เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 25, 2024, 05:20:02 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3 4 ... 9
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)  (อ่าน 63895 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« เมื่อ: สิงหาคม 11, 2006, 02:55:21 PM »

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
>>>๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ<<<

>>>ลัทธิล่าอาณานิคม มหันตภัยของไทยทั้งชาติ<<<

ปฏิบัติการสารสนเทศ หรือ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ Information Operations หรือ IO

เราจะสามารถต่อต้านหรือเอาชนะประเทศมหาอำนาจ ด้วยทรัพยากรที่น้อยที่สุดก็สามารถกระทำได้
จากการทำสงครามสารสนเทศ (ทำลายความชอบธรรม เสนอให้ต่างชาติอื่นมองเห็นผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับ
หรือสูญเสียจาการสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน

ความคงอยู่ของอำนาจรัฐของไทย คล้ายๆ กรณี ร.๔ ที่อังกฤษกับฝรั่งเศสคิดทำสนธิสัญญาแบ่งไทย
ด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ ร.๔ ทรงทราบเจตนารมย์ จึงทรงทำสงครามสารสนเทศ กับมหาอำนาจทั้งสอง
แจ้งเจตนารมย์ให้มหาอำนาจอื่นๆ ที่มีอำนาจทัดเทียมกัน เพราะยุคนั้นเป็นยุคล่าอาณานิคมสมัยเก่า
ที่มีมหาอำนาจหลายประเทศ เมื่อมหาอำนาจชาติอื่นๆ เห็นว่าตนกำลังจะสูญเสียผลประโยชน์ที่ตนเองควรจะ
หรืออาจจะได้รับจากการสนับสนุนให้ผู้ปกครอง ผู้ถืออำนาจรัฐของไทยก็จะสนับสนุนไทยต่อต้านอำนาจรัฐอื่นๆ
ที่กระทบผลประโยชน์ของตนเอง ส่งผลให้สนธิสัญญาดังกล่าวระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ไม่ถูกประกาศใช้

เมื่อถึงรัชสมัย ร.๕ ก็ทรงดำเนินนโยบายคล้ายญี่ปุ่นคือ ยอมรับความทันสมัย ทรงปรับปรุงการปกครอง การทหาร
ยอมสูญเสียส่วนน้อยรักษาส่วนใหญ่ สร้างอำนาจต่อรองจากการ Balance of power ดึงมหาอำนาจอื่นมาคานอำนาจ
จนสามารถนำประเทศไทยเป็นเอกราชมาได้ คล้ายกับญี่ปุ่น ที่จักรพรรดิ์ยอมรับอำนาจ โชกุนมอบอำนาจให้จักรพรรดิ์
จนสามารถปรับปรุงพลังอำนาจแห่งชาติของญี่ปุ่น จนทัดเที่ยมมหาอำนาจตะวันตก จนเป็นที่ยอมรับเป็นมหาอำนาจ
ผิวเหลืองหนึ่งเดียวในสมัยนั้น ผิดกับจักรพรรดิ์จีน หลงว่าตนเหนือกว่าตะวันตก ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในที่สุด
เจออังกฤษบ่อนทำลายสังคมด้วยยาเสพติด จนในที่สุดอ่อนแอ ราชวงล่มสลาย กลายเป็นประเทศที่อ่อนแอถูกแบ่ง

ดังนั้นผมจึงมองว่าสงครามสารสนเทศเป็นปัจจัยสำคัญต่อความอยู่รอดของไทยในอดีต และคนโบรานความคิดด้านนี้
ไม่โบราณ เราซึ่งเป็นลูกหลานจะประยุคใช้ประโยชน์จากการทำสงครามสารสนเทศ ให้ประสบผลสำเร็จเยี่ยง
นักยุทธศาสตร์ในอดีตอย่างมีประสิทธิภาพ จนก่อให้เกิดประสิทธิผลต่อประเทศชาติของเราได้อย่างไร ?


การทำสงครามข้อมูลข่าวสารที่มองเห็นจากสภาพการเมืองในปัจจุบันก็คือ มหาอำนาจพยายามสร้างความแตกแยก
ให้สังคมไทย ของคนระดับล่าง ทะเลาะกับระดับกลาง และบน จากสงครามสารสนเทศ สร้างขั้ว แต่ละขั้ว
ซึ่งก็เป็นพวกของมหาอำนาจทั้งนั้น ให้ประชาชนแต่ละระดับมาจับขั้วทั้งสอง สร้างความแตกแยกแบบม็อบชนม็อบ
จากการปั่นสถานการณ์ การกระทบสถาบันหลัก ม็อบคนระดับล่าง ได้รับความอุ้มชูจากประชานิยม ก็จะไม่พอใจ
กลุ่มที่ขับไล่รัฐบาลที่สนับสนุนนโยบายดังกล่าว ก็จะสนับสนุนความคงอยู่ของรัฐบาล ม็อบคนระดับกลางบน
ก็พยายามไล่รัฐบาล ผลสุดท้ายปะทะกันประเทศชาติขาดสามัคคี แตกสลาย ง่ายในการปกครอง ก็สร้างสถานการณ์
สร้างวีระบุรุษขึ้นมาปกครองอีกที เป็นการเปลี่ยนเพียงหมากแตคนคุมเกมสคือมหาอำนาจ นี่คือการทำสงครามสารสนเทศ
ในระดับยุทธศาสตร์แบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่ตามที่กองทัพสหรัฐบัญญัติไว้ แต่ผลที่ออกมากว้างขวางกว่ามาก เราเป็นทหาร
ควรรู้เท่าทันว่าเขาเล่นอะไรกันอยู่ เหตุการณ์นี้ไทยมีความสำคัญในระดับยุทธศาสตร์โลก ในการใช้ไทยลดต้นทุนการผลิต
ด้าน Logistic ดังนั้นสถานการณ์ขณะนี้เหมือนสมัย ร.๔ ที่เราจะ Balance of power ได้อย่างไร เพราะมหาอำนาจกลุ่มอื่นๆ
คงไม่ยอมสูญเสียผลประโยชน์ในไทยอย่างแน่นอน ทำอย่างไรเราจึงสามารถ หาผู้นำที่มีวิสัยทรรศน์เยี่ยงเดี่ยวกับ ร.๔ หรือ
จักรพรรดิ์ของญี่ปุ่นได้ในสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของชาติไทย ?


กลุ่มที่ทะเลาะสร้างความแตกแยกในชาติ เป็นเพียงหมากรุกตัวหนึ่งที่ชาติมหาอำนาจเป็นผู้เดินเกมส์ สร้างความปั่นป่วน
ทะเลาะเบาะแว้งของสังคมไทย เพื่อแบ่งแยกให้ง่ายในการปกครอง หลังจากทำลายสถาบันทหารด้วยเหตุการณ์ พ.ค.ทมิฬ
แยกทหารกับประชาชน ล้มดาบอาญาสิทธิ กฏหมายการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ สถาบันตำรวจด้วยกฏหมายต่ำกว่า
กฏหมายตั้งกรมตำรวจ และสลายอำนาจข้าราชการปกครอง เพราะสถาบันทหาร ตำรวจ และข้าราชการปกครอง
มีหน้าที่ดูแลสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะถ้ามุ่งเน้นที่สถาบันกษัตริย์ ซึ่งค้ำจุนศาสนา ซึ่งในที่สุด สังคมไทย
จะแตกสามัคคี เจตคติความภูมิใจในความเป็นชาติก้จะหมดไป หมากรุกที่เขาคุมเกมส์อยู่ก็จะถุกชักใยขึ้นมามีอำนาจ
ตามสถานการณ์ที่เขาสร้างขึ้น เป็นการเปลี่ยนเพียงหมาก แต่คนคุมเกมส์ไม่เปลี่ยน แต่ชาติไทยอาจถูกแบ่ง โดยง่ายดาย
เพราะขาดสามัคคี จากการทำลายสถาบันหลักของเราในที่สุด

ระวังการเบี่ยงเบนประเด็น ในนโยบายประชานิยม ที่ตอนนี้ฮิตใช้กันทั่วไปในสังคมโลก ไม่ว่าเอเชีย ลาติน ฯลฯ
หากนโยบายนี้เป็นแผนที่ถูกใช้เพื่อสร้างความแตกแยกของสังคมประเทศ มันจะมีความสำคัญเกินกว่าความมั่นคงได้อย่างไร?

ศัตรูตัวฉกาจของระบบโครงสร้างทางอำนาจในการดูดซับทรัพยากรเข้าสู่ประเทศศูนย์กลางระบบผ่านทางค่าเงินดอลลาร์
(เงินกงเต็ก ไม่มีอะไรค้ำประกันนอกจากความมั่นคงของประเทศ แค่อเมริกาทำให้ตนเองดูมั่นคง เงินดอลลาร์ที่ทุกประเทศ
ใช้กันก็จะส่งผลประโยชน์กลับไปสู่ประเทศศูนย์กลางระบบอยู่ได้) แต่ประเทศใดใช้วิธีการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า
มันจะกระทบระบบ เหมือนอเมริกาพยายามเปลี่ยนผู้นำลาตินที่มีนโยบายผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า
สนับสนุนการปฏิวัติของกลุ่มไม่ว่าลัทธิอุดมการณ์ใดเพื่อส่งผู้นำหุ่นเชิดปกครองแทน ระบบเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นระบบ
ที่คัดง้างอำนาจของระบบโครงสร้างทางอำนาจดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเขาต้องหาทางกำจัด ไม่เช่นนั้น
เมื่อมันเวิร์ค ประเทศอื่นๆ จะเอาเยี่ยงอย่าง และนั่นก็จะกระทบกับระบบโครงสร้างทางอำนาจในการดูดซับทรัพยากร
เข้าสู่ประเทศศูนย์กลางระบบผ่านทางค่าเงินดอลลาร์ บ่อนทำลายอำนาจต่อรองอเมริกาในที่สุด

History repeats itself
เหตุการณ์มันย้อนกลับอีกครั้ง เพราะมหาอำนาจมักใช้วิธีการแยกขั้วให้ทะเลาะกันเอง ในอดีตก็สงครามโลกครั้งที่ ๑
สร้างสถานการณ์ลอบปลงพระชนต์ ยุโรปแยกขั้วทำสงครามผลคือยุโรปอ่อนแอ อเมริกากลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

สร้างความแตกแยกจากการสร้างสถานการณ์เทขายหุ้นในปี ค.ศ.1929 ส่งผลให้ประเทศต่างๆ วิตกกังวลกับ
การผลิตล้นเกิน จึงแก้ไขปัญหาตามขีดความสามารถตน พวกมีอาณานิคมก็จับกลุ่มกันกีดกันการค้า ญี่ปุ่น ไทย
เป็นเผด็จการทหาร อเมริกาให้เยอรมันกู้ผลิตสินค้าแข่งขันกับประเทศอุตสาหกรรมเก่า จนกลุ่มที่มีอาณานิคม
ประเทศอุตสาหกรรมเก่ากีดกันทางการค้าขายสินค้าไม่ได้ แต่เยอรมันก็ได้รับเงินกู้ต่อไป แต่ฮิตเลอร์นำไปพัฒนา
พลังอำนาจทางทหารจนเกิด Military balance จนเกิดแบ่งข้างทำสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในที่สุด
สุดท้ายยุโรปอ่อนแอ อเมริกาเป็นมหาอำนาจแบบเบ็ดเสร็จแทนที่ยุโรปในที่สุด

จะเห็นว่าวิธีการยุแหย่แยกขั้วให้ทะเลาะกันเอง แล้วอเมริกานั่งบนภูดูเสือกัดกัน
เป็นวิธีการแบบเดิมๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเกินที่พวกเราจะมองเห็นได้

การแทรกแซงกับสถานการณ์ระดับโลกกับภายในประเทศแปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยของประเทศนั้นๆ เท่านั้นเอง


14 ต.ค. ยุคโหยหาประชาธิปไตย หาพวกจากการปล่อยข่าวทฤษฏีโดมิโน่

6 ต.ค. แยกขั้วขวา กับซ้าย ให้ทะเลาะกัน คนเดินเกมส์หน้าเดิม มหา สมัคร ไล่ฝ่ายซ้ายไปอยู่ป่า

หลังจากนั้นก็ให้ประธาน กับรองประธานสภาเปรสซิเดี่ยม ออก 66/23 ให้ออกจากป่า
พวกออกจากป่า บางพวกเป็น NGO นักวิชาการ นักการเมือง ที่มีบทบาทในปัจจุบัน

พ.ค.ทมิฬ แยกขั้วทหารกับประชาชน ก็คนกลุ่มเดิมอีกเป็นคนเดินเกมส์

สถานการณ์ปัจจุบันก็คนกลุ่มเดิมอีก

สรุปก็พวกสปายของมหาอำนาจทั้งนั้น สังเกตุให้ดี


http://www.do.rtaf.mi.th/Webboard/answer.asp?id=428&VIEW=151
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 30, 2006, 09:30:15 AM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2006, 02:57:48 PM »

เจาะประวัติ "ซีไอเอ"

คัดลอกมาจากหนังสือ "ร้ายสาระ" โดย ศิลป์ อิศเรศ

เรื่องราวลึกลับต่างๆ ที่เราได้ยินมาได้ฟังมา มักจะมีการกล่าวอ้างว่ามีหน่วยสืบราชการลับ
หน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐเข้ามาพัวพันเสมอๆ และหน่วยงานนั้นก็คือ ซีไอเอ วันนี้
เราจะมาทำความรู้จักกันว่า พวกเขาเป็นใครกัน

ก่อนจะมาเป็น ซีไอเอ (Central Intelligence Agency)




ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลท์ (FRANKLIN D. ROOSEVELT)

ได้มีดำริที่จะก่อตั้งหน่วยสืบราชการลับขึ้นเขาจึงได้สั่งให้ทนายชาวนิวยอร์ก
วิลเลี่ยม เจ โดโนแวน (WILLIAM J. DONAVAN)

เขียนร่างแบบโครงสร้างของหน่วยสืบราชการลับขึ้น

เมื่อรูปแบบขององค์กรได้รับการอนุมัติ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942
สำนักงานยุทธศาสตร์ หรือ The Office of Strategic Services (OSS) ก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้น

โดยมีหน้าที่หลักในการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้ในราชการทหาร โดยรับคำสั่งจาก
คณะเสนาธิการร่วม (the Joint Chiefs of Staff)

โอเอสเอส เป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่ขึ้นกับใคร ในช่วงที่เกิดวิกฤติสงคราม โอเอสเอส ได้มีอิทธิพลอย่างมาก
ต่อการตัดสินใจของกองทัพ แต่ถึงกระนั้น โอเอสเอส ก็ใช่ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในด้านงานสืบราชการลับ
ระหว่างประเทศ เพราะในช่วงทศวรรษที่ 1930 นั้น หน่วยงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในงานสืบราชการลับ
ในพื้นที่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาก็คือ เอฟบีไอ (FBI)




ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 หน่วยงาน โอเอสเอส ก็ถูกปิด อาจจะเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบสิ้นลง
จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ โอเอสเอส อีกต่อไป ภารกิจและเอกสารต่างๆ ถูกส่งมอบต่อให้กับกระทรวงต่างประเทศ
แต่อย่างไรก็ตามกองทัพยังมีความต้องการ การใช้งานสืบราชการลับหลังวิกฤติสงคราม 11 เดือนต่อมา
พลตรี วิลเลี่ยม จึงได้ทำหนังสือถึงประธานาธิบดี แฟรงกลิน เพื่อขอให้มีการจัดตั้งหน่วยสืบราชการลับขึ้นมาใหม่

หน่วยงานที่ถูกก่อตั้งใหม่ครั้งนี้จะไม่รับคำสั่งจากคณะเสนาธิการร่วม แต่จะขึ้นตรงกับประธานาธิบดี อีกทั้งหน่วยงานนี้
จะปฏิบัติหน้าที่ทั้งราชการลับและเปิดเผย ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากหน่วยงานนี้จะถูกนำไปใช้ในหน่วยงานราชการทุกที่
ที่มีความต้องการไม่จำกัดเฉพาะงานราชการทางการทหาร

ดังนั้น หน่วยงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นจึงต้องประสานงานกับหน่วยงานราชการทุกหน่วยงาน เสมือนหนึ่งเป็นขุมกำลังหรือ
ศูนย์กลางของหน่วยงานราชการของสหรัฐ พลตรี วิลเลี่ยม ยังได้เสนอให้หน่วยงานใหม่นี้มีอำนาจในการเข้าแทรกแซง
กิจการภายในของประเทศต่างๆ ด้วย

กองทัพสหรัฐ คัดค้านการก่อตั้งหน่วยงานนี้ทันที ส่วนกระทรวงต่างประเทศก็ค้านอย่างนุ่มนวลว่า สงครามได้สงบลงแล้ว
การเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นอาจทำลายความสัมพันธ์อันดีกับประเทศพันธมิตร และทุกวันนี้ เอฟบีไอ
ก็ทำหน้าที่ในการเป็นแหล่งข่าวกรองให้กับกองทัพได้อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว

แต่ก็ยังพอจะมีคนที่เห็นด้วยกับความคิดของ พลตรี วิลเลี่ยม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1946
ประธานาธิบดี แฮร์รี่ เอส ทรูแมน (Harry S. Truman)

ได้อนุมัติให้ก่อตั้ง ศูนย์กลางหน่วยสืบราชการลับ (the Central Intelligence Group - CIG) โดยมีหน้าที่เข้าเสริมและ
ช่วยเหลืองานหน่วยสืบราชการลับที่มีอยู่ของราชการแค่นั้นไม่ใช่เข้ามามีบทบาทอย่างเต็มตัว ทั้งนี้งานทั้งหมดอยู่ภายใต้
การควบคุมขององค์การสืบราชการลับแห่งชาติ (National Intelligence Authority)

ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป้นผู้อำนวยการ ซีไอจี คนแรกคือ พลเรือตรี ซิดนีย์ โซเออร์ (Rear Admiral Sidney Souers)
อดีตผู้ช่วยเสนาธิการทหารเรือเพียงแค่ 20 เดือนต่อมา องค์การสืบราชการลับแห่งชาติ และภารกิจทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งรวมถึง ซีไอจี ก็ถูกยกเลิก

ในที่สุด ซีไอเอ ก็เกิด
ภายใต้ข้อกำหนดของ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ 1947 หน่วยงาน 2 หน่วยงานก็ถูกจัดตั้งขึ้นในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1947
หน่วยงานแรกคือ สภาองคมนตรีรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (The National Security Council - NSC) และคงไม่ต้องเดาให้เสียเวลา
หน่วยงานที่สองคือ องค์การสืบราชการลับหรือที่บางคนเรียกว่า หน่วยข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency - CIA)

ซีไอเอ ได้จัดตั้งขึ้นโดยอาศัยแบบโครงร่างของหน่วยสืบราชการลับที่ พลตรี วิลเลี่ยม ได้ร่างขึ้น เอ็นเอสซี จะมอบหมาย
งาน "เฉพาะกิจ" ที่เกินขอบเขตอำนาจของตำรวจ และหน่วยป้องกันภัยแห่งชาติให้แก่ ซีไอเอ เป็นผู้สะสาง

ในปี ค.ศ. 1949 ซีไอเอ ได้รับอนุมัติให้ใช้งบประมาณแผ่นดินส่วนหนึ่งได้ถูกกันไว้ให้กับ ซีไอเอ โดยเฉพาะ
ซึ่งเป็นงบราชการลับโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสืบสาวไปถึงภารกิจ
ที่เป็นความลับของ ซีไอเอ อีกทั้งยังเป็นการปกป้องตัว ซีไอเอ จากการถูกสืบสาวไปถึงตัวองค์กร
โครงสร้างขององค์กร เจ้าหน้าที่ ขนาดขององค์กร และข้อมูลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง

เดิมที ซีไอเอ อยู่ใต้การบังคับบัญชาของ สภาสามัญของหน่วยสืบราชการลับที่ชื่อ
Deputy Director of the Central Intelligence Agency (DDCIA) จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953
ก็มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการ ซีไอเอ ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งก็คือ
พลเอก วอลเตอร์ บีเดลล์ สมิทธ์ (General Walter Bedell "Beetle" Smith)

สภานิติบัญญัติได้เริ่มมองเห็นความสำคัญ และความยิ่งใหญ่ของตำแหน่งผู้อำนวยการ ซีไอเอ ดังนั้น
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1953 พวกเขาจึงได้เปลี่ยนแปลงข้อกำหนดของนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ 1947
โดยให้ภารกิจของ ซีไอเอ ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดี ซึ่งทั้งนี้คำสั่งต่างๆ ที่จะส่งไปยัง ซีไอเอ
จะต้องผ่านความเห็นชอบของสภาสูงเสียก่อน

ซีไอเอ พระเอกหรือผู้ร้าย
ซีไอเอ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับคดีอื้อฉาวมากมายนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา เช่นถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สร้างพื้นที่ 51

ขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานีทดลองเครื่องบินล่องหน (Stealth aircraft)

และกลายเป็นสถานีทดลองเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาวในที่สุด

ปี ค.ศ. 1953 ผอ. อัลเลน ดูลเลส (Allen Welsh Dulles)

สั่งให้มีการทดลองการควบคุมจิตใจมนุษย์ Mind control ภายใต้ชื่อการทดลอง MKULTRA
ซึ่งการทดลองนี้ได้ผลาญงบประมาณแผ่นดินไปหลายล้านเหรียญทีเดียว ในปี ค.ศ. 1960 ซีไอเอ
ได้อยู่เบื้องหลัง การลอบสังหารผู้นำคณะปฏิวัติของคิวบา คือนาย ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)


วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1961 ซีไอเอ ส่งพลร่ม 1,300 นาย ไปปฏิบัติภารกิจในคิวบา ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ
ปี ค.ศ. 1962 ซีไอเอ พัวพันกับการลอบติดกล้องจารกรรมในเครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อดัง
ที่ถูกใช้ในสถานทูตรัสเซียประจำกรุงวอชิงตัน

ในสงครามเวียดนาม ซีไอเอ ได้ใช้สงครามจิตวิทยา สร้างความรุนแรงเพื่อให้ประชาชนต่อต้านพวกเวียดกงมีรายงานว่า
มีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกฆาตกรรมถึง 20,000 คน แต่ก็มีแหล่งข่าวบางแห่งแย้งว่ายอดของเหยื่อน่าจะสูงถึง 40,000 คน

ปี ค.ศ. 1995 ซีไอเอ ริเริ่มโครงการสายลับพลังจิตภายใต้ชื่อ โครงการสตาร์เกต โดยมีจุดประสงค์ที่จะ
ทำการจารกรรมระยะไกล เช่น การสืบหาแหล่งที่ซ่อนใต้ดินของข้าศึกหรือสถานที่กักกันเชลย

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของเรื่องราวอื้อฉาวที่ ซีไอเอ มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ในอันที่จริงแล้ว
เราจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ยังเป็นปริศนามากกว่าร้อยเรื่อง จนเมื่อวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996
ได้มีการเดินขบวนประท้วง ซีไอเอ ที่ลอสแองเจลิส เพื่อขอให้ ซีไอเอ ยุติภารกิจต่างๆ
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2006, 04:13:56 PM »

เอาเรื่อง IO ไม่ใช่เรื่องที่แลงลี่ย์นะครับ... นายสมชายเชื่อเรื่อง IO เพราะเรียนด้านนี้มา...

แต่การตีความใช้ฯ ตามข้างบนมีหลายประเด็นต้องแยกเรื่องนะครับ... แฮ่ๆ
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2006, 11:33:49 PM »

เอาเรื่อง IO ไม่ใช่เรื่องที่แลงลี่ย์นะครับ... นายสมชายเชื่อเรื่อง IO เพราะเรียนด้านนี้มา...

แต่การตีความใช้ฯ ตามข้างบนมีหลายประเด็นต้องแยกเรื่องนะครับ... แฮ่ๆ
เพราะหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่เอา IO มาใช้มากที่สุดครับเลยต้องบอกที่มาที่ไปของหน่วยงานก่อน
และอีกอย่างผมคัดลอกมาจากหนังสือเกือบทุกตัว ยกเว้นคำผิดถึงจะแก้ไขครับ

ลืมบอกไปครับ ถ้าต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมให้คลิ๊กที่ภาพหรือข้อความ จะลิงค์ไปที่ WIKIPEDIA
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 11, 2006, 11:40:10 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2006, 11:36:25 PM »

บันทึกลับรายงานจานบิน

มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า ในช่วงต้นๆ ของการสำรวจวัตถุบินลึกลับ ซีไอเอ ได้ทำรายงานการสำรวจปลอมขึ้น
เพื่อปกปิดปฏิบัติการลับของพวกเขาต่อสาธารณชน หรือว่าวัตถุบินลึกลับที่ชาวบ้านเห็นบินอยู่บนท้องฟ้า
ในช่วงทศวรรษที่ 1950 แท้ที่จริงแล้วก็คือ เครื่องบินล่องหนลำแรกของโลก U2 ?


หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบสิ้นลงราวปลายทศวรรษที่ 1950 หลายประเทศทั่วโลกก็ตกอยู่ในสภาวการณ์
"สงครามเย็น" (Cold War) ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐหลายคนเชื่อกันว่า
ปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับ (UFO phenomenon) ที่พบเห็นบ่อยครั้งในช่วงนี้ เกิดจากการข่มขู่ของพวกมนุษย์ต่างดาว


พบจานบินครั้งแรก

รายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1947 เมื่อเคนเนท อาร์โนลด์ (Kenneth A. Arnold)

นักธุรกิจและนักบินเครื่องบินส่วนตัวกำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาเรนเนียร์ (Mount Rainier)

รัฐวอชิงตัน

ขณะนั้นเขากำลังบินอยู่ที่ระดับความสูง 9,000 ฟุต เมื่อเขามองต่ำลงมาก็พบว่า
มีวัตถุลึกลับคล้ายจานจำนวน 9 ลำ บินอยู่เบื้องล่าง

จากนั้นมาก็เริ่มมีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับทั้งจากนักบินกองทัพอากาศ นักบินพาณิชย์
และเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการบินทั่วสหรัฐ พลอากาศเอก นาธาน ทวินิง (General Nathan F. Twining)

หัวหน้าศูนย์บริการเทคนิคการบินจึงได้เริ่ม "โครงการจานบิน" (Project Saucer) ขึ้นในปี ค.ศ. 1948
โครงการนี้มีหน้าที่ในการรวบรวม ตรวจสอบ วัดผล และสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับ
เพื่อใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่ายานอวกาศจากนอกพิภพอาจเป็นเรื่องจริง และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
ซึ่งในเวลาต่อมา นาธาน ได้เปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการสัญลักษณ์" (Project Sign)

หน่วยงานที่รับผิดชอบในโครงการสัญลักษณ์ก็คือ แผนกเทคนิคสืบราชการลับ ของศูนย์ยุทโธปกรณ์การบิน
ที่ฐานทัพไรท์ (Wright field) ซึ่งปัจจุบันก็คือฐานทัพอากาศไรท์-แพทเทอร์สัน (Wright-Patterson Air Force Base)

ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเดทัน รัฐโอไฮโอ


โครงการสัญลักษณ์ได้เริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 มกราคม 1948 ในตอนแรกนั้นบรรดานักวิจัย
ต่างเชื่อว่า วัตถุบินลึกลับ เหล่านั้นเป็นอาวุธของรัสเซีย แต่ต่อมาเมื่อมีการสืบสวนลึกลงไปก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่
พวกเขาคาดไว้ พวกเขาจึงสรุปว่าวัตถุบินลึกลับที่พบเห็นกันอาจจะเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ก็ได้

ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ข้อสรุปใหม่ว่าปรากฏการณ์ที่ได้รับแจ้งส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่เกิดจากผู้แจ้งข่าว
เพ้อเจ้อไปเองบ้าง ข่าวเท็จบ้าง สำคัญผิดบ้าง และบางครั้งก็เกิดจากผู้อยู่ในเหตุการณ์เป็นโรคประสาท
แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงสืบสวนเรื่องปรากฏการณ์ประหลาดเหล่านี้อยู่ต่อไปเพราะพวกเขาก็ยังคงคิดว่า
มีหลายเหตุการณ์ที่อาจเป็นเรื่องจริง

บิดเบือนข้อมูล

ท่ามกลางข่าวลือเรื่องวัตถุบินลึกลับที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพอากาศก็ยังคงพยายามที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ
ปรากฏการณ์นี้เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน ในปลายทศวรรษที่ 1940 กองทัพอากาศได้เริ่มโครงการใหม่ชื่อว่า
"โครงการกรูดจ์" (Project Grudge)

โครงการนี้มีหน้าที่ในการสร้างข่าวออกสู่สาธารณชน เพื่อให้ประชาชนคลายความวิตกกังวลเรื่องมนุษย์ต่างดาวจะบุกโลก
โดยการออกข่าวชักจูงให้ประชาชนมีความเห็นคล้อยตามว่าวัตถุบินลึกลับที่เห็นนั้นเป็นเรื่องอธิบายได้ง่ายๆ
หาใช่จานบินของมนุษย์ต่างดาว เช่น ลูกบอลลูน เครื่องบิน ดาวเคราะห์ ดาวตก ฝนลูกเห็บ หรือแสงสะท้อน

จากการสืบสวนอยู่นานนับปี ก็ไม่พบหลักฐานว่าปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับจะเกิดจากการบุกรุกจากพวกมนุษย์ต่างดาว
หรือแม้แต่เป็นอาวุธลับของประเทศที่เป็นศัตรูของสหรัฐ ในทางตรงกันข้าม การที่รัฐบาลตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมา
สืบสวนเรื่องนี้กลับทำให้ประชาชนต่างยิ่งหวาดผวาว่าเรื่องที่พวกเขากลัวจะเป็นความจริง ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ล้มเลิก
โครงการนี้ลงเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1949

เลิกไม่ได้

วันที่ 19-20 กรกฏาคม 1952 เรดาร์ของสนามบินนานาชาติใน กรุงวอชิงตัน และ ฐานทัพอากาศแอนดรูว์
จับภาพวัตถุบินลึกลับได้ แล้วจู่ๆ มันก็หายไปจากจอเรดาร์ วันที่ 27 กรกฏาคม มันก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกและหายไปเฉยๆ
เหมือนครั้งก่อน กองทัพอากาศก็รีบออกมาให้ข่าวว่ามันเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกระทันหันจึงทำให้
สัญญานเรดาร์สะท้อนกลับ

วันที่ 29 กรกฏาคม ว่าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับสายวิทยาศาสตร์ของ ซีไอเอ
(CIA's Acting Assistant Director for Scientific Intelligence) ได้ทำบันทึกรายงานถึง
ว่าที่ผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับว่า "สืบเนื่องจากการที่มีผู้พบเห็นวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติทั้งชนิด
เห็นได้ด้วยตราเปล่าและปรากฏบนจอเรดาร์เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษขึ้น
เพื่อหาข้อเท็จจริง"

งานชิ้นแรกที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษกระทำก็คือ การสืบค้นข่าวจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารของรัสเซียเพื่อหาดูว่า
ทางค่ายคอมมิวนิสต์นั้นมีการสร้างอาวุธลับอะไรหรือเปล่า เพราะพวกเขาเกรงว่าวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติเหล่านั้น
อาจมาจากรัสเซีย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีข้อมูลใดสามารถนำมาผูกโยงกับเรื่องนี้ได้

เป็นภัยต่อความมั่นคง

วันที่ 1 สิงหาคม เอ็ดเวิร์ด เทาส์ (Edward Tauss) หัวหน้าฝ่ายสรรพาวุธของ ซีไอเอ ได้รายงานข่าวว่า
จากการที่เขาได้ตรวจสอบข่าววัตถุบินลึกลับกว่า 1,000 ข่าวที่ถูกส่งมายังฝ่ายเทคนิคการบิน
(Air Technical Intelligence Center - ATIC) นั้นมีอยู่ราว 100 ข่าวที่ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ว่าเกิดจากอะไร

แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาหาเหตุผลมาอธิบายปรากฏการณ์นั้นไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะว่าข้อมูลข่าว
ที่ได้รับแจ้งนั้นมีน้อยเกินไป และตราบใดที่เขายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันคืออะไร รัฐบาลควรที่จะต้องปกปิด
เรื่องเหล่านั้นไว้เป็นความลับ

เอ็ดเวิร์ด ยังได้แนะนำอีกด้วยว่าประชาชนไม่ควรจะรู้ด้วยซ้ำว่ารัฐบาลกำลังทำการสืบสวนเรื่องวัตถุบินลึกลับนี้อยู่
หาไม่แล้วประชาชนจะต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้นต่อสาธารณชน ซึ่งรัฐบาลเองก็ยังไม่มีคำตอบ

ปัญหาที่น่าห่วงที่สุดก็คือ ถ้าหากมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ กองทัพจะรู้ได้อย่างไรว่าภาพที่เห็นบนจอเรดาร์นั้น
เกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดของเรดาร์ หรือเป็นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว หรือร้ายที่สุดก็คือเป็นขีปนาวุธของรัสเซีย

ค้นหาความจริง

รัฐบาลสหรัฐเกรงว่ารัสเซียอาจจะฉวยโอกาสนี้ยิงขีปนาวุธเข้าโจมตีสหรัฐ โดยที่ทางสหรัฐไม่ทันได้ตั้งตัว
เหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกระทิและผู้เชี่ยวชาญทางการบินระดับสูงกลุ่มหนึ่งจึงได้รวมตัวกันก่อตั้งองค์กรลับๆ ขึ้น
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1953 เพื่อสืบสาวราวเรื่องหาข้อมูลเกี่ยวกับการบุกเข้าโจมตีจากมนุษย์ต่างดาว
พวกเขาตั้งชื่อองค์กรนี้ว่า คณะกรรมการโรเบิร์ทสัน (Robertson Panel)
(ความเห็นส่วนตัวว่า ในกรณีขององค์กรนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าเอา IO มาใช้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเบี่ยงประเด็นความสนใจ
ของสาธารณชนและปกปิดข้อมูลที่ไม่รู้หรือรู้แต่ไม่ต้องการเปิดเผย ถ้าเทียบกับสถานการณ์การเมืองของไทยก็คือ
กรณีที่รัฐบาลสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เพื่อเบี่ยงประเด็นความสนใจของประชาชนให้กระจัดกระจายรวมตัวกันไม่ได้
ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกันเองระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ, หรือในการแสดงความคิดเห็นบนเวปบอร์ดเอง
ก็มีกลุ่มจัดตั้งเพื่อคอยเบี่ยงเบนประเด็นให้มีการทะเลาะกันเองอยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อทำให้ไม่ไว้ใจกันเองระหว่างกลุ่มที่ต่อต้าน
รัฐบาลโดยอ้างความชอบธรรมในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง)


ระหว่างวันที่ 14-17 มกราคม 1953 บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เวลาราว 12 ชั่วโมงทำการศึกษาและหาคำอธิบาย
ให้กับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ทางกองทัพอากาศได้รวบรวมหลักฐานมา และสรุปว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดนั้น
เป็นเหตุการณ์ธรรมชาติธรรมดาๆ อย่างเช่น ฟิล์มภาพยนตร์ที่จับภาพวัตถุบินลึกลับเหนือเมืองทรีมอนตัน รัฐยูธาท์
เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 1952 เป็นเพียงแค่สภาพแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่ไปกระทบฝูงนางนวล หรือ
ภาพถ่ายวัตถุบินเหนือน้ำตกในมอนทานา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1950 เป็นเพียงแสงสะท้อนจากเครื่องบิน 2 ลำ

คณะกรรมการได้สรุปโดยมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่มีการบุกรุกเพื่อเข้าโจมตีจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือแม้แต่หลักฐานที่เพียงพอ
ที่จะยืนยันได้ว่าวัตถุบินลึกลับที่เห็นนั้นเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ด้วยเหตุผลเดียวกับที่คณะกรรมการชุดก่อนได้สรุปเอาไว้ว่า
ปรากฏการณ์นี้อาจเป็นภัยต่อระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศ จึงควรปกปิดเรื่องวัตถุบินลึกลับนี้ไม่ให้สาธารณชนทราบ
http://www.larryhatch.net/MAPSMENU.html

"สงครามเย็น" (Cold War)

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 รัสเซีย กลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามของสหรัฐ เนื่องจากรัสเซียได้ทำการศึกษาและวิจัย
อาวุธนิวเคลียร์และจรวดนำวิถี และเมื่อถึงฤดูร้อนของปี 1949 รัสเซีย ก็เริ่มผลิตระเบิดปรมาณูและก็ทำการทดลอง
เป็นผลสำเร็จเช่นกัน

วุฒิสมาชิกของสหรัฐ ริชาร์ด รัสเซลล์ และผู้ติดตามได้ไปเยือนรัสเซียเมื่อเดือนตุลาคม 1955 ขณะที่พวกเขานั่งอยู่บนรถไฟ
ในรัสเซีย ทุกคนต่างเห็นวัตถุบินรูปร่างประหลาดคล้ายจานบินอยู่บนท้องฟ้า แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ ซีไอเอ เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้
พวกเขาก็สรุปว่าสิ่งที่วุฒิสมาชิกและคณะเห็นนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องบินเจทที่กำลังไต่เพดานบินเท่านั้น

วัตถุบินลึกลับตัวจริง

เดือนพฤศจิกายน 1954 ซีไอเอ ได้เปิดตัวเครื่องบินสอดแนมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เครื่องบินลำนี้พัฒนาขึ้นมา
โดยฝ่ายพัฒนาขั้นสูงของ บริษัท ลอคฮีด ในเมืองเบอร์แบง รัฐแคลิฟอร์เนีย
หรือที่รู้จักกันในนามของ สกังเวิร์ค (Skunk works)


ถูกแล้วครับ ผมกำลังพูดถึงเครื่องบินล่องหนลำแรกของโลก U2 เจ้าเครื่องบินลำนี้ได้ถูกทดสอบบินเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนสิงหาคม 1955 โดยนักบินที่มีชื่อเสียง เคลลีย์ จอห์นสัน (Kelly Johnson)


เครื่องบิน U2 นี้ใพดานบินสูงถึง 60,000 ฟุต ซึ่งในช่วงทศวรรที่ 1950 นั้นเครื่องบินส่วนใหญ่จะมีเพดานบิน
อยู่แค่ 10,000 ฟุต หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 20,000 ฟุต และด้วยเหตุที่เครื่องบิน U2 เป็นอาวุธลับที่ไม่สามารถ
เปิดเผยให้สาธารณชนทราบได้ จึงทำให้มีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับถี่ขึ้นในช่วงนี้

บิดเบือนเพราะจำเป็น

เครื่อง U2  รุ่นแรกๆ นั้นเป็นสีเงิน ทำให้มันสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดี เมื่อมองจากที่ต่ำกว่าจะทำให้ดูเหมือนเป็น
วัตถุที่โชติช่วง ดังนั้นเมื่อมีรายงานพบวัตถุบินลึกลับที่ส่องสว่างเป็นประกาย รัฐบาลก็พอจะทราบอยู่ว่าเจ้าสิ่งนั้น
ก็คือเครื่องบิน U2 นั่นเอง แต่เป็นเพราะว่ามันเป็นความลับ รัฐบาลจึงต้องบิดเบือนว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นปรากฏการณ์
ธรรมชาติ เช่น ผลึกน้ำแข็งบนท้องฟ้า หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยกระทันหัน

ท้ายที่สุด รัฐบาลก็กลับเป็นต้นเหตุที่ทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่นในเรื่องวัตถุลึกลับเสียเอง แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐ
จะประสบความสำเร็จในการปกปิดเรื่องเครื่องบินล่องหน U2 แต่มันก็นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่พวกเขาพยายามแก้ไข
มาหลายสิบปี นั่นก็คือการลดความแตกตื่นของประชาชนในเรื่องยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว

และอย่างที่เราทราบกันดีแล้วว่าเครื่องบิน U2 ไม่ใช่โครงการลับโครงการเดียวของรัฐบาลสหรัฐ
แต่ยังมีโครงการลับอื่นอีกนับสิบโครงการที่รัฐบาลสหรัฐปฏิเสธว่ามันไม่มีจริง ก็ลองคิดดูแล้วกันว่า
จะมีประชาชนชาวอเมริกันได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับบนท้องฟ้ามากมายและบ่อยขนาดไหน

มีเรื่องราวที่เป็นปริศนามากมายที่รัฐบาลสหรัฐรูดซิบปากเงียบในตอนแรก และมาเปิดเผยความ(ไม่)จริง
หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปเนิ่นนานหลายปี หรือเป็นเพราะว่าพวกเขารอสร้างหลักฐานให้ดูสมจริงสมจังเสียก่อน
จึงค่อยนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 12, 2006, 02:35:17 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2006, 11:52:25 PM »

Cheesy.. ขอบคุณมากครับ คุณ narongt ..และทุกท่านที่ช่วยนำเสนอข้อเท็จจริง ในเรื่องนี้ ครับ..
        สนใจมากครับ เรื่องชีวิตนอกโลก.. และความลึกลับนอกโลก..
        ผมเชื่อว่าโลกเรามีเพื่อน ไม่โดดเดียว เดียวดายในจักรวาล..  Grin
   
        เวลาปลีกวิเวก .. ชอบที่จะนอนราบ ตากน้ำค้าง ดูท้องฟ้า..  ถึงจะไม่เห็นสิ่งแปลกตา อะไรเลย..  Cheesy
บันทึกการเข้า

narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #6 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2006, 12:48:18 AM »

โครงการลับออโรร่า

จนถึงปัจจุบันนี้ พื้นที่ 51 (Area51) ยังคงความเป็นเขตลึกลับที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
แต่ถึงกระนั้นก็มีคนจำนวนมากพยายามที่จะเสาะแสวงหาข้อมูลออกมาตีแผ่ต่อสาธารณชนว่า รัฐบาลสหรัฐ
กำลังปกปิดอะไรไว้เบื้องหลังดินแดนต้องห้าม และหนึ่งในโครงการลับของรัฐบาลสหรัฐที่ทำการทดลอง
ณ ที่แห่งนี้คือ "โครงการออโรร่า" (AURORA)

ออโรร่าคืออะไร?
ออโรร่า (AURORA) เป็นโครงการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเครื่องบินรบล่องหนของกองทัพอากาศสหรัฐ ชื่อ
"โครงการออโรร่า" เป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 เมื่อกองทัพสหรัฐได้ยื่นเอกสารต่อสำนักงบประมาณ
เพื่อขออนุมัติเงินจำนวน 80 ล้านดอลลาร์มาใช้เริ่มต้นโครงการป้องกันภัยทางอากาศที่ใช้ชื่อว่า ออโรร่า และ
โครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้งบประมาณผูกพันไปถึงปี ค.ศ. 1987 เป็นเงินอีกราวสองพันล้านดอลลาร์

เป็นที่เชื่อกันว่ากองทัพอากาศสหรัฐได้เปลี่ยนชื่อโครงการนี้เป็นชื่ออื่นแล้วหลังจากที่มีข่าวรั่วไหลออกสู่สาธารณชน
หากแต่ว่าไม่มีใครทราบว่าชื่อใหม่ของโครงการนี้คืออะไรแน่ แต่ก็เดาว่าน่าจะชื่อ ซีเนียร์ ซิติเซน (SENIOR CITIZEN)
แต่กระนั้นทุกคนก็ยังคงใช้ชื่อ ออโรร่า เรียกขานโครงการลึกลับนี้อยู่


จริงอยู่ที่ในช่วงเวลานั้นกองทัพอากาศสหรัฐได้ผลิตเครื่องบินรบล่องหนที่มีความเร็วสูงอย่างเช่น
เอสอาร์ 71 (SR-71 Blackbird)

เพื่อปฏิบัติภารกิจในด้านการทำจารกรรม แต่โครงการนี้ได้ถูกยกเลิกไปในต้นปี ค.ศ. 1990 โดยทางกองทัพ
ให้เหตุผลว่าได้นำดาวเทียมจารกรรมมาทำหน้าที่แทน เอสอาร์ 71 แล้ว ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก

และงบประมาณจากโครงการผลิตเครื่อง เอสอาร์ 71 ได้ถูกถ่ายโอนมายังโครงการออโรร่า ซึ่งก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี
ถ้าจะกล่าวว่าโครงการออโรร่า ก็คือการก้าวขั้นต่อไปของโครงการค้นคว้า วิจัยเครื่องบินรบล่องหน เนื่องจากว่า
ชื่อรหัสที่ใช้ในโครงการผลิตเครื่องเอสอาร์ 71 คือ อ๊อกซ์คาร์ท (A-12 OXCART)


อ๊อกซ์คาร์ท นั้นมีความหมายว่า เชื่องช้า ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป กองทัพอากาศเลือกใช้ชื่อนี้เพราะมันตรงกันข้ามกับ
สมรรถนะที่แท้จริงของเครื่องบิน เอสอาร์ 71 เพื่อทำให้พวกลูกคุณช่างสงสัยที่ชอบคุ้ย แคะ แกะ เกา เกิดไขว้เขว
เวลาที่สืบหาความเป็นไปของโครงการลับนี้

ในขณะที่โครงการออโรร่า นั้นก็มีชื่อรหัสเรียกว่า ซีเนียร์ ซิติเซน (SENIOR CITIZEN) หรือผู้สูงอายุ ซึ่งมีความหมาย
ไม่ต่างไปจากโครงการอ๊อกซ์คาร์ท ดังนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการยกเลิกโครงการผลิตเครื่องบิน เอสอาร์ 71
ก็น่าจะเป็นเพราะพวกเขาก้าวมาอีกขั้นของการผลิตเครื่องบินความเร็วสูงที่เรียกกันว่า ไฮเปอร์โซนิค

อะไรคือ "ไฮเปอร์โซนิค"
ไฮเปอร์โซนิค (Hypersonic)

คือ ระดับความเร็วที่เร็วกว่าความเร็วเสียงเกิน 5 เท่า หรือที่ระดับความเร็วเกินกว่ามัค 5 (Mach 5) หรือ
มากกว่า 3,300 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วเสียงนั้นมีความเร็วในการเดินทางเท่ากับ 670 ไมล์ต่อชั่วโมง
ส่วนเครื่องบินเอสอาร์ 71 บินด้วยความเร็วมัค 3.2 หรือประมาณ 2,100 ไมล์ต่อชั่วโมง

ทำไมกองทัพอากาศสหรัฐต้องสร้างเครื่องบินที่มีความเร็วสูงระดับไฮเปอร์โซนิค? เหตุผลก็คือในราวปี ค.ศ. 1980
รัสเซียได้พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลจากพื้นดินสู่อากาศ (Surface-to-air missile) หรือที่นิยมเรียกว่า แซม (SAM)
มันเป็นขีปนาวุธรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า เอสเอ10 กรัมเบิ้ล (SA-10 Grumble)

และ เอสเอ12 กลาดิเอเตอร์ (SA-12 Gladiator)

เจ้าขีปนาวุธทั้ง 2 แบบนี้สามารถยิงเป้าที่บินอยู่บนท้องฟ้าที่ระดับความสูง 100,000 ฟุตได้อย่างสบายๆ ซึ่งแน่นอนว่า
มันไม่ปลอดภัยต่อเครื่องบินเอสอาร์ 71 ซึ่งมีเพดานบินอยุ่ที่ 85,000 ฟุต นักบินคนหนึ่งกล่าวว่าเจ้าเอสอาร์ 71 นี้
ที่จริงสามารถไต่เพดานบินได้สูงถึง 125,000 ฟุตแต่มันจะ "สั่นสะเทือน" นิดหน่อย ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่พ้นรัศมีการยิง
ของขีปนาวุธรุ่นใหม่ของรัสเซียอยู่ดี

และข้ออ้างที่ว่า กองทัพอากาศสหรัฐได้นำดาวเทียมจารกรรมมาปฏิบัติภารกิจแทนเครื่องบินเอสอาร์ 71
เพื่อลดค่าใช้จ่ายนั้นก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องบินเอสอาร์ 71 นั้น
ตกราว 200-300 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการยิงดาวเทียมจารกรรมนั้นสูงถึง 4,000 ล้านดอลลลาร์!

ในขณะที่การใช้เครื่องบินเอสอาร์ 71 ทำการจารกรรมมีความคล่องตัวกว่าการใช้ดาวเทียมเป็นอย่างมาก
เพราะดาวเทียมนั้นลอยคงที่อยู่บนวงโคจรของโลก ซึ่งทุกคนทราบตำแหน่งของมัน เพราะฉนั้นการจะหลบเลี่ยง
การตรวจจับของมันจึงสามารถทำได้ (ความเห็นส่วนตัวว่า ในกรณีของทักษินขายดาวเทียมให้สิงคโปร์ก็เป็นการหลีกเลี่ยง
การตรวจจับของสหรัฐจากจีนอีกวิธีหนึ่ง โดยอ้างว่าเป็นดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์ของสิงคโปร์(เบื้องหลังคือสหรัฐ)
เพราะตอนยิงดาวเทียมเราไม่รู้หรอกว่าดาวเทียมนั้นเป็นดาวเทียมจารกรรมหรือไม่? แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้จีนก็น่าจะรู้ดี)

ผิดกับการใช้เครื่องบินที่บินด้วยความเร็วสูง บุกเข้าไปในเขตแดนที่ต้องการทำจารกรรมโดยที่ศัตรูไม่ทันได้ตั้งตัว
และไม่ทันได้เก็บซ่อนสิ่งที่พวกเขาต้องการปกปิดอีกทั้งกองทัพอากาศสหรัฐเคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาเชื่อถือการปฏิบัติการ
ที่มีนุษย์เป็นผู้ควบคุมมากกว่าการปฏิบัติการที่ใช้อุปกรณ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยมนุษย์ เช่น ดาวเทียม
(ความเห็นส่วนตัวว่า ให้สังเกตุจากหนังฮอลลีวู้ดที่แสดงการนำดาวเทียมมาใช้ตรวจจับผู้ก่อการร้ายหรือในภาพยนตร์สายลับ
เหมือนกับให้ความเชื่อถือในดาวเทียมสูงมาก ก็คือการใช้ประโยชน์จากผู้สร้างภาพยนตร์โดยที่คนสร้างอาจไม่รู้ตัว
เป็นเครื่องมือในการใช้ IO เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปให้ความสำคัญกับดาวเทียมจนลืมเรื่องการจารกรรมโดยวิธีอื่นๆ)

และที่สำคัญไปกว่านั้น กองทัพอากาศสหรัฐสามารถสั่งให้เครื่องบินตรงไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ

อีกเหตุผลหนึ่งที่กองทัพอากาศสหรัฐไม่น่าจะใช้ดาวเทียมจารกรรมแทนการปฏิบัติการของเครื่องบินเอสอาร์ 71 ก็คือ
ดาวเทียมจารกรรมนั้นไม่สามารถถ่ายภาพได้ทุกสภาพอากาศ ดาวเทียมจารกรรมส่วนใหญ่นั้นติดตั้งกล้องถ่ายภาพ
ประเภทใช้แสงปรกติ หรืออย่างมากก็เพียงแค่กล้องที่กินแสงน้อยเท่านั้น ต่างกับการใช้เครื่องบินเอสอาร์ 71 ที่สามารถ
บรรทุกกล้องถ่ายภาพทุกสภาพอากาศได้

ระเบิดกำแพงเสียง

เช้าตรู่ของวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1992 ประชาชนที่อาศัยอยู่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อพวกเขา
ได้ยินเสียง "ระเบิดของกำแพงเสียง" (Sonic boom)

เจ้าเสียงระเบิดนั้นก็ไม่ธรรมดาเพราะว่ามันดังขนาดเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวสามารถตรวจจับได้

สำนักงานธรณีวิทยาของสหรัฐจึงได้ทำการตรวจสอบที่มาของเสียงก็พบว่ามันเกิดจากยานพาหนะไม่ปรากฏสัญชาติ
ที่บินด้วยความเร็วระหว่างมัค 3 ถึงมัค 4 และแหล่งที่มาของเสียงนั้นอยู่บริเวณเหนือเมืองลอสแองเจลิสกับ
ทะเลทรายโมจาวี

และมุ่งหน้าตรงไปยัง ฐานทัพอากาศเนลลิส ในรัฐเนวาดา บริเวณทะเลสาบกรูมหรือพื้นที่ 51 นั่นเอง


ในที่สุดก็มีคนถ่ายภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เรียกว่า "โดนัทบนเส้นเชือก" (Donuts-on-a-rope) ไว้ได้

เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1992 ที่บริเวณเหนือ อมาริลโล ในรัฐเท็กซัส เจ้า "โดนัทบนเส้นเชือก" นี้คือ
ภาพที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเป็นกลุ่มควันที่ลากยาวเป็นสายคล้ายเส้นเชือก และมีกลุ่มควันขมวดเป็นวงกลม
ล้อมรอบเป็นช่วงๆ สาเหตุเกิดจากการบินด้วยเครื่องบินที่มีความเร็วสูงมากๆ

แต่นั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีพยานรู้เห็นเครื่องบินประหลาดที่เรียกกันว่า ออโรร่า เพราะเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1989
ขณะที่ คริส กิบสัน (Chris Gibson) วิศวกรสำรวจน้ำมันชาวสก็อต กำลังทำงานอยู่บนท่อส่งน้ำมัน เกลฟสตันคีย์
ในทะเลเหนือ เขาได้เหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นเครื่องบินรูปสามเหลี่ยมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน กำลังเติมน้ำมัน
กลางอากาศโดยเครื่องบิน เคซี 135 และมีเครื่องบิน เอฟ 111 เอส 2 ลำบินคุ้มกันอยู่ข้างๆ


ดูเหมือนว่าเครื่องบินลำนั้นจะเป็นเครื่องบินต้นแบบของเครื่องบินรุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่เครื่องบินเอสอาร์ 71
ซึ่งมาทำการทดสอบสมรรถนะ การที่ คริส สามารถระบุชื่อเครื่องบินต่างๆ ได้อย่างแม่นยำก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เพราะ คริส เป็นสมาชิกของ องค์กรนักสังเกตการณ์แห่งสหราชอาณาจักร (British Royal Observer Corps)
ซึ่งเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องบอกชื่อเครื่องบินที่เขาเห็นได้อยู่แล้ว แต่เจ้าเครื่องบินอีกลำที่มีลักษณะเป็น
รูปสามเหลี่ยมนั้นเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเครื่องบินรุ่นไหน

ใครสร้างเครื่องบินออโรร่า
ถ้าหากออโรร่า เป็นเครื่องบินที่สร้างขึ้นมาแทนเครื่องบินรุ่นเอสอาร์ 71 จริงมันก็น่าจะสร้างโดยบริษัทล็อกฮีด สกังเวิร์ค
(Lockheed's Skunk Works) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องเอสอาร์ 71 แต่จากการสัมภาษณ์ บี บูเชล (B. Buschel)
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของล็อคฮีด เขากลับปฏิเสธว่ามันไม่ใช่เครื่องบินของล้อคฮีด

บูเชล ให้ความเห็นว่าจากลักษณะของมันและดูข้อมูลอื่นๆ ประกอบ ออโรร่า น่าจะเป็นเครื่องบิน บี2 รุ่นใหม่
ที่มีชื่อว่า บี2เอ (B2A) ซึ่งผลิตโดย บริษัท นอร์ทรอพ กรัมแมน (Northrop Grumman) ต่างกันก็ตรงที่
เครื่องบินลำนี้สร้างขึ้นสำหรับทำจารกรรมโดยเฉพาะ ดังนั้นมันจึงไม่มีการติดตั้งอาวุธบนเครื่อง และเน้นเครื่องยนต์
ที่มีความเร็วสูง

ความเร็วสูงที่ว่าก็คือ ความเร็วที่ระดับไฮเปอร์โซนิค หรือที่ระดับมัค 5 ขึ้นไป ซึ่งเมื่อมันบินได้เร็วขนาดนั้นมันก็ไม่จำเป็น
ต้องใช้เทคโนโลยีล่องหนอีกต่อไป เพราะคงไม่มีขีปนาวุธแบบไหนที่สามารถยิงมันได้ นอกเสียจากว่าพวกเขาไม่ต้องการ
ให้มีใครรู้ว่ามีเครื่องบินล่วงล้ำน่านฟ้าเข้ามา

ออโรร่าสามารถบินได้ที่ความเร็วระดับมัค 5 ถึง มัค 8 และมีเพดานบินสูงถึง 150,000 ฟุต มันเป็นเครื่องบินล่องหนรุ่นที่ 5
ของโครงการแอสตร้า (ASTRA) ซึ่งย่อมาจาก Advanced Stealth Technology หรือเทคโนโลยีล่องหนขั้นสูง


เทคโนโลยีล่องหนขั้นสูง

บูเชลเชื่อว่า โครงการแอสตร้า นั้นเป็นชื่อที่แท้จริงของโครงการ ออโรร่า และออโรร่าก็ไม่ใช่ชื่อเครื่องบิน แต่เป็นชื่อของ
โครงการพัฒนาเครื่องบินล่องหนซึ่งเป็นโครงการลับที่กองทัพอากาศสหรัฐได้เริ่มทำขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 โดยมี
เครื่องเอสอาร์ 71 เป็นเครื่องบินล่องหนรุ่นแรก และตามด้วยเครื่อง เอฟ 117

ส่วนเครื่อง บี2 นั้นเป็นรุ่นที่ 3

สำหรับเครื่องบินล่องหนรุ่นที่ 4 ก็คือเครื่อง เอฟ 22

และปัจจุบันเครื่องบิน บี2เอ เป็นเครื่องบินล่องหนที่กำลังทดสอบอยู่

ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่าเครื่องเอสอาร์ 71 นั้นถูกแขวนปีกไปแล้วเมื่อปี ค.ศ. 1990 ส่วนเครื่อง เอฟ 117 นั้น
เป็นเครื่องบินขับไล่(ทิ้งระเบิด)ล่องหน (Stealth Fighter) แบบที่นั่งเดียว ได้รับการอนุมัติให้สร้างในปี ค.ศ. 1978
และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1982 โดยล็อกฮีด ใช้งบประมาณในการสร้างราว 45 ล้านดอลลาร์

เครื่อง บี2 นั้นเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน (stealth bomber) ที่สงสัยกันว่ามีการติดตั้งเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงของโลก
จึงทำให้มันมีราคาสูงกว่าสองพันล้านดอลลาร์ต่อลำ ส่วนเครื่อง เอฟ 22 นั้นสร้างโดยล็อกฮีด เป็นเครื่องบินขับไล่
ติดอาวุธหนักที่ทำความเร็วได้ราวมัค 1.8

แม้ว่าทุกคนจะเชื่อว่าโครงการออโรร่านั้นมีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครสามารถระบุได้แน่ชัดว่ามันเป็นชื่อเครื่องบินล่องหนรุ่นใหม่
หรือเป็นชื่อโครงการวิจัยพัฒนาเครื่องบินล่องหนทั้งโครงการ แต่ที่แน่ๆ ก็มีหลักฐานพอที่จะเชื่อได้ว่ากองทัพอากาศสหรัฐ
กำลังพัฒนาเครื่องบินล่องหนที่มีความเร็วระดับมัค 6 ปัญหาที่เป็นที่สงสัยก็คือพวกเขาใช้เครื่องยนต์แบบไหนในการขับเคลื่อน

เครื่องยนต์จุดระเบิดเป็นจังหวะ

จากการที่เครื่องบินที่บินเร็วระดับไฮเปอร์โซนิค ได้ทิ้งร่องรอยการบินเป็นทางยาวบนท้องฟ้าที่เรียกว่า "โดนัทบนเส้นเชือก"
ทำให้พอจะคาดเดาได้ว่ามันน่าจะใช้เครื่องยนต์ชนิดจุดระเบิดเป็นจังหวะ (Pulse Detonation Wave Engine) หรือเรียกสั้นๆ
ว่า พีดีวี (PDWE) ซึ่งถ้าจะว่ากันตามทฤษฏีแล้ว เครื่องยนต์ชนิดนี้สามารถทำความเร็วได้สูงถึงมัค 10 ทีเดียว

พีดีวี ใช้มีเธนเหลว (Liquid Methane) หรือไม่ก็ไฮโดรเจนเหลว (Liquid Hydrogen) เป็นเชื้อเพลิง
ซึ่งมันถูกจุดระเบิดในห้องเครื่องที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ และเมื่อเครื่องบิน บินด้วยความเร็วที่เหนือเสียง
ส่วนหัวของเครื่องบินจะดันอณูของอากาศออกไปด้านข้างรอบๆ ส่วนหัวของเครื่องบินทำให้เกิดปรากฏการณ์
ที่เราเรียกว่า "ระเบิดของกำแพงเสียง"

ทันทีที่เครื่องยนต์ พีดีวี ทำงาน เครื่องบินก็จะดันดำแพงเสียงไปข้างหน้า และการทำงานของเครื่องยนต์ พีดีวี
เป็นระยะๆ นี้เองที่ทำให้เกิดหางลากเป็นทางยาว เมื่อมองจากพื้นดินก็จะดูเหมือน "โดนัทบนเส้นเชือก" แต่ดูเหมือนว่า
เราจะมีข้อมูลเรื่องการทำงานของเครื่องยนต์ พีดีวี ค่อนข้างที่จะน้อย ผู้ที่อ้างว่าได้เห็นเครื่องบินรูปร่างประหลาด
มักจะระบุตรงกันว่า เสียงเครื่องยนต์ของมันก็ดังไม่เหมือนใครเช่นกัน เพราะมันมีเสียงที่ต่ำมาก

ออโรร่ามีปัญหา

จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถบันทึกภาพเครื่องบินปริศนา ออโรร่า แบบเจ๋งๆ ได้สักคน ภาพเครื่องบินออโรร่า
ที่เราได้เห็นกันก็มีแต่ภาพวาดตามจินตนาการของศิลปิน กับภาพถ่ายขาวดำที่มองไม่เห็นรายละเอียดของมัน
ยิ่งมีข่าวลือว่าโครงการออโรร่าต้องพบกับอุปสรรคบางอย่างจนทำให้ต้องระงับโครงการชั่วคราว ยิ่งทำให้การที่จะ
ได้เห็นการปรากฏตัวของมันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ข่าวลือที่ว่านั้นฟังดูมีนำหนักเนื่องจากว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1996
รัฐบาลสหรัฐได้อนุมัติงบประมาณขั้นต้นจำนวน 30 ล้านดอลลาร์ เพื่อปลุกผีเครื่องบินล่องหนเอสอาร์ 71 ขึ้นมาใหม่
แต่อะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้โครงการออโรร่าถูกระงับไปนั้นคงต้องรอให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ไม่สุขไปคุ้ยกันมาก่อน
บันทึกการเข้า
rute - รักในหลวง
Forgive , But not Forget .
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1960
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 22591


"ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ..."


« ตอบ #7 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2006, 02:36:45 AM »

ขอบคุณคับ...
บันทึกการเข้า
JJ-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 386
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9425


« ตอบ #8 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2006, 08:19:39 AM »

ยาวมากเลย save เก็บเอาไว้แล้วครับ
บันทึกการเข้า
ans66
Sr. Member
****

คะแนน 1
ออฟไลน์

กระทู้: 797



« ตอบ #9 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2006, 08:39:00 AM »

...ขอบตคุณมากครับ... Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า





..คณะเรา...มัจฉาร่วมข้อง
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2006, 09:54:28 AM »

ขอบคุณครับ.....ชอบครับ..อ่านเรื่องแบบนี้....เปิดโลกทัศน์ตัวเองเยอะเลย...
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #11 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2006, 09:48:32 PM »

ฐานทัพ UFO

รัฐบาลสหรัฐเคยปฏิเสธการมีตัวตนของพื้นที่ 51 พวกเขาพยายามที่จะปิดบังอะไรไว้ หรือว่ามันคือ
ฐานทัพของมนุษย์ต่างดาว


ถ้าหากมีคนถามว่าพื้นที่บริเวณใดในสหรัฐเป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุด เราคงจะได้รับคำตอบว่ามันคือ พื้นที่ 51 หรือ Area 51

นั่นก็อาจเป็นเพราะมีคนจำนวนมากอ้างว่าได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับหรือ ยูโฟ (UFO - Unidentified flying object)

บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้งจนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 น่าจะเป็นฐานทัพหรือ
กองบัญชาการของวัตถุบินลึกลับ

เช้าวันทำงาน

ทุกๆ เช้าของวันทำงานจะมีคนอย่างน้อย 500 คนผ่านเข้าไปยังประตูทางขึ้นเครื่องบินที่มีการรักษาความปลอดภัย
อย่างเข้มงวดซึ่งอยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส
เจ้าของพื้นที่ที่เป็นเขตหวงห้ามส่วนนี้ก็คือ บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier, Inc.)

ผู้คนเหล่านั้นต้องบอกรหัสผ่าน "เจเน็ท" (JANET) ตามด้วยเลขประจำตัว 3 หลักก่อนที่จะผ่านเข้าไปขึ้นเครื่อง
โบอิ้ง 737 ที่ไม่มีเครื่องหมายใดๆ ระบุว่าเป็นเครื่องบินของใคร

สายการบินนี้จะออกบินทุกๆ ครึ่งชั่วโมงโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ทะเลสาบกรูม (Groom Lake)
สถานที่ลึกลับที่หน่วยงานราชการของสหรัฐปฏิเสธการมีตัวตนของมันเมื่อหลายปีก่อน

เขตทดลองเครื่องบินลับ

พื้นที่ 51 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลสาบกรูม นั้นอยู่ห่างจากลาสเวกัสไปทางตอนเหนือราว 90 ไมล์
อันที่จริงแล้วพื้นที่ 51 เคยเป็นที่ตั้งของฐานทัพทหารแห่งหนึ่งของสหรัฐที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1955
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2

นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม เช่น เจ้าวิหคทมิฬ Blackbird (SR71)
เครื่องบินขับไล่ล่องหน F117 Stealth Fighter, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B2 Stealth Bomber
อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่วิจัยโครงการลับออโรร่า (Aurora Project)

เคร่องบินรบเหล่านี้จะถูกทำการทดสอบสมรรถนะที่บริเวณทะเลสาบกรูม เมื่อพวกเขาทดสอบเครื่องบินรบ
จนเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อยประกาศต่อสาธารณชนให้ทราบว่าบัดนี้กองทัพได้สร้างเขี้ยวเล็บอันใหม่ขึ้นมา

ประวัติพื้นที่ 51


เดือนมีนาคม ค.ศ. 1955 เคลลี่ จอห์นสัน (Kelly Johnson) ผู้ออกแบบเครื่องบินจารกรรม U2 ได้รับมอบหมายจาก
ซีไอเอ ให้ออกแบบเครื่องบิน U2 นอกจากนี้แล้วเขายังได้รับมอบหมายให้หาสถานที่เพื่อใช้ทดสอบเจ้า U2 นี้ด้วย

เคลลี่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ โทนี เลอวิเอร์ (Tony Levier) นักบินที่จะทำการบินทดสอบเครื่องบิน U2 กับ
ดอร์ซี่ เคมเมเรอร์ (Dorsey Kammerer) ไปสำรวจพื้นที่ร้างกลางทะเลทรายตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย, เนวาดา
และ อริโซนา 2 สัปดาห์ต่อมาโทนีก็กลับมาส่งรายงาน เคลลี่ดูรายงานเปรียบเทียบสถานที่ทั้ง 3 แห่งแล้วก็
ตัดสินใจเลือกพื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ในรัฐเนวาดา

ทะเลสาบกรูม มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกมากมายนับตั้งแต่มีการก่อสร้างฐานทัพขึ้น เคลลี่เรียกมันว่า พาราไดซ์แรนช์
(Paradise Ranch - ทุ่งหญ้าสวรรค์) แต่หลังจากมีการทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2 ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1955
มันกลับถูกเรียกสั้นๆ ว่า แรนช์ (The Ranch - ทุ่งหญ้า) ในความเป็นจริงแล้วฐานทัพ(ลับ) แห่งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็น
ทางการว่า วอร์เตอร์ทาวน์ สตริป (Watertown Strip) ตามชื่อเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ แอลเลน ดูลเลส (Allen Dulles) ผู้อำนวยการ ซีไอเอ ในสมัยนั้น

ที่มาของชื่อพื้นที่ 51

เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1958 คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู United States Atomic Energy Commission (AEC)
ได้เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ร่วมกับกองทัพสหรัฐ เพื่อทำการทดลองโครงการลับๆ บางอย่าง
พวกเขาเรียกสถานีทดลองนี้ว่า สถานีทดลองเนวาดา (Nevada Test Site)

คณะกรรมาธิการฯ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ แล้วกำหนดหมายเลขให้แต่ละส่วน บริเวณส่วนที่เป็นฐานทัพนั้น
ได้หมายเลข 51

นับตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่ฮอลลีวู้ดสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลับของรัฐบาลจึงมักจะอ้างถึงทะเลสาบกรูม
แต่พวกเขาจะเรียกมันสั้นๆ ว่า พื้นที่ 51 ตามที่คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูใช้เรียก ถึงแม้ว่าการทดลองลับของ AEC
จะเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 แล้วก็ตาม

ในปี ค.ศ. 1970 กองทัพอากาศสหรัฐได้เข้ามายึดพื้นที่นี้อย่างถาวรเพื่อใช้เป็นสถานที่ทดลองเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ
ตลอดไปจนถึงการทดลองเครื่องบิน มิก 21

และอาวุธทันสมัยอื่นๆ ของรัสเซีย ที่ทางสหรัฐยึดมาได้เมื่อปี ค.ศ. 1967

ปี ค.ศ. 1975 พื้นที่ 51 ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตจำลองการรบทางอากาศ ภายใต้ชื่อรหัสว่า
"ธงแดง" (RED FLAG exercise)

คราวนี้พื้นที่ 51 จึงถูกเรียกสั้นๆ ในชื่อใหม่ว่า "จตุรัสแดง" (Red Square) แต่ชื่อกึ่งเป็นทางการนั้นชื่อ
"ดรีมแลนด์" (Dreamland - แดนในฝัน) และในช่วงทศวรรษ 1970 ก็ได้มีการทดลองโครงการด้านอวกาศ
และการทดลองเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดคือ "แทคอิทบลู" (Tacit Blue)


ขยายอาณาเขต

ฐานทัพทะเลสาบกรูม ถูกขยายอาณาเขตออกไปอีกในช่วงทศวรรษ 1980 มีการสร้างสนามบินเพิ่มเติม
อาคารเก็บเครื่องบินถูกสร้างบนลานบินเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บซ่อนจากสายตาของดาวเทียมจารกรรมที่มีอยู่มากมาย
อุปกรณ์สื่อสาร เรดาร์ และจานดาวเทียมได้รับการติดตั้ง ตึกราม อาคาร โกดังหลายแห่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่
บนทะเลสาบกรูม คาดว่ามันถูกใช้เป็นกองบัญชาการของศูนย์ทดลองเครื่องบินรบของกองทัพที่ถูกเรียกว่า
ดีแทชเมนท์ 3 (Detachment 3)

แม้ว่าจะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยแต่ก็ยังไม่วายถูกแอบลักลอบถ่ายภาพเนื่องจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบกรูมเป็นภูเขา
ในปี ค.ศ. 1984 กองทัพสหรัฐจึงต้องขยายเขตหวงห้ามออกไปอีกโดยหวังว่าจะเป็นการกันไม่ให้มีใครสามารถมองเข้าไปยัง
ในบริเวณฐานทัพได้ แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถใช้เป็นที่สอดแนมได้อีก 2 แห่งห่างจากทะเลสาบกรูมไปทางตอนใต้ราว 12 ไมล์
คือที่บริเวณไวท์ไซด์พีค (White Side Peak) กับ ฟรีดอม ริดจ์ (Freedom ridge) เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานที่ทั้งสอง
เป็นที่สอดแนมได้อีก ในปี ค.ศ. 1995 กองทัพจึงได้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามด้วย

แต่เขตหวงห้ามนั้นได้แต่เพียงแค่ติดป้ายเตือนเท่านั้นไม่มีการล้อมรั้วแต่อย่างใดเพราะพื้นที่เขตหวงห้ามนั้นกินอาณาเขต
กว้างใหญ่เกินกว่าที่จะล้อมรั้วได้

แต่ก็มีการจัดเวรยามโดยใช้หน่วยรักษาความปลอดภัยนิรนามที่พกอาวุธสุดจะทันสมัย อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องมือ
ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมันสามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาเป็นมนุษย์หรือสัตว์
หน่วยลาดตระเวณนิรนามนี้เรียกว่า แคโม ดูดส์ (Camo dudes) ซึ่งจะมีหน่วยสนับสนุนทางอากาศที่ใช้
เฮลิคอปเตอร์ Sikorsky HH-60G Pave Hawk คอยให้การสนับสนุนทางอากาศ


โครงการลับต่างๆ ที่ใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานีทดลองนั้นค่อยๆ ทยอยจบลง เช่น การทดลองเครื่องบินจารกรรมแทคอิทบลู
เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 การทดลองเครื่องบินขีปนาวุธแอดวานซ์ครูซ (Advanced Cruise Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1992

การทดลองขีปนาวุธ สแตนด์ออฟแอทแทค (Stand-off Attack Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1994
แต่ถึงกระนั้นกองทัพอากาศสหรัฐก็ยังคงตั้งศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่นั่น

ความลับในพื้นที่ 51

เป็นไปได้ว่ากองทัพอากาศยังคงมีภารกิจอื่นๆ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยในปี ค.ศ. 1989 สถานีโทรทัศน์ลาสเวกัส
ได้ถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ โรเบิร์ท ลาซาร์ (Robert Scott Lazar) ผู้ที่อ้างว่าเขาเคยทำงานในพื้นที่ 51

http://www.boblazar.com
โรเบิร์ท กล่าวว่าเขาได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาวิศวกรรมยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ในพื้นที่ 51
มียานอวกาศรูปทรงกลมคล้ายจานจำนวน 9 ลำบินขึ้น-ลงในเขตหวงห้ามบริเวณที่ชื่อ S4 หรือที่มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า
บริเวณทะเลสาบปาปูส (Papoose Lake) ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกรูม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 10 ไมล์

เรื่องราวของโรเบิร์ทเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก มันทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ผู้คนสงสัย
เริ่มปะติดปะต่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง ยานบินรูปทรงกลมอาจเป็นการทดลองระบบต้านแรงโน้มถ่วงโลกแน่นอน
เทคโนโลยีน่าทึ่งเช่นนี้ต้องถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด

นอกจากนี้ยังมีการทดลองเครื่องบินจารกรรมที่มีความเร็วมากกว่าเสียง 5 เท่า โดยใช้พลังขับเคลื่อนชนิดใหม่
เช่น พัลส์ เดโทเนชั่น เวฟเอนจิน (Pulse Detonation Wave Engine) และเครื่องบินความเร็วสูง
ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน

การทดลองเครื่องบินที่มีความเร็วมากกว่าเสียงหลายเท่าหรือที่เรียกว่ายานไฮมัค (High-Mach Vehicle) โดยสร้างเครื่องบิน
ที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องบิน A12 และ D21 หรือที่เรียกกันว่า ซูเปอร์วอลคารี (Super Valkarie)
ซึ่งมีคนจำนวนมากที่เคยไปด้อมๆ มองๆ แถวพื้นที่ 51 เคยเห็นมันถูกบินทดสอบ

ยานอวกาศจากต่างดาว

จากคำกล่าวอ้างของโรเบิร์ท S4 เป็นสถานที่ใช้สำหรับศึกษา วิจัยวัตถุบินลึกลับภายใต้ชื่อโครงการ มูนดัสท์ (Moondust)
บรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกอำพรางอยู่ใต้พิ้นทรายเพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมจารกรรมของรัสเซีย

โรเบิร์ททำงานในห้องทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อ แบร์รี่ คาสติลลิโอ (Barry Castillio) นักวิจัยแต่ละกลุ่ม
จะถูกแยกทำงานในส่วนต่างๆ พวกเขาถูกจำกัดให้มีเพื่อนร่วมงานเพียงแค่ไม่กี่คน แบร์รี่ เป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียว
ที่ช่วยโรเบิร์ท ศึกษาค้นคว้าเรื่องการขับเคลื่อนของยานอวกาศ

วันแรกที่โรเบิร์ท เดินทางถึง S4 เขาถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาลเพื่อทำการตรวจผิวหนัง เขาถูกทาด้วยสารหลายชนิด
ตามจุดต่างๆ บนแขน วันต่อมาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คดูว่าผิวหนังเขาเกิดการพุพองหรือมีอาการแพ้หรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกสั่งให้ดื่มสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเขามีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สารนี้ช่วยป้องกันเขา
จากสิ่งแปลกปลอมที่อาจได้รับจากการสัมผัสวัตถุที่มาจากต่างดาว

สารที่โรเบิร์ท ดื่มนั้นมีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นต้นสน และในคืนนั้นหลังจากที่เขาได้ดื่มสารสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไป
เขาก็เกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้องน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นผลข้างเคียงมาจากสารสร้างภูมินั้น ต่อมาโรเบิร์ท
ถูกแนะนำให้รู้จักกับเรเน่ (Rene) ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเรเน่ เป็นใครและมีหน้าที่อะไรใน S4 เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในส่วน
ของ S4 นั้นมีอยู่แค่เพียง 22 คนเท่านั้น หัวหน้าของโรเบิร์ท ชื่อ เดนนิส มาริอานี (Dennis Mariani)

เขารู้จักเดนนิส ตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G) ซึ่งตอนนั้นยังมีสำนักงานอยู่ที่
สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่ฐานทัพอากาศ เนลลิส (Nellis Air Force Base)

ศึกษาข้อมูล

ในวันแรกๆ มีเจ้าหน้าที่พาโรเบิร์ทไปที่ห้องเล็กๆ ที่มีเพียงแค่โต๊ะและเก้าอี้กับแฟ้มเอกสารกว่า 100 แฟ้ม ข้อความในแฟ้ม
ล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาว เขาใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมงในการศึกษาข้อมูล
ในแฟ้มเหล่านั้น

ข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นบทสรุปให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มาทำงานใน S4 ว่างานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย
ให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ โรเบิร์ท ได้เห็นการทดสอบบินของยานบินรูปทรงประหลาดและยิ่งตกใจมากขึ้นอีก
เมื่อเห็นรายงานเขียนว่า มีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานกว่าหมื่นปีแล้ว!

โครงการที่โรเบิร์ท ทำอยู่นั้นเป็นส่วนย่อยของโครงการใหญ่ เขารับผิดชอบเรื่องการค้นคว้าการขับเคลื่อน
ของยานอวกาศต่างดาวและบทบาทของแรงโน้มถ่วงเพื่อใช้เป็นสื่อในการขับเคลื่อนภายใต้ชื่อ
โครงการกาลิเลโอ (Project Galileo)

โดยปรกติเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนจะไม่ได้รับอนุญาติให้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ แต่ในกรณีของโรเบิร์ทนั้น
เขาต้องอาศัยความรู้ในแขนงอื่นด้วยจึงทำให้เขาได้รับอนุญาติเป็นกรณีพิเศษให้ทำการทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มอื่น

หลากหลายโครงการ

โครงการไซด์คิก (Project Sidekick) เป็นหนึ่งในสองโครงการที่โรเบิร์ท ได้รับอนุญาติให้รู้ข้อมูลได้บางส่วน
มันเป็นการศึกษาค้นคว้าเรื่องอาวุธลำแสง (Beam Weapon) ที่จะถูกติดตั้งบนเครื่องบินรบ อาวุธลำแสงนี้
ต้องอาศัยความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงและการรวมแสงให้เป็นลำ อาวุธชนิดนี้มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงมาก

โครงการลุคกิ้งกลาส (Project Looking Glass) เป็นการศึกษาเรื่องกฏกายภาพของการมองเห็นและผลกระทบ
ต่อเวลาและอวกาศ ในการสร้างแรงโน้มถ่วงจำลอง และเช่นกันว่าโครงการนี้ต้องอาศัยความรู้ทางด้านแรงโน้มถ่วง
และการควบคุมมัน

การทดลองในโครงการกาลิเลโอ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โรเบิร์ทได้เห็นรายงานและหลักฐานต่างๆ
ที่พิสูจน์ถึงความถูกต้องของมัน ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าโครงการอื่นๆ ที่ทำใน S4 นั้นก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน
แต่โรเบิร์ท ก็ปฏิเสธที่จะถือเอากรรมสิทธิ์เหนือความสำเร็จนั้น เขากล่าวว่ารายงานการวิจัยที่เขาทำขึ้นเป็นเพียงแค่
ตัวอักษรและรูปภาพบนแผ่นกระดาษเท่านั้น

ไม่ว่าการทดลองที่พื้นที่ 51 จะเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเป็นจำนวนมากได้พยายามสอดแนมเข้าไปใกล้
เพื่อบันทึกภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่ามีการทดลองเครื่องบินหรือวัตถุบินได้บางชนิดที่พวกเขา
ไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #12 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 12:02:02 AM »

อีจีแอนด์จี เป็นใคร?

อีจีแอนด์จี ย่อมาจาก เอดเจอร์ทัน เจอร์เมสเฮาเซน และ เกรียร์ (EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier)
ซึ่งเป็นชื่อสกุลของผู้ก่อตั้งบริษัท 3 คนคือ ฮาโรลด์ เอดเจอร์ทัน (Harold Edgerton),
เคนเนท เจอร์เมสเฮาเซน (Kenneth Germeshausen) และ เฮอร์เบิร์ท เกรียร์ (Herbert Grier)

ในปี ค.ศ. 1931 ขณะที่ฮาโรลด์ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสทส์
(Massachusetts Institute of Technology) เขาได้ประดิษฐ์หลอดไฟแฟลชขึ้น เขาได้เสนอขายลิขสิทธิ์ให้กับ
บริษัท เจเนอราลอิเลคทริค (General Electric - GE) แต่ผู้บริหารของจีอี ไม่สนใจในหลอดไฟแปลกประหลาดอันนั้น
ซึ่งผมคิดว่าเมื่อเขารู้ภายหลังว่ามันมีประโยชน์ต่อการถ่ายภาพอย่างมหาศาล ผมว่าเขาคงนั่งเขกกะโหลกตัวเองเป็นแน่!


ฮาโรลด์ ก็เลยชวน เคนเนท เจอร์เมสเฮาเซน ลูกศิษย์คนหนึ่งมาเปิดบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์
การทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม วิธีการของเขาก็คือปล่อยให้เครื่องจักรทำงานไปตามปรกติ
ระหว่างนั้นพวกเขาก็จะถ่ายภาพด้วยความเร็วสูงโดยอาศัยไฟแฟลชที่ฮาโรลด์เป็นผู้ประดิษฐ์ เมื่อได้ภาพนิ่ง
การทำงานของเครื่องจักรนั้น พวกเขาก็จะมาวิเคราะห์ดูว่าการทำงานของมันมีประสิทธิภาพแค่ไหน

เอ...ชักเริ่มคุ้นๆ แล้วใช่ไหมครับว่าเคยได้ยินเรื่องคล้ายๆ แบบนี้ที่ไหน บอกให้ก็ได้ครับก็ภาพลูกปืนวิ่งทะลุผลแอปเปิ้ลยังไงละ

ใช่แล้วครับภาพที่มีชื่อเสียงนั้นถ่ายโดยฮาโรลด์ และรวมถึงภาพมงกุฏหยดนม (Milk-drop Coronet) ก็ฝีมือเขาเหมือนกัน


ในปี ค.ศ. 1934 ฮาโรลด์ ก็ได้เฮอร์เบิร์ท เกรียร์ ลูกศิษย์อีกคนมาร่วมทำธุรกิจ ภาพถ่ายของฮาโรลด์ได้รับเกียรติ
ให้แสดงในพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะหลายแห่ง นับว่าเขาประสบความสำเร็จในด้านงานศิลปะ แต่ในเชิงพาณิชย์แล้ว
เขากลับล้มเหลวเพราะเขาไม่สามารถขายอุปกรณ์ไฟแฟลชให้กับบริษัทผลิตกล้องถ่ายภาพได้แม้แต่บริษัทเดียว!

เปลี่ยนเป้าหมาย

ดังนั้น ฮาโรลด์ จึงเปลี่ยนเข็มไปยังกลุ่มช่างภาพข่าวกีฬา โดยเสนอที่จะถ่ายภาพการแข่งขันที่มีการเคลื่อนไหว
อย่างรวดเร็วให้ ภาพที่ ฮาโรลด์ ถ่ายนั้นเป็นที่แน่นอนว่าน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครเคยเห็นภาพ
นักกีฬาขณะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก่อน และตั้งแต่นั้นมาไฟแฟลชก็เริ่มเป็นที่นิยมใช้ในการถ่ายภาพข่าวกีฬา
อย่างแพร่หลายและนั่นก็เป็นที่มาของการทำให้กองทัพอากาศเริ่มสนใจในสิ่งประดิษฐ์ของฮาโรลด์ ในปี ค.ศ. 1939
กองทัพอากาศได้ว่าจ้างให้ ฮาโรลด์ ออกแบบไฟแฟลชที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะให้ความสว่างในการถ่ายภาพจาก
เครื่องบินยามค่ำคืน และนี่ก็คือก้าวแรกที่ทำให้ ฮาโรลด์ เข้ามาเกี่ยวพันกับกองทัพอากาศอย่างลึกซึ้งต่อมาในภายหลัง

เข้าสู่วงการ

ด้วยไฟแฟลชของ ฮาโรลด์ ทำให้กองทัพสหรัฐสามารถเก็บข้อมูลพื้นที่ในเขตของศัตรูได้เป็นอย่างมากและ
มันก็ได้ถูกใช้ในคืนก่อนวันดีเดย์ (D-Day) เพื่อสำรวจพื้นที่ก่อนที่จะส่งทหารเข้าไปในนอร์มังดี (Normandy)
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 และด้วยไฟแฟลชตัวนี้ทำให้ ฮาโรลด์ ก็ได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์เสรีภาพ
จากกระทรวงสงครามเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณที่สิ่งประดิษฐ์ของเขาเป็นประโยชน์ต่อกองทัพเป็นอย่างมาก

จากนั้นมา ฮาโรลด์ ก็ได้รับคำร้องขอจากคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู ให้ช่วยสร้างกล้องถ่ายภาพการทดลอง
ระเบิดปรมาณู ฮาโรลด์ ก้ได้สร้างกล้องพิเศษขึ้นมาเพื่อใช้ในการจับภาพการทดลองครั้งนั้นโดยเขาตั้งกล้องอยู่ห่างจาก
จุดทดลองถึง 7 ไมล์ ฮาโรลด์เรียกกล้องพิเศษของเขาว่า "ราพาโทรนิค" (Rapatronic camera)


กำเนิด อีจีแอนด์จี

ในปีเดียวกันนี้เอง ฮาโรลด์ แลหุ้นส่วนทั้ง 2 ของเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัท เอดเจอร์ทัน เจอร์เมสเฮาเซน และ เกรียร์ อิงค์
(EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier, Inc.) ขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 และได้จดทะเบียนเป็น
บริษัทมหาชน เมื่อปี ค.ศ. 1959 หลังจากที่ปล่อยให้ชาวบ้านต้องลิ้นพันกันนัวเนียอยู่หลายปีเพราอ่านชื่อบริษัทของเขา
ในที่สุดเขาก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น อีจีแอนด์จี อิงค์ ในปี ค.ศ. 1966

ในช่วงทศวรรษที่ 1960 นี้เองที่ อีจีแอนด์จี ได้เริ่มแตกหน่อการให้การบริการไปอีกหลายสาขา และได้เริ่มรับงานมากมาย
จากกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู และนั่นก็รวมถึงโครงการลับสุดยอดของกองทัพอากาศ
ฐานทัพที่ทะเลสาบกรูม หรือพื้นที่ 51 นั่นเอง
บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 09:28:31 AM »

เข้ามาติดตามชมต่อครับ...
บันทึกการเข้า
ตูมตาม - รักในหลวง -
Hero Member
*****

คะแนน 100
ออฟไลน์

กระทู้: 2023


« ตอบ #14 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 11:25:57 AM »

รอภาคต่อๆไป...ครับ
บันทึกการเข้า

ใดๆในโลก  ล้วนมีข้อยกเว้น
หน้า: [1] 2 3 4 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.204 วินาที กับ 22 คำสั่ง