เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 23, 2024, 04:25:39 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อยากรู้ครับ  (อ่าน 9072 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Tew@75
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 8
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 327

ใช้ชีวิตให้เต็มที่...เต็มที่กับชีวิต


« เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2006, 12:28:30 PM »

อยากทราบเรื่องเรือดำน้ำของสหรัฐที่จมในอ่าวไทยสมัยสงครามโลกครับ หลงรัก หลงรัก
บันทึกการเข้า

การจู่โจมย่อมชนะการตั้งรับเสมอ
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2006, 06:56:50 PM »

...หลังจากคณะสำรวจจากกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา
พยายามตรวจสอบหาซากเรือดำน้ำ “ยูเอสเอส ลาการ์โต”
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ให้กับกองทัพสหรัฐฯ และสูญหายไปในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
ปิดฉากลงใน พ.ศ. 2497 พร้อมด้วยลูกเรือ 86 นาย

กระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 60 ปี ในที่สุดเมื่อเดือน พ.ค. ปีที่ผ่านมา
คณะผู้เชี่ยวชาญค้นหาซากเรือจากอังกฤษ นำโดยนายเจมี แม็กเลียด
ก็ได้ค้นพบเรือดำน้ำลักษณะคล้ายเรือดังกล่าวจมอยู่ที่ความลึก 70 เมตร ใต้ก้นทะเลอ่าวไทย
ห่างจากชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ ราว 160 กิโลเมตร

แต่เบื้องต้นกองทัพเรือสหรัฐฯ ยังไม่ยืนยันว่าใช่เรือลาการ์โตหรือไม่
จนกระทั่งสหรัฐฯ ได้ส่งคณะสำรวจมาตรวจสอบ ใช้เวลานาน 6 วัน
ก็ได้ผลสรุปเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ว่าเรือที่จมอยู่นั้นเป็นเรือลาการ์โตจริง

เจ้าหน้าที่พบปากกระบอกปืนที่ส่วนหน้าและส่วนหลังของเรือ
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเรือดังกล่าว และยังพบตัวอักษรคำว่า “มานิโตวอก” บนใบพัดเรือ
ซึ่งเป็นชื่อของอู่ต่อเรือในรัฐวิสคอนซิน ที่สร้างเรือลาการ์โตในช่วงทศวรรษ 40
ทำให้เจ้าหน้าที่ยืนยันชัดเจนว่าเรือดังกล่าวคือเรือลาการ์โต

ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังบันทึกภาพเรือและวีดิโอเพื่อการวิเคราะห์เพิ่มเติมต่อไป
ขณะที่สหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าจะไม่เข้าไปเคลื่อนย้ายเรือแต่อย่างใด
แม้ผลตรวจสอบจะสรุปว่าเป็นเรือลาการ์โตก็ตาม
โดยพิจารณาเห็นชอบแล้วว่าใต้ท้องทะเลเป็นสถานที่พักผ่อนอย่างสงบ
ของเหล่าบรรดาทหารผู้พลีชีพเพื่อปฏิบัติการดังกล่าว

เรือลาการ์โตมีน้ำหนักกว่า 1,500 ตัน ยาว 310 ฟุต
ถูกเรือฮัทสุทากะของญี่ปุ่นโจมตีจนจมลงใต้ท้องทะเลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งหลังกองทัพได้ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบร่องรอยของเรือ
นำข้อมูลกลับไปแจ้งแก่ครอบครัวของทหารเรือผู้สูญหาย
แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 60 ปีแล้ว แต่ก็สร้างความยินดีแก่บรรดาญาติ ๆ
ซึ่งการค้นพบเรื่องราวที่ขาดหายไปเป็นสิ่งที่สำคัญต่อจิตใจของครอบครัวทหารเรือเป็นอย่างยิ่ง
และเพื่อเชิดชูเกียรติแก่เหล่าทหารด้วย

ทั้งนี้ นางแนนซี เคนนีย์ ทายาทของหนึ่งในทหารเรือผู้สูญหายไปกับเรือลาการ์โต
ปัจจุบันอาศัยอยู่ในรัฐมิชิแกน เปิดเผยว่า ขณะนั้นเธอมีอายุเพียง 2 ขวบ
และแทบจำเหตุการณ์ที่ผ่านมากว่า 60 ปีไม่ได้เลย
แต่ผลสรุปของกองทัพเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เธอสามารถต่อติดเรื่องราว
ของผู้เป็นบิดา และยังทำให้ทายาทเหล่าทหารในเรือลำดังกล่าวเข้าใกล้ผู้เป็นพ่อยิ่งขึ้น


....จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น...
จากเรา...ซึมเศร้าฯ ทีม
บันทึกการเข้า
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2006, 06:59:18 PM »





บันทึกการเข้า
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2006, 07:02:02 PM »

บันทึกการเข้า
น้าพงษ์...รักในหลวง
1911ต้อง.โค้ลท์.ที่เหลือคือก๊อปปี้.ลอกพี่.มะขิ่นครับ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 508
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9922


« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2006, 07:54:20 PM »

ขอบคุณท่าน51ครับได้ความรู้มากเลยครับ
บันทึกการเข้า

...ประเทศไทย.ไม่ใช่ที่สำหรับใครที่จะมา.ฝึกงาน...
NaiMai>รักในหลวง
ไม่ว่าจะมีพร้อมทุกสิ่ง แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าความมีสติ
Hero Member
*****

คะแนน 741
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14573


นายใหม่ รักหมู่


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2006, 08:23:59 PM »

       ศูนย์ข่าวศรีราชา-ทัพเรืออเมริกาฝึก การัต 2006 ร่วม ทร.ไทย เป็นปลื้ม ค้นพบเรือดำน้ำอเมริกันจมทะเลไทย ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เจอญี่ปุ่นถล่มจมใต้ทะเลพร้อมลูกเรือ 86 คน
       
       วันนี้( 18 มิ.ย. 49) หลังจากที่ เรือรบของกองกำลังฝึกของทหารอเมริกา ชื่อ USS SALVOR (ARS-52) ที่ได้เดินทางมาในประเทศไทยเพื่อทำการฝึกร่วม การัต 2006 กับ กองทัพเรือไทย โดยกองทัพเรือได้มอบหมายให้ กองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ โดย พลเรือตรี สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 2 เป็นเจ้าภาพการฝึก ซึ่งก่อนเปิดการฝึกและขณะเดินทางเข้าประเทศไทยได้แวะปฎิบัติการค้นหาเรือดำน้ำชื่อ USS LAGARTO (SS-371)
       
       โดยกองทัพเรือได้สั่งการให้ เรือเอก สมภพ ราศรี นายทหารปฏิบัติการใต้น้ำประสานการปฏิบัติจาก กรมสรรพาวุธทหารเรือ เดินทางร่วมกับเรือสังเกตการณ์ปฏิบัติดังกล่าว ซึ่งเป้าหมายเรือลำดังกล่าวจมอยู่ใน พิกัดห่างจากจังหวัดสงขลา ประมาณ 100 ไมล์ทะเล พิกัดแลตติจูดที่ 7 องศา 51.9 ลิปดาเหนือ ลองติจูดที่ 102 องศา 2.7 ลิบดาตะวันออก ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2549 จนถึงวันที่ 16 มิ.ย.49 และได้พิสูจน์ทราบแน่ชัดแล้วว่าเรือดำน้ำที่พบเป็นเรือดำน้ำที่ได้จมหายไปตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับลูกเรืออีก 86 นายจริง
       
       ซึ่งในวันนี้เรือลำดังกล่าวได้เดินทางเข้าเทียบ ณ ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พร้อมกับข่าวดีที่แพร่สะพัดออกมาในวงกว้างว่า ภารกิจการค้นหาเรือดำน้ำที่จมหายไปตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประสบความสำเร็จ และได้ทำพิธีไว้อาลัย ยิงสลุด เพื่อสักการะดวงวิญญาณของลูกเรือทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว ณ จุดที่พบเรือลำดังกล่าว พร้อมทั้งได้นำธงชาติสหรัฐอเมริกา และแผ่นจารึกไปติดไว้ที่บริเวณหัวเรือ
       
       พลเรือตรี สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ ผู้บังคับกองกำลังฝึก การัต 2006 ฝ่ายไทย เปิดเผยว่า เรื่องการค้นหาเรือดำน้ำของประเทศสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นช่วงที่กองกำลังทางเรือของประเทศสหรัฐอเมริกา นำเรือรบ จำนวน 5 ลำ เข้ามาในน่านน้ำไทย และได้ประสานมายังกองทัพเรือเพื่อแวะค้นหาเป้าหมายเรือดำน้ำในน่านน้ำไทย ซึ่งกองทัพเรือได้ส่งนายทหารปฏิบัติการใต้น้ำ ของกรมสรรพาวุธทหารเรือ ร่วมการเดินทางมาจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานผลการปฏิบัติดังกล่าวว่าประสบความสำเร็จ ซึ่งได้พบเรือดำน้ำเรียบร้อยแล้ว อยู่ในระดับน้ำลึกประมาณ 240 ฟุต หรือ 76 เมตร ทางตอนใต้ของเกาะโลซิ้น ห่างจากทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัดสงขลา ประมาณ 100 ไมล์ทะเล สภาพเรือยังมีความสมบูรณ์ ด้านหัวเรือเสียหาย และได้รับรายงานว่า พบปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว ติดอยู่ที่ดาฟ้า หัวเรือ 1 กระบอก
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประวัติเรือดำน้ำ USS LAGARTO เป็นเรือดำน้ำชั้น BALAO มีลูกเรือประจำอยู่ภายในเรือ 86 คน มี CDR.F.D. LATTA เป็นผู้บังคับการเรือ ได้เดินทางออกมาจากท่าเรือ ซูบิคเบ ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 1945 เพื่อออกลาดตระเวนในทะเลจีนใต้ และเมื่อวันที่ 27 เมษายน 1945 ได้เดินทางร่วมกับเรือของฝ่ายเดียวกันคือ เรือ BAYA เดินทางเข้ามาในน่านน้ำไทย คาดว่าน่าจะถูกถล่มโดยเรือวางทุ่นระเบิดของ เรือ HATSUTAKA ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2488 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งซากเรือลำดังกล่าว กองทัพเรือประเทศสหรัฐอเมริกา จะดำเนินการให้เป็นสุสานทางสงครามในทะเลต่อไป โดยจะประสานกับประเทศไทย และกองทัพเรือไทยขอสงวนพื้นที่บริเวณดังกล่าวในการดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย

เพลตเหล็กแผ่นจารึกที่นำลงไปติดไว้ครับ Grin





Experts Confirm Sunken Sub is USS LAGARTO
July 10th, 2006
By COMSUBPAC and Naval Historical Center Public Affairs

PEARL HARBOR, Hawaii — Experts at the Naval Historical Center in Washington, D.C., have confirmed that a World War II submarine wreck found in the Gulf of Thailand last year is the USS Lagarto (SS-371).

Underwater archeologists at the center completed their examination of evidence obtained last month by Navy divers from USS Salvor (ARS-52) and Mobile Diving and Salvage Unit One, both based in Pearl Harbor.

“We now know for certain that this is Lagarto,” said Rear Adm. Jeffrey Cassias, commander of the Pacific Fleet submarine force. “I am grateful to all those involved in helping to bring closure to the families of these 86 men who died in service to our nation.”

For 60 years, crewmembers’ families did not know the exact circumstances surrounding the 86 submariners who perished. Lagarto was last heard from on May 3, 1945, as it was preparing to attack a Japanese convoy under heavy escorts in the Gulf of Thailand. Japanese war records later revealed that the minelayer Hatsutaka reported sinking a U.S. submarine at roughly the same time and location.

In May 2005, British wreck diver Jamie MacLeod reported finding the sunken Lagarto lying upright in about 225 feet of water. Though the documentation provided by MacLeod was compelling, Navy officials waited to see the wreckage for themselves before stating for certain that the wreck was Lagarto. The Thailand phase of exercise Cooperation Afloat Readiness and Training, or CARAT, provided an opportunity for Navy divers to visit the site in June.

“During the initial planning conferences we realized we would have a salvage ship very close to this site,” said Cmdr. Tony San Jose, Seventh Fleet’s Diving and Salvage Officer. “So by incorporating this into CARAT we would be able to bring closure to the families and at the same time accomplish some training objectives.”

In preparation for that expedition, experts at the Naval Historical Center collected and reviewed all of their records about Lagarto, as well as their extensive holdings on Balao-class submarines. The center’s team of historians and underwater archeologists obtained copies of the original plans and photos of Lagarto from the National Archives, consulted with the Wisconsin Maritime Museum in Manitowoc, Wis., where Lagarto was built, and traveled to Baltimore to inspect Lagarto’s sister ship USS Torsk (SS-493), which is now used as a museum.

Because the extreme depth would limit bottom time, the archaeologists and historians prepared an extensive background package to direct the divers towards the physical features most likely to give clues to its identity. They recommended that the divers focus their efforts on several key features, including:

• The number of deck guns. Lagarto was one of only three World War II-era submarines known to have been fitted with two 5-inch deck guns, one forward and one aft.

• The location of the anchor. Depending on the manufacturer, Balao-class submarine anchors were fitted to either the port or starboard side. Submarines built in Manitowoc, like Lagarto, had theirs on the starboard side.

• Markings on the propeller. Naval Historical Center researchers examining the propeller of USS Pompon (SS-267) in Alexandria, Va., found Pompon’s name was stamped on the hub.

• Markings on the forward capstan or torpedo-loading hatches. The inspection of USS Torsk revealed that its name was stamped in these places.

USS Salvor (ARS-52) and USS Patriot (MCM-7) arrived on station June 10. Using coordinates provided by MacLeod, the Japan-based Patriot first pinpointed the location of the wreckage with its SQQ-32 sonar and remotely-operated Mine Neutralization Vehicle. After conducting a precision anchorage directly above the wreck, divers from USS Salvor and Mobile Diving and Salvage Unit One, both based in Pearl Harbor, spent the next six days carrying out a series of dives utilizing mixed gas of helium and oxygen.

The depths limited divers to just 20 minutes of bottom time per dive, with two divers per dive. When each dive was completed, the divers had to spend one hour slowly ascending to the surface, followed by two more hours in a decompression chamber. Given these challenges, dives were limited to three per day, or 16 total over the six days.

“There’s so much time invested in each dive because of the amount of decompression that is required to bring someone back up from that depth,” said Navy Diver Chief Matthew Stevens of USS Salvor. “The main thing is getting down to the bottom, making sure I can clear, making sure that I’m doing what I need to do.”

The divers remained in daily contact with the Naval Historical Center while they were on station, updating the Navy’s underwater archaeologists on their findings. Divers were quickly able to confirm the location of the wreck, the fact that it was a Balao-class submarine, the existence of two 5-inch deck guns, and the starboard location of its anchor. All of these factors indicated that it was Lagarto.

On the final dive, divers left a brass plaque on the capstan of the sub honoring the 86 Sailors believed entombed inside. Back on the surface, Salvor’s crew held a memorial ceremony on deck. Crewmembers also took the time to read letters from family members and reflect on the tragedy that had befallen Lagarto’s crew.

“We all kind of talked about what actually happened and what could have happened,” said GM2 Byran Zenoni, a diver on USS Salvor. “To actually read what the families are saying and how much it really means … it kind of gives you that extra push to really get the job done.”

During their six days on station, the Navy divers took about ten hours of video and 500 digital photographs, which were sent to the Naval Historical Center for analysis. Once there, experts began the long process of examining and evaluating all of the material.

In addition to the twin 5-inch gun configuration and starboard anchor, researchers focused on a spot on the propeller where they had seen Pompon’s name engraved during their inspection of that submarine. Divers were able to scrape away marine growth to show the letters “LA”, which was probably part of Lagarto’s name. They also saw the word “Manitowoc” engraved on the propeller. Lagarto was one of 28 submarines built in Manitowoc, Wis., of which four were lost during the war. None of the other three ill-fated Manitowoc submarines — USS Robalo, USS Kete and USS Golet — was operating near the Gulf of Thailand when they were lost.

As part of their research of Lagarto, Naval Historical Center researchers had interviewed retired Navy Capt. Robert Gillette of the Undersea Museum Foundation. Gillette, who was a submarine commander during World War II, agreed it was Lagarto.

“Manitowoc built a limited number of subs, which increases the probability that this sub is Lagarto,” said Gillette. “It was common practice to put the name of the sub on critical parts, especially the propeller. There is no question in my mind that this wreckage is Lagarto.”

Retired Rear Adm. Paul Tobin, director of the Naval Historical Center, lauded the work of the divers and his staff of historians and archaeologists who helped to confirm the discovery.

“All of the hard work by Pacific Fleet and Naval Historical Center personnel has helped bring some closure to the families of the 86 men lost aboard Lagarto, and has shed new light on one of the many mysteries of World War II”, said Tobin.

Lagarto was one of 52 submarines lost on patrol during World War II. Rear Adm. Cassias, who commands the Pacific submarine force, said that the legacy of the men who served on submarines continues to inspire submariners today.

“We owe a great debt to these men, and to all of the World War II submariners,” said Cassias. “In the world’s darkest hour, they faced the greatest risks, and demonstrated the most noble courage to preserve the freedom of our nation.”


USS Lagarto (SS-371), 1944-1945
USS Lagarto, a 1526-ton Balao class submarine, was built at Manitowoc, Wisconsin. Commissioned in mid-October 1944, she passed down the Mississippi River to salt water in early December and soon went through the Panama Canal to join the war against Japan. Her first war patrol, in February-March 1945, took her into the waters off Japan as part of a three-submarine action group. During this patrol Lagarto sank a small freighter and a submarine, as well as participating in the destruction of a number of picket boats. In April, operating out of Subic Bay in the Philippines, she went into the Gulf of Siam for her second combat patrol, this time in company with the submarine Baya. During the night of 3-4 May 1945, while attacking a Japanese convoy, Lagarto was apparently sunk by the Japanese minelayer Hatsutaka. Her entire crew of 85 officers and men was lost with her.








http://www.clwp.navy.mil/carat2006/news/Thailand/video/USS%20Lagarto-web.wmv <<< VDO Clip

http://www.dbfnetwork.info/lagarto/
http://www.pacificwrecks.com/ships/subs/SS-371.html
http://www.indianamilitary.org/VetGraves/USS%20Lagarto/USS%20Lagarto.htm
http://www.csp.navy.mil/ww2boats/lagarto.htm
http://www.thaiwreckdiver.com/uss_lagarto_discovered.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 11, 2006, 09:23:58 PM โดย NaiMai » บันทึกการเข้า

Nakin
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 115
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3905


รักทุกคนเลย ......


« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2006, 09:38:56 PM »


           เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ    ......     ขอบคุณครับ       Smiley
บันทึกการเข้า

Happy   shooting    ......   

พูดจริง     ก็หาว่า    โกหก     ........     พูดตลก    ก็หาว่า     หลอกลวง
SAVOK CZ
Hero Member
*****

คะแนน 31
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1620


« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2006, 09:58:53 PM »

คิดระยะทางจากสงขลาตั้ง 100ไมล์ทะเล แต่จาก อ.ปะนาเระ ปัตตานีน่าจะถือว่าเขตปัตตานีมากกว่า เพราะ นั่งเรือตกปลาจากอ.สายบุรีถึงเกาะโลซินประมาณ4 ชั่วโมงมั้ง เป็นแหล่งตกปลาที่ดี แหล่งนึง ปลาอินทรีย์ ปลาสาก ช่อนทะเล ฯลฯ เวลาจัดแข่งขันตกปลาของเทศบาลสายบุรี เขตบริเวณจะเริ่มจากเกาะโลซิน อ.ปะนาเระ ลงมา เขตอ.สายบุรี อ.ไม้แก่น และสุดระยะที่นราธิวาสแถวหน้าหากนราทัศน์ เคยไปตกปลามาหลายครั้งรู้แต่ว่าหมายเรือจม ชาวบ้านรู้จักมาหลายสิบปีแล้ว
บันทึกการเข้า


ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
lek
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1594
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 13942


การแบ่งปัน ทำให้เราและคนอื่นมีความสุข


« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2006, 10:35:39 PM »

คงเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าแห่งหนึ่งของไทย
บันทึกการเข้า

มีความสุขแบบที่เรามีก็พอhttp://www.gunsandgames.com/smf/index.php?board=29.0  (รวมพลคนอีสาน)
ลานดาว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 327
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2420


เขาเสียคนที่รักเขามากที่สุด เราเสียคนที่ไม่รักเรา


« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2006, 06:47:24 AM »



เคยได้ยินมาเหมือนกันแต่ไม่เคยทราบรายละเอียดขนาดนี้
ขอบคุณค่ะ..

บันทึกการเข้า

ถ้าตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส ตัญหา  สติปัญญาและความรู้ความสามารถที่มีก็ไร้ค่า  ความคิดอ่านทั้งหมดจะถูกนำมาใช้สนับสนุนความหลงผิด หน้ามืด ตามัว  ถ้าตั้งใจให้สัตย์ปฏิญาณกับตนเองอย่างแข็งแรงไว้ คือเป็นตายอย่างไรจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์  เราก็จะไม่มีวันสร้างเหตุแห่งความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นในภายหลัง
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2006, 08:37:56 AM »

น่าสนใจครับ
บันทึกการเข้า

                
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.067 วินาที กับ 22 คำสั่ง