถมในประเทศเรา กีฬาอาชีพยังไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ เก่งกีฬาก็ใช่ว่าจะรุ่ง
(นักฟุตบอลประจำ จว. เลิกเล่นแล้วทั้งๆที่เก่งมาก อายุยังน้อย บอกได้คิดแล้ว เอาเวลาไปขายหมูตลาดนัดดีกว่า)
เด็กชอบเต้น B-Boy สถานที่ซ้อมก็ไม่มี(เต้นกันตามลานปูน พักเดียวเลือด) เคยถามแล้วเด็กๆอยากได้พื้นปาเก้ ถามว่ามีสักกี่ที่ ที่มีสิ่งนี้รองรับ
ฯลฯ
ที่กล่าวนี่คือผมไม่ได้คิดเองเออเองนะครับ ถามเด็กๆมากับตัว ขาดสิ่งจำเป็นในการสนับสนุนเด็กๆ แถมโรงเรียนเป็น รร. ประจำ จว. เสียด้วย รร.พวกขยายโอกาสยิ่งไม่ต้องคิด
ปล.ผมคิดเองตามประสาคนไม่เคยไปดูงานเมืองนอกเมืองนา แต่คลุกคลีกับเด็กจริงๆ
เห็นด้วยครับ มันเป็นอย่างนี้ และมันจะเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ
ทีนี้เด็กที่บ้านมีสตางค์ก็จะไปกวดวิชากันได้เยอะกว่าเดิม ช่องว่างของโอกาสทางการศึกษาจะถ่างออกจนห่างไกลกันลิบๆ
ปัจจุบันทั้งคุมง , สมาร์ทเบรน ฯลฯสารพัดเสริมทักษะมันก็แพงจนพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาหามาจ่ายแบบต่อเนื่องได้อยู่แล้ว
พวกกิจกรรมเสริมที่ไม่เกี่ยวกับเกรดยิ่งไม่ต้องพูดถึง การสนับสนุนห่างไกลเหมือนอยู่กันคนละโลก....เรื่องการสนับสนุนด้านกีฬา-กิจกรรม-ทักษะเสริมนี่เป็นช่องว่างที่ยิ่งทียิ่งห่าง
ยังทะลึ่งมาถ่างมันออกด้วยเรื่องหลักคือการเรียนเข้าอีก