เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 20, 2024, 06:23:14 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: จนตรอก  (อ่าน 12380 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
686
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 471
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3988



« ตอบ #60 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2006, 03:53:11 AM »

อันนี้เอามาจาก เดลินิวส์ ครับ

จะเข้าตำราลิงแก้แหหรือเปล่า เมื่อครอบครัวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจขายหุ้นในเครือชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้งของสิงคโปร์ทั้งหมด 49.595 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะตราบใดที่นายกรัฐมนตรีและครอบครัวยังเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เป็นสัมปทานและอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็มีโอกาสจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีที่รัฐบาลออกนโยบายหรือออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจนั้น ๆ แต่ปรากฏว่า หลังจากการขายหุ้นชินคอร์ป มูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท แทนที่จะมีคำยกย่องชมเชย แต่กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้นใน 3 ประเด็น ประการแรก มีการวิพากษ์วิจารณ์ในความรู้สึกของคนทั่วไปว่า เมื่อครอบครัวนายกรัฐมนตรีมีรายได้มากถึง 7.3 หมื่นล้านบาท แต่กลับไม่ต้องเสียภาษีสักบาทเดียว ผิดกับคนขายก๋วยเตี๋ยวที่ถูกเจ้าหน้าที่สรรพากรไปนั่งนับชามกันถึงในร้านเพื่อเรียกเก็บภาษีให้ครบทุกบาททุกสตางค์ แม้นายกรัฐมนตรีและบริวารจะยกข้อกฎหมายมาชี้แจงว่า การขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กฎหมายยกเว้นว่าไม่ต้องเสียภาษี แต่ดูเหมือนคนทั่วไปก็ยังยอมรับไม่ได้ โดยเห็นจาก ผลการสำรวจเอแบคโพลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนกรุงเทพฯ พบว่า 65.6 เปอร์เซ็นต์เห็นว่า ครอบครัวนายกรัฐมนตรีควรจะเสียภาษี ฉะนั้นยิ่งนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นส่วนหนึ่ง ลูก ๆ จะนำไปทำประโยชน์กับสังคมผ่านมูลนิธิ ก็ยิ่ง ทำให้ชาวบ้านกลุ่มนี้เกิดความคับข้องใจ เพราะรัฐบาลรณรงค์ให้ชาวบ้านช่วยกันเสียภาษีเพื่อนำไปสร้างบ้านแปงเมืองอยู่โครม ๆ แต่ครอบครัวนายกรัฐมนตรีกลับเลือกช่องทางในการขายหุ้นที่ไม่ถูกเรียกเก็บภาษี เมื่อไม่เลือกช่องทางที่จะเสียภาษีเพื่อเอาไปพัฒนาประเทศแล้วใครจะไปเชื่อว่า เศรษฐีตระกูลนี้คิดทำบุญตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศไว้ สรุปแล้วในทางจิตวิทยา การขายหุ้นครั้งนี้จึงเป็นการสร้างความรู้สึกด้านลบกับมวลชนมากกว่าความรู้สึกด้านบวก ประการต่อมา การขายหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลายเป็นข่าวลือมานานแล้ว แต่ก็ถูกปฏิเสธโดยอ้างว่า ให้ไปถามลูก ขณะที่ลูกก็บอกว่าให้ไปถามพ่อ การบ่ายเบี่ยงไม่ตอบตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก ชวน ให้ผู้คนเกิดความสงสัยว่า หากทำอะไรตรงไปตรงมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิด ๆ บัง ๆ ความรู้สึกในลักษณะนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองในมุมการเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่า การขายหุ้นของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น แผนถอย เพราะหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น จะได้เก็บข้าวของได้ทัน ซึ่งทำให้มองได้ว่า สถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มั่นคง จึงต้อง เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ก่อน เป็นผลให้หลายคนที่เคยถือหางฝ่าย พ.ต.ท. ทักษิณ จะต้องคิดอย่างหนักว่า จะถือหางต่อไปดีหรือไม่ อีกประการหนึ่ง รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ผลักดันแก้ไข กฎหมายให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นในกิจการโทรคมนาคมจาก 25 เปอร์ เซ็นต์เพิ่มเป็น 49 เปอร์เซ็นต์ เมื่อกฎหมายผ่านสภาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2549 และหยุดเสาร์-อาทิตย์ 2 วัน พอเปิดทำการในวันจันทร์ที่ 23 มกราคม ก็มีการเปิดแถลงข่าวขายหุ้นชินคอร์ปในสัดส่วน 49.595 ให้กับบริษัทเทมาเส็กโฮล ดิ้งของสิงคโปร์ทันที หากมองอย่างเชื่อมโยง หรือบูรณาการ ก็ทำให้ชวนสงสัยว่า การแก้ไขกฎหมายของรัฐบาลนั้น เพื่อการขายหุ้นในครั้งนี้หรือไม่?? และมองให้ลึกไปยิ่งกว่านั้น ถ้าไม่มีการแก้ไขกฎหมาย ครอบครัวของนายกรัฐมนตรีก็จะขายหุ้นได้เพียง 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้บริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้งไม่สนใจที่จะซื้อก็ได้ ที่สำคัญแทนที่จะได้รับการยกเว้นภาษีจากยอดขายหุ้น 25 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นเงิน ภาษี 2 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อแก้ไขกฎหมายขยายสัดส่วนการถือครองของต่างชาติแล้ว ก็ทำให้ครอบครัวนายกรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นภาษีจากการขายหุ้น 49.595 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคิดเป็นเงินภาษีถึง 4 หมื่นล้านบาท ประการสุดท้าย จากการขายหุ้นครั้งนี้ ฝ่ายค้านโดย นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ จากพรรคประชาธิปัตย์ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติทางตัวเลขประการหนึ่งก็คือ ก่อนหน้าที่จะขายหุ้นเมื่อปี 2548 นายพานทองแท้ ชินวัตร มีหุ้นอยู่ 293,950,220 หุ้น แต่กลับมีหุ้นเอามาขายบริษัทเทมาเส็ก 458,550,220 หุ้น มีส่วนต่างเกิดขึ้น 164,600,000 หุ้น ขณะที่นางสาว พิณทองทา เคยถือหุ้นอยู่ 440,000,000 หุ้น แต่มีหุ้นมาให้บริษัทเทมาเส็กฯ 604,000,000 หุ้น มีส่วนต่าง 164,000,000 หุ้น เมื่อรวมจำนวน ส่วนเกินทั้ง 2 ส่วนนี้แล้วจะมีหุ้นที่เกินมา 328,600,000 หุ้น ซึ่งมีตัวเลขใกล้เคียงกับที่นายบุญคลี ปลั่งศิริ กรรมการบริษัทชินคอร์ป เคยแจ้งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เมื่อปี 2542 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น จาก 23.75 เปอร์เซ็นต์ เป็น 11.88 เปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับ 329,260,000 หุ้น เนื่องจากมีการโอนหุ้นของบริษัทชินคอร์ป จำนวนนี้ไปให้กับ บริษัทแอมเพิลริช ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะบริติชเวอร์จิ้น และยังระบุด้วยว่า บริษัทดังกล่าวนี้มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบอีกว่า บริษัทแอมเพิลริช ได้มอบหมายให้ธนาคารยูบีเอส ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นผู้ดูแลหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ประเด็นที่น่าสงสัยก็คือ เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่า 2 พี่น้องได้ซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากบริษัทแอมเพิลริชจำนวน 328,600,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ก่อนที่จะนำมารวมกับหุ้นเดิมของตัวเอง เพื่อขายกับบริษัทเทมาเส็ก ให้ครบสัดส่วน 49.595 เปอร์เซ็นต์ คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้มีอำนาจในบริษัทแอมเพิลริช ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ขายหุ้นราคาต้นทุนให้กับลูก ๆ หรือไม่.?? เพราะข้อมูลครั้งสุดท้ายที่รายงาน ก.ล.ต. เมื่อปี 2542 ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทแอมเพิลริช 100 เปอร์เซ็นต์ หากในระหว่างปี 2542-2548 พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหรือโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่บริษัทแอมเพิลริชถืออยู่ในสัดส่วน 11.88 เปอร์เซ็นต์ ก็น่าจะมีการแจ้งต่อ กลต. เพราะเป็นหุ้นจำนวนที่เกินกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่บริษัทแอมเพิลริชถือครอง อยู่ ไปให้คนอื่นก่อนหน้านี้ โดยไม่ได้แจ้งให้ ก.ล.ต.ทราบ ก็ต้องถูกปรับ อย่างที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เคยถูก ก.ล.ต.สั่งปรับ 6 ล้านกว่าบาท ในกรณีซุกหุ้น แต่หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังถืออยู่ และเป็นผู้ขายให้ลูก ๆ ในราคาหุ้นละ 1 บาท ก็ต้องถูกฝ่ายค้านตรวจสอบว่ามีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ เห็นตัวอย่างหนังกลางแปลงเรื่อง ซุกหุ้น ภาค 2 ตอน ลิงแก้แห แล้วก็ชักจะหวั่น ๆ ใจแทน พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะมารินน้ำตาแก้ต่างให้เป็นความบกพร่องโดยสุจริต ต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง คงไม่ได้แล้ว.
บันทึกการเข้า
nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย
Website Sponsor
Hero Member
****

คะแนน 303
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4897


« ตอบ #61 เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2006, 01:51:52 AM »

ธปท.สั่งจับตาหนี้ภาคครัวเรือน  ทรราชจนตรอก แต่คนไทยกำลังจะจนกรอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ฉบับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่า สถานะทางการเงินของภาคครัวเรือนยังคงเป็นประเด็นที่ กนง.ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่า สินเชื่อที่ให้กับภาคครัวเรือน (Consumer Loans) ยังขยายตัวในอัตราที่สูง แม้จะไม่ได้เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านี้ โดยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีอัตราการขยายตัวลดลงค่อนข้างชัดเจนและต่อเนื่อง ในขณะที่สินเชื่อเพื่อการจับจ่ายใช้สอยทั่วไปในรูปสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ยังขยายตัวในอัตราที่สูงค่อนข้างมาก ซึ่งจากข้อมูลส่วนหนึ่งพบว่า อาจจะเป็นเพราะผลจากการโอนถ่ายธุรกิจในเครือของธนาคารพาณิชย์บางแห่ง

รายงานข่าวแจ้งต่อไปว่า กนง. มีความเห็นว่า ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนในภาพรวม ยังคงอยู่ในเกณฑ์ไม่น่าเป็นห่วง โดยยอดคงค้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารพาณิชย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในแต่ละประเภทของการก่อหนี้แล้ว
สินเชื่อบัตรเครดิตมีหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ในไตรมาสแรกของปีนี้ เทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา มีเอ็นพีแอลร้อยละ 2.6 แม้จะเป็นระดับที่ต่ำ แต่ กนง.แสดงความกังวลถึงพฤติกรรมการก่อหนี้บัตรเครดิต และเห็นควรให้มีการติดตามข้อมูลเครื่องชี้วัดต่าง ๆ ที่จะส่งสัญญาณความไม่สมดุลต่อไป ขณะที่ตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไตรมาสแรกปีนี้ เทียบกับไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 7.4 (เป็นตัวเลขที่ถือว่าสูงมาก)
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า รายงานฉบับเดียวกันระบุว่า ขณะเดียวกัน หากพิจารณาการใช้บัตรเครดิตของภาคครัวเรือน พบว่า การเบิกเงินสดล่วงหน้าในไตรมาสแรกปีนี้ กลับมาขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น โดยขยายตัวทั้งในส่วนของบัตรเครดิตที่ออกโดยภาคธนาคาร และที่ออกโดยภาคธุรกิจที่มิใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) ซึ่งสะท้อนความต้องการสภาพคล่องเงินสดของภาคครัวเรือน อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการก่อหนี้ผ่านบัตรเครดิตที่ออกโดยภาคธนาคาร ยังมีสัดส่วนหนี้คงค้างต่อปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ในระดับต่ำ แต่สัดส่วนเดียวกันของหนี้บัตรเครดิตที่ออกโดยนอนแบงก์กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนว่าแม้การจับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรเครดิตจะเริ่มลดลงเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน แต่การสะสมหนี้บัตรเครดิตยังเพิ่มขึ้น ชี้ให้เห็นพฤติกรรมของภาคครัวเรือนที่ยังก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง

รายงานฉบับเดิมระบุด้วยว่า สำหรับหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loans) หากพิจารณาข้อมูลที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. โดยดูในส่วนของนอนแบงก์นั้น ยอดคงค้างสินเชื่อของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเคยมีการขยายตัวสูงเริ่มชะลอลงส่วนหนึ่ง เป็นเพราะภาคครัวเรือนมีการปรับตัว โดยเริ่มชะลอการก่อหนี้ลงตามอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการชำระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มนี้ ยังมีการค้างชำระหนี้ในสัดส่วนที่สูงกว่าครัวเรือนผู้กู้ในกลุ่มรายได้อื่นอย่างมีนัยสำคัญ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้น ประเด็นเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ยังคงเป็นประเด็นที่จะต้องมีการติดตามและวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด

"หากภาคครัวเรือนยังไม่สามารถชะลอการก่อหนี้อย่างจริงจัง ในขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้เริ่มมีแนวโน้มลดลง อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของครัวเรือน และจะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมหภาคในระยะต่อไป กนง.จึงเห็นควรให้มีการติดตามพฤติกรรมการก่อหนี้ของครัวเรือน โดยเฉพาะการก่อหนี้เพื่อการจับจ่ายใช้สอยที่มิใช่เพื่อที่อยู่อาศัย (Personal Consumption Loans) อย่างใกล้ชิดต่อไป" รายงานของ กนง.ระบุ

 
 

ตัวเลขต่างๆเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่านโยบายสร้างตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยเร่งการบริโภคและส่งเสริมให้ประชาชนใช้จ่ายในทางที่ผิด ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ทรราชนำพาประเทศชาติไปสู่หายนะอย่างแท้จริง
นี่ยังไม่มีการเปิดเผยของ โครงการกองทุนหมู่บ้าน sme sml ซึ่งคาวว่าตัวเลขหนี้เสียไม่น่าจะต่ำกว่า 75% ครับ เตรียมตัวกันไว้บ้างนะครับ ปีหน้าลำบากกว่านี้อย่างแน่นอนครับ

http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=14466
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 31, 2006, 01:56:36 AM โดย narcissus » บันทึกการเข้า

ถ้าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง
ผีเปรตในนรกมันคงโหวตให้พวกมันได้ขึ้นสวรรค์
จะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม! ต้นตอปัญหามันเกิดจากรธน.ไม่ดี หรือพวกแกมันเลว!
ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #62 เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2006, 02:46:33 PM »


กระทู้พี่ 686 ทำให้นึกถึงอีกเรื่องที่ทำท่าจะงุบงิบทำ ร่าง พ.ร.บ. เขตเศรษฐกิจพิเศษ

มีบางมาตราที่อยากให้อ่านครับ


*มาตรา 23 ให้มีอำนาจ ถมทะเล หรือเวนคืนและเมื่อพัฒนามาแล้ว มีอำนาจการขาย เช่า ซื้อ ให้เช่าหรือแลกเปลี่ยนได้

*มาตรา 26 ให้ต่างชาติ เช่าที่ดินได้ไม่ต่ำกว่า 50 ปี แต่ไม่เกิน 99 ปี

*มาตรา 27 การให้เช่าหรือเช่าช่วงที่ดิน เกิน 100 ไร่ ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมที่ดินและ
เงื่อนไขสัญญาจะต้องให้เช่าช่วงได้

*มาตรา 29 เศรษฐกิจพิเศษมีอำนาจ ถมทะเล เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดิน

*มาตรา 30 ผู้ว่าการและเจ้าหน้าที่ของเศรษฐกิจพิเศษ มีอำนาจเข้าไปครอบครองใช้ประโยชน์หรือหาประโยชน์ในป่าสงวนแห่งชาติ เขตคุ้มครองและรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตอุทยานแห่งชาติได้

*มาตรา 31 ให้ถอนสภาพที่ดินที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตกเป็นของเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยไม่ต้องถอนสภาพหรือโอนตามประมวลกฎหมายประมวลที่ดิน

*มาตรา 34 บรรดาอสังหาริมทรัพย์ของเศรษฐกิจพิเศษได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิ์ และนิติกรรมทั้งปวงและได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ด้วย


*มาตรา 50 ให้มีอำนาจ ถมทะเล ไห้มีอำนาจจัดให้มีไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และระบบเทคโนโนยี
สารสนเทศโดยอิสระให้ร่วมลงทุนกับบุคคลอื่นทั้งในและต่างประเทศได้

*มาตรา 51 ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ การดำเนินการใดๆต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐ
ให้เขต เศรษฐกิจพิเศษมีอำนาจการดำเนินการดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาต


*มาตรา 52 การดำเนินการใดที่กฎหมายบังคับให้ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐก่อน เช่น ใบอนุญาตต่างๆหากได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าเศรษฐกิจพิเศษ หรือจดทะเบียน หรือแจ้งกับ เศรษฐกิจพิเศษแล้วให้ถือเสมือนว่าได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐแล้ว

*มาตรา 58 การจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด เขตเศรษฐกิจพิเศษสามารถดำเนินการจัดตั้งขึ้นเองได้

*มาตรา 62 สิทธิ์ของผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบการหรืออยู่อาศัยของเศรษฐกิจพิเศษ คือ
1. สิทธิ์ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นๆของคนต่างด้าว
2. สิทธิ์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่อาศัยในราชอาณาจักร
3. สิทธิ์ในการนำเงินหรือส่งเงินไปนอกราชอาณาจักร
4. สิทธิ์ในการได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
5. สิทธิในการถือครองหรือเปิดบัญชีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศกับสถาบันทางการเงิน
6. สิทธิที่จะได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากร


*มาตรา 65 คนต่างด้าวที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษได้ไม่จำกัดเวลา
1. ช่างฝีมือ
2. ผู้บริหาร หรือ ผู้ชำนาญการ
3. คู่สมรสและบุคคลที่อยู่ในอุปการะตาม (1) และ (2)


*มาตรา 66 บุคคลต่างด้าวที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษได้เฉพาะเวลาทำงาน คือ แรงงานไร้ฝีมือ

*มาตรา 69 สิทธิพิเศษของผู้อยู่อาศัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
1. สิทธิในการหักค่าใช้จ่ายก่อนการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกเหนือจากที่กำหนดไว้
ในประมวลกฎหมายรัษฎากร
2. ได้รับการลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
3. ได้รับการลด หรือ ยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตและค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน


*มาตรา 70 การผลิตสินค้าเพื่อพานิชยกรรมได้รับอากร ขาเข้า- ขาออก ภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีสรรพสามิต ค่าธรรมเนียมอื่นๆ

*มาตรา 71 วัสดุที่นำเข้าราชอาณาจักรเพื่อผลิตสินค้าไม่ต้องควบคุมคุณภาพหรือมาตราฐาน ไม่ต้องขอหรือมีใบอนุญาตนำเข้า

*มาตรา 76 รายได้ที่เก็บได้ให้ตกเป็นของเศรษฐกิจพิเศษจะส่งคืนรัฐกรณีเหลือ แต่ถ้าหากรายได้ขาดไม่พอบริหารต้องใช้เงินภาษีของประชาชนจ่ายให้

*มาตรา 78 ทรัพย์สินของเศรษฐกิจพิเศษไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ยึดทรัพย์ไม่ได้

*มาตรา 99 คนไทยเข้าไปเขตเช่าของต่างชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน
200000 บาท
 



อ่าน พ.ร.บ. นี้แล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสองในแผ่นดินของตนเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 31, 2006, 02:50:17 PM โดย ทัดมาลา » บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
นายกระจง
Cement For Life.....
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2938
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 31460


ช่างมันเถอะ


« ตอบ #63 เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2006, 03:10:06 PM »

ด้วยความเคารพครับ

เห็นข้อความที่พี่ทัดมาลาลงไว้ผมหวังว่าคงจะไม่ผ่านนะครับ เห็นแล้วมันขายผืนแผ่นดินกันเลยนี่ครับ

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นคนต้องอดทน ไม่อดทนก็อดตาย
 
nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย
Website Sponsor
Hero Member
****

คะแนน 303
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4897


« ตอบ #64 เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2006, 04:36:01 PM »

น่าจะเพิ่มบทลงโทษคดีอาชญากรรมเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ ให้หนักขึ้น ไม่ใช่แค่ปรับเป็นเศษเงินอย่างที่โอ๊คโดนไม่กี่ล้านบาทจากมูลค่าที่หลบเลี่ยงนับหมื่นล้านบาท เห็นคดีเอมรอนเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้วต่างกันลิบลับ ทำคนเดือนร้อนเป็นแสนเป็นล้านคน โดนลงโทษแค่ปรับเงิน มันไม่ยุติธรรมครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง
ผีเปรตในนรกมันคงโหวตให้พวกมันได้ขึ้นสวรรค์
จะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม! ต้นตอปัญหามันเกิดจากรธน.ไม่ดี หรือพวกแกมันเลว!
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #65 เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2006, 04:40:55 PM »

เรียกแบบลวงโลก "เขตเศรษฐกิจพิเศษ" ของจริงคือ "เขตอาณานิคมของต่างชาติ" ชัดๆ

ไม่ใช่ "ขายชาติ" ก็ไม่รู้จะว่ายังไง .....โจร/ขโมยปีนเข้าบ้านท่านโดยไม่ได้รับอนุญาตยังไม่มีโทษแบบนี้เลยนะท่านๆ
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« ตอบ #66 เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2006, 05:48:52 PM »

ความจริงพฤติกรรมที่เรียกว่าฉ้อโกงนี้
บทลงโทษน่าจะคูณจำนวนหัวของผู้ที่เดือดร้อนเข้าไปด้วยเช่น  โกงผู้เสียหาย 1คน ติดคุก3 ปีถ้าเป็นโกงภาษีประชาชน โกงประเทศก็คูน 65 ล้านคนเข้าไป เป็น 195 ล้านปีไปเลย
แต่เงินเดือนก็ต้องให้เยอะสักหน่อยด้วยนะครับ คืออย่าให้ลำบากจนเขาหาช่องทางทุจริต แล้วเริ่มติดนิสัย
มีอดีตผู้บริหาร TPI  ท่านหนึ่งที่ใช้หลักคิดที่ว่า  ให้ลูกน้องกินอิ่ม ดีกว่าให้เขาอดแล้วไปแอบทุจริต  เพราะผลเสียจากการทุจริตนั้นมันมากมาย  และเป็นตราบาปแก่ลูกน้องไปจนวันตาย
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #67 เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2006, 08:54:14 PM »

อันนี้เอามาจาก เดลินิวส์ ครับ
 ....ปี 2548 นายพานทองแท้ ชินวัตร มีหุ้นอยู่ 293,950,220 หุ้น แต่กลับมีหุ้นเอามาขายบริษัทเทมาเส็ก 458,550,220 หุ้น มีส่วนต่างเกิดขึ้น 164,600,000 หุ้น ขณะที่นางสาว พิณทองทา เคยถือหุ้นอยู่ 440,000,000 หุ้น แต่มีหุ้นมาให้บริษัทเทมาเส็กฯ 604,000,000 หุ้น

..... ประเด็นที่น่าสงสัยก็คือ เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่า 2 พี่น้องได้ซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากบริษัทแอมเพิลริชจำนวน 328,600,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ก่อนที่จะนำมารวมกับหุ้นเดิมของตัวเอง เพื่อขายกับบริษัทเทมาเส็ก ให้ครบสัดส่วน 49.595 เปอร์เซ็นต์ ....

 ...น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับ ผู้ที่เกี่ยวข้อง วันนี้มีข่าวออกมาแล้วว่า "ส.ต.ง. "   ...ได้อาศัยอำนาจตาม....  มีคำสั่งเรียก  ตั้งแต่ " ผู้อำนวยการ..ยันถึง...อธิบดีสรรพกร  จำนวน 5 คน "    เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงในการขายหุ้นของ ...นายและนางสาว....ชินวัตร ทั้งสองคน....

           " สตง."เตรียมออกคำสั่ง เรียก  5  บิ๊กสรรพากรสอบ ลูกนายกฯซื้อหุ้นเว้นภาษี

    สตง.เดินหน้าลุยสอบ"อธิบดีสรรพากร" และอีก 4 ขรก.ระดับสูง กรณี"พานทองแท้-พิณทองทา"ซื้อหุ้น"ชินคอร์ป"จากแอมเพิลริช เผยเตรียมออกคำสั่งเรียก คาดยื่นถึงกรมสรรพากรภายในสัปดาห์นี้

     แหล่งข่าวจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมว่า สตง.เตรียมออกคำสั่งเรียกข้าราชการกรมสรรพากรจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร นางไพฑูรย์ พงษ์เกษร รองอธิบดีกรมสรรพากร นางเบญจา หลุยเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง น.ส.โมฬีรัตน์ บุญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย และนายกริช วิปุลานุสาสน์ นิติกร 9 มาให้ข้อมูลกรณีนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชาย และบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซื้อหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากบริษัท แอมเพิลริช ทั้งนี้การออกคำสั่งเรียกอยู่ในระหว่างขออนุมัติจากผู้ว่าการ สตง.

    ก่อนหน้านี้ สตง.ทำหนังสือเชิญไปยังข้าราชการกรมสรรพากรทั้ง 5 รายดังกล่าว เพื่อมาให้ข้อมูลการซื้อหุ้นของนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ต่อมากรมสรรพากรได้ทำหนังสือที่ กค 0706/6159 แจ้งว่าพร้อมจะให้ความร่วมมือ แต่ขอให้สตง.ระบุขอบเขต สาระสำคัญ และประเด็นของข้อมูลที่ต้องการทราบรายละเอียด เพื่อขอสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมรับรองสำเนาถูกต้องจากกรมสรรพากรประกอบการพิจารณาตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในมาตรา 42 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542

    แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อกรมสรรพากรต้องการให้ สตง.ระบุขอบเขตครอบคลุมเรื่องราวที่ขอให้มาตอบข้อซักถามทั้งหมด ทั้งที่หนังสือเชิญข้าราชการทั้ง 5 แต่เดิมชี้แจงไปแล้ว จากนี้ สตง.จึงอยู่ระหว่างร่างหนังสืออีกครั้ง แต่จะเป็นไปในลักษณะออกคำสั่งเรียกข้าราชการกรมสรรพากรทั้ง 5 คนแทน โดยเป็นการออกคำสั่งเรียก อาศัยอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 จากนั้นจะขออนุมัติจากผู้ว่าการ สตง.ต่อไป คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะส่งหนังสือถึงกรมสรรพากรได้

      "การออกคำสั่งเรียกสอบถามข้อมูลครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากการซ้ำเติม หรือเช็คบิลผู้ที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือครอบครัวชินวัตร กรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป แต่ถือเป็นหน้าที่หลักของ สตง.เมื่อสังคมยังตั้งคำถามกับภาระภาษีจากการซื้อขายหุ้นดังกล่าว และหลายคนยังแคลงใจ สตง.ในฐานะพนักงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบรายรับ รายจ่ายของแผ่นดิน จึงต้องหาข้อเท็จจริง ตรวจสอบเพื่อให้เกิดความป้องปราม และรักษาประโยชน์ของส่วนราชการ หากพบความผิดปกติต้องทำให้เกิดมาตรฐานที่ถูกต้องต่อไป" แหล่งข่าวระบุ

      ทั้งนี้ การเรียกข้าราชการมาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายงบประมาณเป็นไปตามอำนาจของสตง.สามารถทำได้ และหากผู้ถูกเรียกปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 มีโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 1 หมื่นบาท

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาเหตุที่ สตง.เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเพราะได้รับแจ้งผลการพิจารณาสอบสวนและศึกษาจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา โดย กมธ.วิสามัญมีความเห็นว่า ข้าราชการระดับสูงในกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรหลายคนกระทำทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่โดยการละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากรจากนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทาทำให้รัฐ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และประชาชนเสียหายเป็นเงินประมาณ 5,846 ล้านบาท
       ทั้งนี้ กมธ.วิสามัญฯเห็นว่าข้าราชการระดับสูงหลายคนละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทานั้นเป็นกรณีที่บริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด ขายหุ้นชินคอร์ป จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ให้แก่บุคคลทั้งสองนอกตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ราคาตลาด 49 บาทต่อหุ้น (เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549) ทำให้บุคคลทั้งสองได้รับประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้น เป็นเงิน 15,501 ล้านบาท ส่วนต่างดังกล่าวเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคิดเป็นเงิน 5,864 ล้านบาท
   ในรายงานของ กมธ.วิสามัญระบุว่าสำหรับข้ออ้างของกรมสรรพากรที่ว่าบุคคลทั้งสองขายหุ้นชินคอร์ปผ่านตลาดหลักทรัพย์ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 23 มกราคม ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีนั้น จะเป็นส่วนต่างราคาหุ้นที่บุคคลทั้งสองขายให้แก่บริษัทเทมาเส็กในราคา 49.25 บาท จากที่ซื้อมาจากบริษัทแอมเพิลริช 49 บาท โดยมีส่วนต่างราคาหุ้นละ 25 สตางค์ รวมเป็นเงินทั้งเงิน 82.3 ล้านบาท

  http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0107310749&day=2006/07/31

บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #68 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2006, 12:15:40 AM »

Smiley..อ่านรายละเอียด ร่างกฎหมายที่ คุณโอ๊ค คัดลอกมาแล้ว..

     ไอ้คนพวกนี้ มันเป็นคนไทย หรือเปล่ายังสงสัย.. มันเอาทรัพย์สินสมบัติของชาติ ของประชาชน..
     เอาสิ่งที่ดีใส่ตัว ..
     ไม่ช่วยแล้วยังกอบโกย เดือดร้อนยังอาศัยกฎหมายให้มัน สูบภาษีจากประชาชน ไปใช้ได้อีก.. 

      ร่างกฎหมายอะไร จะอัปลักษณ์ ทำลายชาติ เพิ่งจะเคยเห็น..
      เหมือนมันเตรียมลี้ภัย เข้าไปอยู่ในพื้นที่นี้ .. คิดกันง่าย ง่าย อย่างนี้เอง..
     
      ผมไม่เชื่อว่า จะผ่านเป็นกฎหมายมาได้..

      คนเลว ชาติ พวกนี้
      มันน่าจะต้องเอาไปถมทะเล แทนดินให้หมด.. มันน่าจริง จริง  Smiley.


     
       
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 01, 2006, 12:17:15 AM โดย Ro@d » บันทึกการเข้า

..GlockGlack..
ทำดีไว้ไม่ขาดทุน..... ขาว อวบ. อิอิอิ
Hero Member
*****

คะแนน 48
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3569


ใช้ปืนดี มีพระคุ้มครอง


« ตอบ #69 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2006, 12:28:03 AM »

ผมมีเหตุให้ต้องอ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 9 (สิ้นสุดปี พ.ศ. 2549 นี้)  พบว่าแผนฯ 9 เป็นแผนฯ ที่ใช้ภาษาและถ้อยคำสวิงสวายฟุ่มเฟือยที่สุด  ยกอ้างอัญเชิญ "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" มาเป็นหัวใจของการร่างแผนฯ นี้  แต่การดำเนินการกลับเป็นตรงกันข้ามแทบจะสิ้นเชิง  Tongue
บันทึกการเข้า

ขอสักกระทู้ที่ไม่เลอะเทอะเลื่อนเปื้อน จนเสียคุณค่าเนื้อความในกระทู้นะครับ Cheesy
nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย
Website Sponsor
Hero Member
****

คะแนน 303
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4897


« ตอบ #70 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2006, 01:35:28 AM »

     แหล่งข่าวจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมว่า สตง..เตรียมออกคำสั่งเรียกข้าราชการกรมสรรพากรจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร นางไพฑูรย์ พงษ์เกษร รองอธิบดีกรมสรรพากร นางเบญจา หลุยเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง น.ส.โมฬีรัตน์ บุญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย และนายกริช วิปุลานุสาสน์ นิติกร 9 มาให้ข้อมูลกรณีนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชาย และบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซื้อหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากบริษัท แอมเพิลริช ทั้งนี้การออกคำสั่งเรียกอยู่ในระหว่างขออนุมัติจากผู้ว่าการ สตง

สาธุ 

     มีอดีตอธิบดีกรมสรรพากรคนหนึ่ง รวยขนาด เอารถเบนซ์ รถโรลซ์รอย (สงสัยรถที่ยึดมาได้)แจกนักการเมืองได้ไม่รู้ว่ารวยมาแต่ชาติไหนครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง
ผีเปรตในนรกมันคงโหวตให้พวกมันได้ขึ้นสวรรค์
จะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม! ต้นตอปัญหามันเกิดจากรธน.ไม่ดี หรือพวกแกมันเลว!
nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย
Website Sponsor
Hero Member
****

คะแนน 303
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4897


« ตอบ #71 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2006, 02:02:10 AM »

วันก่อน “ป๋าเปรม” แต่งเครื่องแบบทหาร เรือไปบรรยายให้นักเรียนนายเรือเป็นกรณีพิเศษ

งานนี้ป๋าไม่ได้ไปคนเดียว แต่หนีบอดีต ผบ.ทร.ติดตามไปด้วย 3 พระหน่อ!!

นอกจากตอกยํ้าเรื่องจิตวิญญาณทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เหมือนที่สั่งสอนนักเรียนนายร้อยทหารบกฟังมาแล้วเมื่อวันก่อน

ป๋ายังเน้นยํ้าให้อนาคตนายทหารสายเลือด ใหม่ ต้องยึดมั่นคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต!!

แต่ “ป๋า” ก็มีข้อสังเกตฝากไว้ว่าวัฒนธรรมแบบไทยๆที่ยกย่องนับถือคนมีเงินเป็นเรื่องไม่ถูก


“ถ้าเขารํ่ารวยมาโดยชอบธรรมก็โอเคแต่ถ้าเขารํ่ารวยเพราะโกงมาก็ไม่ควรได้ รับการยกย่องนับถือ และเราไม่ควรยกมือไหว้เขาต่อไปอีก” ท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษสั่งสอนนักเรียนนายเรือก่อนจบ

ที่พูดเนี่ย “ป๋าเปรม” ไม่ได้ตอบโต้ ใคร พูดในหลักการเท่านั้นแหละ

แต่ใครฟังป๋าพูดแล้วจะสะดุ้งหรือเปล่าก็สุดแล้วแต่

สรุปว่าตั้งแต่เกิดวิกฤติผู้มีบารมี “ป๋าเปรม” เดินสายไปอบรมนักเรียนนายร้อยและนักเรียนนายเรือมาแล้ว 2 เหล่า

คาดว่าเร็วๆนี้ป๋าต้องไปอบรมนักเรียนนายเรืออากาศให้ครบสูตร

ป๋าเปรมจะจี้จุดคีมึ้งประเด็นไหนต่อไป...ลูกป๋าทั้งหลายเตรียมล้างหูคอยฟัง ให้ดีเถอะ

จาก “ป๋าเปรม”...ก็ต้องโยงมาถึง “นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ซะหน่อย

ช่วงนี้ “นายกฯทักษิณ” ระวังปากไม่พูด อะไรที่ทำให้คนเข้าใจผิด

เพราะมีคนโจมตีว่า “นายกฯทักษิณ” เป็นโรคลำไส้ความคิดสั้น สมองคิดอะไรได้ปุ๊บจะต้องหลุดพรวดออกมาทางปาก

ล่าสุด...นายกฯทักษิณก็เผลอหลุดวรรคทอง “ผมเป็นคนไม่มีเส้น” ให้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีก
ประโยค “ผมเป็นคนไม่มีเส้น” ถ้าเป็น คนอื่นพูดก็ไม่เป็นเรื่องหรอก
ข้อสำคัญ “นายกฯทักษิณ” จะรำพึงรำพันว่าตัวเองเป็นคนไม่มีเส้น ใครเขาจะเชื่อล่ะถามหน่อย??

ลองเปิดโผแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการดูเถอะ...

ต้องเจอะแต่เส้นเป็นกระจุก!!


ใครเชื่อบ้างครับว่าทักษิณไม่เคยใช้อำนาจหน้าที่ไม่เคยใช้เส้นสายเพื่อตัวเองและพวกพ้องบ้างครับ ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ไม่เชื่อ ต่อให้ทักษิณเดินลุยไฟพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็ไม่เชื่อครับ ว่าแต่กล้าหรือเปล่า?

http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews03&content=14415
บันทึกการเข้า

ถ้าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง
ผีเปรตในนรกมันคงโหวตให้พวกมันได้ขึ้นสวรรค์
จะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม! ต้นตอปัญหามันเกิดจากรธน.ไม่ดี หรือพวกแกมันเลว!
NaiMai>รักในหลวง
ไม่ว่าจะมีพร้อมทุกสิ่ง แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าความมีสติ
Hero Member
*****

คะแนน 741
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14573


นายใหม่ รักหมู่


เว็บไซต์
« ตอบ #72 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2006, 03:18:17 AM »

 Angry ร่าง พรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มันจะพยายามดันออกมา อ่านกี่ที ๆ ก็นึกเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เป็นได้อย่างเดียวคือกฎหมายอัปยศขายแผ่นดินชาติ คนที่อยู่นอกเขตเศรษฐกิจพิเศษจะกลายเป็นพลเมืองชั้นสองไปเลย Angry
บันทึกการเข้า

Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« ตอบ #73 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2006, 10:22:07 AM »

ไฟป่าเกิดจากการเสียดสีของเรียวไผ่เล็กๆ
ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันแห้งแล้งแสงแดดแผดเผา
เปลวเพลิงเล็กๆที่ปลิวตามลม ก็ทำให้เพลิงโหมไปทั่วทุ่งกว้างได้
แผดเผาสิ่งที่สมควรถูกเผา  สัตว์ พืช ที่อ่อนแอ   ก็มิอาจอยู่รอด
เหลือแต่สิ่งที่แข็งแรง ซึ่งเป็นผลผลิตจากการคัดสรรของธรรมชาติ
งานนี้คงต้องจับตา ฝูงวัวตะกละที่หวงหญ้าแห้งล่ะครับ ว่าจะกลายเป็นวัวย่างในกองไฟกี่ตัว
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
..GlockGlack..
ทำดีไว้ไม่ขาดทุน..... ขาว อวบ. อิอิอิ
Hero Member
*****

คะแนน 48
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3569


ใช้ปืนดี มีพระคุ้มครอง


« ตอบ #74 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2006, 10:27:34 AM »

ล่าสุด...นายกฯทักษิณก็เผลอหลุดวรรคทอง “ผมเป็นคนไม่มีเส้น” ให้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีก
ที่ไม่มีเส้น เพราะถูกลิ้นกระดาษทรายน้ำลายชแล็คเลียหลุดไปหมดแล้วครับ  Cheesy
บันทึกการเข้า

ขอสักกระทู้ที่ไม่เลอะเทอะเลื่อนเปื้อน จนเสียคุณค่าเนื้อความในกระทู้นะครับ Cheesy
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.092 วินาที กับ 22 คำสั่ง