เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 25, 2024, 05:26:56 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3 4 5 ... 9
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)  (อ่าน 63934 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 28 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Udomkd
รักษ์ธรรมชาติ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3700
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 41046



« ตอบ #15 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 11:33:44 AM »

ตามบ้าง ชอบ

อเมริกา จอมลวงโลกอยู่แล้ว

มีหลายเรื่องที่อเมริกาปิดบังประชาคมโลก (ความเชื่อส่วนตัว ประมวลจากหลายๆข้อมูล)

เอาข้อมูลออกมาเยอะๆครับ จะได้เปิดหูเปิดตา(ไม่ต้องเสียค่าลูกปืน) หุๆ
บันทึกการเข้า

รักมิตร รักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีด้ามขวาน
   รักมิตรรักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีคมขวาน
   รักมิตร รักเพื่อน
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #16 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 12:14:17 PM »

ไปดูภาพของที่นี่กันก่อนครับ เป็นการคั่นเวลา เมื่อยนิ้วอ่ะ หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #17 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 12:25:42 PM »

ภาพ Area51
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #18 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 12:34:12 PM »

area51
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #19 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 12:35:10 PM »

area51
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #20 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 12:36:46 PM »

area51
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #21 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 12:38:06 PM »

area51
บันทึกการเข้า
xiehua dun
เรารักในหลวง
Hero Member
*****

คะแนน 134
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6209


ปัจจุบันวัดความดีของคนที่ กม.


« ตอบ #22 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2006, 02:44:19 PM »

หัวข้อบ่งถึงความแสบของมะริกาได้มากนะครับ
บันทึกการเข้า


เพราะฉันจะไป ด้วยหัวใจดวงนี้ สองขาที่มีจะปีนสู่ภูผา
เพราะฉันจะไป ให้เห็นความสุขแท้มันด้วยตา
เมื่อได้มองลงมาเห็นโลกในมุมอีกมุม     มันคงช่างงดงาม
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #23 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2006, 12:12:08 AM »

มาเจสติก12 หน่วยสืบสวนจานบิน

ใครที่สนใจติดตามเรื่องราวลึกลับของมนุษย์ต่างดาวและยานอวกาศจากนอกพิภพ คงจะเคยได้ยินชื่อ "มาเจสติก 12"
ซึ่งเป็นหน่วยงานลับหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐที่มีหน้าที่ติดตามสืบสวนเรื่องราวลึกลับเหล่านั้น
วันนี้เราจะทำความรู้จักกันว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน

กำเนิดมาเจสติก 12

จากรายงานพบเห็นวัตถุบินลึกลับเป็นจำนวนมากในสหรัฐช่วงทศวรรษที่ 1950 ทำให้รัฐบาลสหรัฐวิตกกังวลว่า
มนุษย์ต่างดาวอาจจะแอบมาสอดแนม และบุกเข้ายึดครองโลกวันใดวันหนึ่ง เพื่อเป็นความไม่ประมาท
ประธานาธิบดี แฮร์รี่ ทรูแมน จึงได้จัดตั้งหน่วยงานลับหน่วยงานหนึ่งขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1947
และตั้งชื่อหน่วยงานนี้ว่า "มาเจสติก 12" (Majestic 12)

หลายคนอาจเคยรู้จักหรือได้ยินชื่อหน่วยงานนี้ในชื่ออื่นๆ เช่น เอ็มเจ12 (MJ-12), เมจิ12 (Maji 12),
เมจิก12 (Majic 12), หรือ เมจิคอม12 (Majicom 12) ก็ขอให้รับทราบว่าเรากำลังพูดถึงหน่วยงานเดียวกันอยู่

หน้าที่หลักของหน่วยงานนี้ก็คือ การนำข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ได้มาจากกองทัพ
หน่วยสืบราชการลับ และหน่วยงานอื่นของรัฐมาศึกษาเพื่อหาข้อเท็จจริง

คำนี้มีความหมาย

เมจิก (Majic) เป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า Majority Agency for Joint Intelligence Control หรือ
หน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของหน่วยสืบราชการลับหน่วยต่างๆ ของสหรัฐ ส่วนมาเจสติก (Majestic)
นั้นน่าจะหมายถึง ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งคณะกรรมการในเมจิก 12 มีหน้าที่รายงานผลการสืบสวน
ให้กับประธานาธิบดีทราบเป็นระยะๆ

ปฏิบัติการเมเจอริตี้ (Majority Operation) เป็นปฏิบัติการที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง
กับมนุษย์ต่างดาว คณะกรรมการที่อยู่ในหน่วยเมจิก12 นั้นจะถูกเรียกแทนด้วยโค้ด เช่น MJ1, MJ2 เรื่อยไป
จนถึง MJ12 พวกเขาจะประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ เช่น หน่วยป้องกันราชอาณาจักร (NSA)

ซีไอเอ เอฟบีไอ และหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐบาล

จะว่ากันไปแล้ว เมจิก12 ถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์(อ้างว่ามี)จานบินมนุษย์ต่างดาวตกที่ รอสเวลล์


เมื่อต้นเดือนกรกฏาคม 1947 ทำให้รัฐบาลสหรัฐแต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นสืบสวนเหตุการณ์ในครั้งนั้น
มีข่าวลือว่า เมจิก12 ได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวเกรย์ส (Greys)

โดยมีข้อตกลงกันว่ามนุษย์ต่างดาวจะให้ความรู้ทางเทคโนโลยีแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐ
จะให้พื้นที่ในการสร้างฐานทัพแก่มนุษย์ต่างดาวพร้อมกับมอบมนุษย์ให้เพื่อใช้ในการศึกษา
(ความเห็นส่วนตัวว่า น่าจะเป็นการใช้ IO อีกแบบหนึ่งในการสร้างข่าวลือของหน่วยงานรัฐ)

เมจิก12 ไมได้เพียงแค่มีหน้าที่ในการศึกษาเรื่องวัตถุบินลึกลับหรือสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเท่านั้น พวกเขายังมีหน้าที่
ปกปิดเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ไม่ให้แพร่งพรายออกไปสู่สาธารณชน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องปกปิด
การมีอยู่ของหน่วยงานนี้

เมื่อมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นวัตถุบินลึกลับ เจ้าหน้าที่ของเมจิก12 ก็จะรุดไปสอบสวน และถ้าหากพยานคนนั้น
รู้เห็นมากเกินไป เขาก็จะถูก "แนะ" และ "เตือน" ให้ระมัดระวังการพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นต่อสื่อมวลชน
ดังที่ วิลเลี่ยม "แมค" บราเซล (William "Mac" Brazel)

ผู้พบชิ้นส่วนยานอวกาศตกที่ รอสเวลล์ และได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุท้องถิ่น แต่ภายหลังก็กลับคำให้สัมภาษณ์

วิธีการที่หน่วยงานนี้ใช้ในการ "กลบข่าว" นั้นดูจะโหดอยู่สักหน่อยถึงแม้จะไม่มีหลักฐานว่ามีพยานคนใดถูกฆาตกรรม
แต่พยานหลายคนก็หายสาบสูญไปเฉยๆ ! ส่วนเรื่องข่าวที่หลุดออกไปสู่สายตาสาธารณชนนั้น ใช่ว่ารัฐบาลจะเพียง
ออกมาแก้ข่าวให้ประชาชนหายตื่นตระหนกต่อข่าวนั้น แต่พวกเขากลับสร้างหลักฐานออกมาค้านมากมายจนทำให้
ดูเหมือนกับว่าผู้ให้ข่าวเป็นตัวตลกที่เพ้อเจ้อไปเอง
(ความเห็นส่วนตัวว่า ในเมืองไทยก็ทำคล้ายกันเพียงแต่ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่จนตัวเองกลายเป็นตัวตลกเสียเอง)

ใครเป็นใครใน "เมจิก 12"

MJ1 พลเรือตรี รอสโค ฮิลเลนโคเอทเตอร์ (Rear Adm. Roscoe H. Hillenkoetter)

ผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1947-1950) ถูกสงสัยว่าเป็นหัวหน้าทีมเมจิก12 อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล
และกองทัพสหรัฐเคยกล่าวยืนยันว่า มีกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว และในปี ค.ศ. 1960
ตัวนายพล รอสโค เองก็เคยยอมรับว่ามีการศึกษาเรื่องวัตถุบินลึกลับอย่างลับๆ

MJ2 ดร. แวนเนวาร์ บุช (Dr. Vannevar Bush)

ประธานคณะกรรมการร่วมสภาวิจัยและพัฒนา (1945-1949) เป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดี ผู้คิดค้นเครื่องคอมพิวเตอร์
ในยุคแรกๆ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมสร้างระเบิดปรมาณู วิลเบิร์ท สมิธ (Wilbert Smith)

วิศวกรโครงการป้องกันภัยของรัฐบาลแคนาดา ได้เขียนบันทึกไว้ในปี ค.ศ. 1950 ว่า
"ยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวมีจริง แต่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันทำงานอย่างไร ขณะนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง
ที่นำทีมโดย ดร. แวนเนวาร์ บุช กำลังศึกษาเรื่องนี้อย่างขมักเขม้น"

MJ3 เจมส์ ฟอร์เรสตอล (James Forrestal)

รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (1947-1949) เขาเกิดอาการโรคประสาทและทำอัตวินิบาตกรรมในปี ค.ศ. 1949
ผู้ที่ได้รับเลือกเข้ามาแทนที่คือ พลเอก วอลเตอร์ บีเดลล์ สมิทธ์ (General Walter Bedell "Beetle" Smith)

เอกอัครราชทูตประจำรัสเซีย (1946-1949) และผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1950-1953) ในปี ค.ศ. 1991
พันเอกพิเศษ อาร์เธอร์ เอ็กซอน (General Arthur Exon) อดีตผู้บัญชาการฐานทัพอากาศ ไรท์-แพทเทอร์สัน
กล่าวว่าเขาไม่รู้จัก "เมจิก12" แต่ทราบว่ามีหน่วยงานลับชื่อ "13 ผู้ฝ่าฝืน(พระเจ้า)" (Unholy Thirteen)
กำลังศึกษาเรื่องวัตถุบินลึกลับ 13 ผู้ฝ่าฝืนที่เขากล่าวถึงอาจเป็นเมจิก12 กับประธานาธิบดีสหรัฐ

MJ4 พลอากาศเอก นาธาน ทวินิง (General Nathan F. Twining)

ผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการยุทธปัจจัยทางอากาศแห่งฐานทัพไรท์ ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของ
เสนาธิการทหาร ซึ่งเป็นตำแหน่งทางทหารที่สูงที่สุดของกองทัพสหรัฐ ดร. เอริค วอลเกอร์ (Eric Walker)
อดีตประธานสถาบันวิเคราะห์การป้องกันภัย อ้างว่าเขาเคยร่วมสัมมนาเกี่ยวกับการค้นพบยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว
ที่ฐานทัพไรท์-แพทเทอร์สัน เขายังกล่าวอีกด้วยว่าเขารู้จัก "เมจิก12" ทุกคนมานานกว่า 40 ปีแล้ว!

MJ5 พลเอก ฮอยท์ แวนเดนเบิร์จ (General Hoyt Sanford Vandenberg)

หัวหน้าหน่วยข่าวกรองกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1946-1947)

MJ6 ดร. เดท์เลฟ บรอง (Dr. Detlev Bronk)

นักชีวฟิสิกส์ หัวหน้าสมาคมนักวิทยาศาสตร์ และประธานที่ปรึกษาทางการแพทย์ของคณะกรรมการพลังงานปรมาณู

MJ7 ดร. เจอโรม ฮันเซเกอร์ (Dr. Jerome Hunsaker)

นักออกแบบเครื่องบินผู้มีชื่อเสียง และประธานคณะกรรมการให้คำปรึกษาวิชาการบิน

MJ8 พลเรือตรี ซิดนีย์ โซเออร์ (Rear Admiral Sidney Souers)

ผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1946) และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการบริหารของสภาความมั่นคงแห่งชาติในปี ค.ศ. 1947
ดอน เบอร์ลิงเจอร์ (Don Berlinger) นักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์และนักสืบสวนเรื่องวัตถุบินลึกลับได้รับฟิล์มถ่ายรูปเอกสาร
"คู่มือปฏิบัติการพิเศษมาเจสติก 12" (Majestic - 12 Group Special Operations) ลงวันที่เดือน เมษายน 1954
จำนวน 23 หน้า จากผู้ไม่ประสงค์ออกนามเมื่อปี 1994


MJ9 กอร์ดอน เกรย์ (Gordon Gray)

ผู้ช่วยเลขานุการกองทัพ ต่อมาเป็นที่ปรึกษาสภาความมั่นคงและผู้อำนวยการฝ่ายยุทธจิตศาสตร์ของ ซีไอเอ

MJ10 ดร. โดนัลด์ เมนเซล (Dr. Donald Howard Menzel)

ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และนักพิสูจน์ (ว่าไม่จริง) วัตถุบินลึกลับ
ได้รับหน้าที่กี่ยวกับโครงการลับสุดยอดหลายโครงการและยังเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีหลายสมัย

MJ11 พลตรี โรเบิร์ท มอนตากู (Maj. Gen. Robert Montague)

หัวหน้าโครงการอาวุธพิเศษของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู

MJ12 ดร. ลอยด์ เบอร์เคเนอร์ (Dr. Lloyd Berkner)

เลขานุการบริหารของคณะกรรมการร่วมสภาวิจัยและพัฒนา
และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการกองทุนวิจัยวัตถุบินลึกลับของ ซีไอเอ ในปี ค.ศ. 1950

ภายใต้โครงการเมจิก (Majic Projects) ยังมีการแบ่งงานกันทำออกเป็นโครงการย่อยๆ อีกมากมายคือ

ซิกม่า (Sigma)
ทำหน้าที่ในด้านทำการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว

พลาโต้ (Plato)
สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับมนุษย์ต่างดาว

อควาริอัส (Aquarius)
ศึกษาเปรียบเทียบประวัติศาสตร์โลกและเผ่าพันธ์มนุษย์ กับการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาว

การ์เน็ท (Garnet)
ควบคุมข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว

พลูโต (Pluto)
ประเมินข้อมูลที่ได้จากวัตถุบินลึกลับเพื่อนำมาใช้ในเทคโนโลยีทางอวกาศ

พันซ์ (Pounce)
กู้ยานอวกาศที่ตกหรือลงจอด และยังทำหน้าที่สร้างเรื่องเพื่อปกปิดความจริงไม่ให้ออกสู่สายตาสาธารณชน
โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงและปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่

เอ็นอาร์โอ (NRO)
องค์กรลาดตระเวณแห่งชาติ (National Recon Organization) มีสำนักงานอยู่ที่ป้อมคาร์สัน รัฐโคโลราโด
รับผิดชอบทางด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดจากมนุษย์ต่างดาว

เดลต้า (Delta)
เป็นกองกำลังให้กับเอ็นอาร์โอ มีรหัสเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ชายชุดดำ" (Men In Black)

(ความเห็นส่วนตัว เป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง Men In Black)

บลูทีม (Blue Team)
เดิมทีคือ โครงการศูนย์บัญชาการยุทโธปกรณ์การบิน รับผิดชอบเหตุการณ์ยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวตก
หรือร่อนลงจอด และ/หรือการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาว

ไซน์ (Sign)
หรือที่ผมเคยเรียกว่าโครงการสัญลักษณ์ทำหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อดูว่ามนุษย์ต่างดาวที่พบนั้นมาดีหรือร้าย

เรดไลท์ (Red Light)
ทำการทดสอบยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวที่ยึดมาได้ โครงการนี้ทดลองกันในพื้นที่ 51 แต่หลังจากที่ล้มเหลวจากการทดสอบ
และมีนักบินหลายคนเสียชีวิต โครงการนี้ถูกยกเลิกไปช่วงหนึ่งแต่ก็กลับมารื้อฟื้นอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1972
การทดลองประสบความสำเร็จขั้นหนึ่งและปัจจุบันโครงการนี้ยังดำเนินอยู่

สโนวเบิร์ด (SnowBird)
เป็นโครงการที่สร้างขึ้นมาเป็นฉากบังหน้าโครงการเรดไลท์ เป็นการสร้างเครื่องบินที่มีรูปร่างเหมือน
จานบินของมนุษย์ต่างดาวแต่ใช้เทคโนโลยีของเครื่องบินธรรมดา เพื่อสร้างข่าวส่งไปยังสื่อมวลชน
ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า จานบินที่ตนเห็นนั้นแท้จริงแล้วก็คือ เครื่องบินรุ่นใหม่ที่กองทัพอากาศสหรัฐ
กำลังศึกษาและทดลองอยู่ แต่โครงการนี้จะทำเป็นช่วงๆ เฉพาะตอนที่รัฐบาลต้องการสงบข่าวเวลาที่มี
คนร่ำลือกันว่าเห็นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว

บลูบุ้ค (Blue Book)

โครงการนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1947 และถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1969 เป็นโครงการที่เก็บรวบรวมข้อมูล
เกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับและมนุษย์ต่างดาว โครงการอควาริอัส มารับหน้าที่ต่อจากโครงการนี้
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #24 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2006, 12:19:34 AM »

หัวข้อบ่งถึงความแสบของมะริกาได้มากนะครับ

ที่แสบกว่าคือรัฐบาลของไทยตอนนี้ก็เป็นมือไม้ของเขาด้วยน่ะสิครับ
บันทึกการเข้า
Udomkd
รักษ์ธรรมชาติ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3700
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 41046



« ตอบ #25 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2006, 10:37:51 AM »

ด้วย  หลงรัก

ความเห็นต่อไปนี้ มิได้มีเจตนาคัดแย้ง การแสดงกระทู้ของคุณ narongt น๊ะครับ โดยสัตย์ ผมชอบบทความที่ คุณ narongt นำเสนอ ขอให้นำมาออกเรื่อยๆครับ ผมเพียงแสดงความคิดเห็น ตามความคิด ซึ่งผมมองว่า ไม่มีผิดมีถูก
(จากข้อมูลข่าวสาร) ว่ากันว่า อเมริกาคิดทำอะไร มันจะคิดแผนการล่วงหน้าเป็นระยะยาวมากๆ แล้วก็จะมีการทำสานต่อไปเรื่อยๆ
โดยที่จะมีเหตุผลหลักคือ เพื่อผลประโยชน์ของอเมริกาเท่านั้น

เหตุผลที่อเมริกานำเสนอว่า (อาจมี หรือมี หรือ จะมี)มนุษย์ต่างดาว มาบุกยึดครองโลก

แต่การกระทำทั้งหมด หลายๆเหตุการณ์ ที่อเมริกาเข้าไปเกี่ยวข้อง อเมริกานั้นแหละ เป็นมนุษย์ต่างดาวเสียเอง

อเมริกา ชอบเอาเปรียบชนชาวโลก

เริ่มตั้งแต่อเมริกาตั้งถิ่นฐานของอเมริกาเอง โดยมองชาวพื้นเมืองเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่ไช่ มนุษย์ด้วยกัน

และจวบจนปัจจุบัน อเมริกาก็ยังเอาเปรียบชนชาวโลกอยู่เสมอๆ

อนาคต อเมริกาก็จะเอาเปรียบชาวโลกต่อๆไป

แต่...ผมก็ยังชอบการทำงาน วิธีการทำงาน

แต่...ไม่ชอบ วิธีคิดแบบ อเมริกา

บันทึกการเข้า

รักมิตร รักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีด้ามขวาน
   รักมิตรรักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีคมขวาน
   รักมิตร รักเพื่อน
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #26 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2006, 10:48:12 AM »

เอาเรื่อง IO ไม่ใช่เรื่องที่แลงลี่ย์นะครับ... นายสมชายเชื่อเรื่อง IO เพราะเรียนด้านนี้มา...

แต่การตีความใช้ฯ ตามข้างบนมีหลายประเด็นต้องแยกเรื่องนะครับ... แฮ่ๆ
เพราะหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่เอา IO มาใช้มากที่สุดครับเลยต้องบอกที่มาที่ไปของหน่วยงานก่อน
และอีกอย่างผมคัดลอกมาจากหนังสือเกือบทุกตัว ยกเว้นคำผิดถึงจะแก้ไขครับ

ลืมบอกไปครับ ถ้าต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมให้คลิ๊กที่ภาพหรือข้อความ จะลิงค์ไปที่ WIKIPEDIA

นายสมชายเขียนสื่อข้อความไม่ชัดเจนครับ...

หมายความว่า... เอาเฉพาะเรื่อง IO ว่า... เจตนาและผลของการใช้งานในประเทศไทยต้องแยกเป็นเรื่องๆครับ ไม่ถูกทั้งหมดและไม่ผิดทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในประเทศไทย บางเรื่องคนที่นั่งวางแผนก็แตกคอกัน ฝ่ายไหนเผลอ อีกฝ่ายก็ลากไปอีกข้างหนึ่ง ลากได้มั่งไม่ได้มั่ง... มีเรื่องให้ค้นแยะครับ แต่ต้องค้นที่เมืองนอก อยู่ในรูปรายงานการประชุมเก่าๆ...

ส่วนเรื่องที่แลงลี่ย์... นายสมชายไม่มีความเห็นครับ... แฮ่ๆ
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #27 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2006, 11:02:16 AM »

ด้วย หลงรัก

ความเห็นต่อไปนี้ มิได้มีเจตนาคัดแย้ง การแสดงกระทู้ของคุณ narongt น๊ะครับ โดยสัตย์ ผมชอบบทความที่ คุณ narongt นำเสนอ ขอให้นำมาออกเรื่อยๆครับ ผมเพียงแสดงความคิดเห็น ตามความคิด ซึ่งผมมองว่า ไม่มีผิดมีถูก
(จากข้อมูลข่าวสาร) ว่ากันว่า อเมริกาคิดทำอะไร มันจะคิดแผนการล่วงหน้าเป็นระยะยาวมากๆ แล้วก็จะมีการทำสานต่อไปเรื่อยๆ
โดยที่จะมีเหตุผลหลักคือ เพื่อผลประโยชน์ของอเมริกาเท่านั้น

เหตุผลที่อเมริกานำเสนอว่า (อาจมี หรือมี หรือ จะมี)มนุษย์ต่างดาว มาบุกยึดครองโลก

แต่การกระทำทั้งหมด หลายๆเหตุการณ์ ที่อเมริกาเข้าไปเกี่ยวข้อง อเมริกานั้นแหละ เป็นมนุษย์ต่างดาวเสียเอง

อเมริกา ชอบเอาเปรียบชนชาวโลก

เริ่มตั้งแต่อเมริกาตั้งถิ่นฐานของอเมริกาเอง โดยมองชาวพื้นเมืองเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่ไช่ มนุษย์ด้วยกัน

และจวบจนปัจจุบัน อเมริกาก็ยังเอาเปรียบชนชาวโลกอยู่เสมอๆ

อนาคต อเมริกาก็จะเอาเปรียบชาวโลกต่อๆไป

แต่...ผมก็ยังชอบการทำงาน วิธีการทำงาน

แต่...ไม่ชอบ วิธีคิดแบบ อเมริกา



ไม่ได้ขัดแย้งหรอกครับ ผมก็คิดแบบคุณเหมือนกัน
อยากให้ลองอ่านกระทู้เรื่องลัทธิล่าอาณานิคมที่ผมเคยตั้งกระทู้ไว้
ซึ่งคนอเมริกาก็ถอดแบบมาจากคนยุโรป คนอเมริกาปัจจุบันก็คือนักล่าอาณานิคมของยุโรปหลายๆชาติ
ที่ไปยึดที่ดินจากชาวพื้นเมือง เช่น อินเดียนแดง กว่าจะมาเป็นอเมริกาในวันนี้ เขาก็ต้องฆ่ากันเอง
ในสงครามกลางเมืองมาหลายครั้ง

ส่วนในวงเล็บของประโยคข้างล่างนี้ ต้องขอโทษที พอดีเป็นความเห็นของผมเอง
เพราะกลัวว่าเดี๋ยวคนที่อ่านจะเชื่อร้อยเปอร์เซนต์ว่ามีมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนพอ

จะว่ากันไปแล้ว เมจิก12 ถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์(อ้างว่ามี)จานบินมนุษย์ต่างดาวตกที่ รอสเวลล์
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #28 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2006, 11:11:39 AM »


หมายความว่า... เอาเฉพาะเรื่อง IO ว่า... เจตนาและผลของการใช้งานในประเทศไทยต้องแยกเป็นเรื่องๆครับ ไม่ถูกทั้งหมดและไม่ผิดทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในประเทศไทย บางเรื่องคนที่นั่งวางแผนก็แตกคอกัน ฝ่ายไหนเผลอ อีกฝ่ายก็ลากไปอีกข้างหนึ่ง ลากได้มั่งไม่ได้มั่ง... มีเรื่องให้ค้นแยะครับ แต่ต้องค้นที่เมืองนอก อยู่ในรูปรายงานการประชุมเก่าๆ...


รับทราบครับผม จะพยายามค้นหามาครับ แต่ผมขอเปลี่ยนชื่อกระทู้นะครับ
เพราะจริงๆแล้วตอนตั้งกระทู้ตอนแรกว่าจะตั้งเกี่ยวกับเรื่อง ทฤษฏีสมคบคิด
แต่พอดีไปเจอกระทู้เกี่ยวกับการเมืองไทยที่เข้าข่าย เลยเอามาตั้งชื่อไปก่อน ขออภัยอย่างสูงครับ
(อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าตั้งเรื่องที่ใกล้ตัวมากไปจะเสี่ยงไปหน่อยครับ ไม่ค่อยอยากจะขึ้นศาลเท่าไหร่ แหะๆ)
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #29 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2006, 07:42:05 PM »

การเดินทางข้ามเวลา

การเดินทางข้ามเวลา เป็นเรื่องที่เรามักจะอ่านพบในนิยายวิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่อง อันที่จริงแล้วการเดินทางข้ามเวลา
ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝันในนิยายเท่านั้น หากแต่ในความเป็นจริงแล้วได้มีการเดินทางข้ามเวลาเกิดขึ้นจริงๆ!

เพียงแต่ว่าการเดินทางข้ามเวลาที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเหตุบังเอิญที่เกิดจากการทดลองโครงการลับที่ใช้ในทางทหาร
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

โครงการ "เรนโบว์"
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเรือสหรัฐ ได้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางการทหาร เพื่อนำไปใช้ในการสงคราม
หนึ่งในการทดลองนั้นคือ การพยายามทำให้เรือพิฆาตไม่ปรากฏบนจอเรดาร์ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า
เป็นการทดลองเทคโนโลยีล่องหนครั้งแรกของโลก


โครงการ "เรนโบว์" (Project Rainbow) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment)
ได้ทำการทดลองขึ้นที่ฐานทัพเรือสหรัฐในฟิลาเดเฟีย  ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1943 โดยการใช้เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็ก
ขนาดใหญ่ติดตั้งบนเรือรบ

สนามแม่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นจะทำการเบี่ยงเบนคลื่นเรดาร์ ทำให้คลื่นเรดาร์ไม่กระทบลำเรือและสะท้อนกลับไปยังตัวรับสัญญาณ
ข้าศึกจึงไม่สามารถใช้เรดาร์ในการตรวจจับเรือรบดังกล่าวได้ ไม่เพียงแต่เท่านั้นสนามแม่เหล็กยังได้หักเหการเดินทางของแสง
ทำให้เรามองไม่เห็นมันอีกด้วย ซึ่งหลักการดังกล่าวเหมือนกับการที่เราเห็นภาพลวงตาบนท้องถนนในวันที่แดดแรง (Mirage)


เปิดตำนาน

เช้าวันที่ 22 กรกฏาคม ค.ศ. 1943 เวลา 9:00 น. การทดลองที่นำไปสู่การเดินทางข้ามเวลาได้เริ่มขึ้น
บนเรือพิฆาต เอลดริจ หรือ ดีอี173 (USS Eldridge - DE-173)

เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กเริ่มทำงานมันสร้างหมอกควันสีเขียวขึ้นทีละน้อยรอบๆ ลำเรือ และเมื่อหมอกควันสีเขียว
เริ่มจางลง เรือเอลดริจ ก็หายไปจากจอเรดาร์ และจากสายตาผู้คนที่เฝ้าดูการทดลองครั้งนั้น

ประมาณ 15 นาทีต่อมา ก็มีคำสั่งให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก หมอกควันสีเขียวเริ่มก่อตัวอีกครั้งหนึ่ง
แต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์!

บรรดาลูกเรือทั้งหมดที่อยู่บนกราบเรือ มีอาการคลื่นเหียน อาเจียน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ กองทัพเรือมีคำสั่ง
ให้เปลี่ยนลูกเรือชุดใหม่ เพื่อทำการทดลองต่อไป แต่ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน (Dr. John von Neumann)

นักวิทยาศาสตร์ผู้รับผิดชอบการทดลองครั้งนี้ ได้คัดค้านขอให้ยุติการทดลองไว้ชั่วคราว เพื่อขอเวลาในการตรวจหา
สาเหตุและทำการแก้ไขเสียก่อน

กองทัพเรือขีดเส้นตายให้กับ ดร. จอห์น ไว้แค่วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 หรือเพียงไม่ถึง 3 สัปดาห์เท่านั้น
โดยไม่ได้ให้เหตุผลเลยว่าทำไมการทดลองจึงต้องมีขึ้นภายในวันที่ 12 สิงหาคม นอกเสียจากบอกกับ ดร. จอห์น ว่า
พวกเขายังไม่ต้องการให้เรือรบหายไปจริงๆ จากสายตา พวกเขาต้องการเพียงแค่ให้เรือรบไม่ปรากฏบนจอเรดาร์เท่านั้น

การทดลองครั้งประวัติศาสตร์
หลังจากที่ ดร.จอห์น ได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว การทดลองเรือรบล่องหน ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในวันเส้นตายที่กองทัพเรือ
กำหนดไว้ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ลูกเรือชุดใหม่ได้ขึ้นประจำการบน เรือพิฆาตเอลดริจ เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กเริ่มทำงาน
เวลาผ่านไปราว 60 วินาที ทุกอย่างดูไปได้สวย เรือพิฆาตเอลดริจ เริ่มหายไปจากจอเรดาร์ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเป็นรูป
โครงเรือลางๆ ได้ด้วยตา แต่ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างสีฟ้าวาบขึ้น!


เรือพิฆาตเอลดริจ ได้หายไปจากน่านน้ำ!
ดร. จอห์น เริ่มมีอาการระส่ำระสาย เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว
แต่ทำไมเหตุการณ์เดิมยังเกิดขึ้น พวกเขาพยายามส่งวิทยุติดต่อกับเรือพิฆาตเอลดริจ แต่ก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด

ราว 4 ชั่วโมงต่อมา เรือพิฆาตเอลดริจก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่เดิม เสาอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ รับ-ส่งคลื่นวิทยุหักโค่นลง
เหล่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างก็รีบรุดไปที่เรือพิฆาตเอลดริจทันที เมื่อไปถึงเรือพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่พบ

ร่างของลูกเรือ 2 คน ถูกดูดจนตัวติดกับพื้นเรือ เหมือนประหนึ่งว่าร่างกายของเขาเป็นโลหะชิ้นหนึ่ง เช่นเดียวกับ
ลูกเรืออีก 2 คน ที่ถูกผนังเรือดูดเข้าไปจนติดเป็นส่วนหนึ่งของผนัง ส่วนลูกเรือคนที่ 5 นับว่าโชคดีหน่อยที่เพียงแค่
แขนข้างหนึ่งของเขาเท่านั้นที่ติดอยู่กับผนังเรือ เขายังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ว่าต้องตัดแขนเขาเพื่อแยกตัวเขาออกจากผนังเรือ

ลูกเรือหลายคนถูกไฟไหม้ตามร่างกาย และทุกคนมีอาการสติแตก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จะมีก็แต่ลูกเรือที่ประจำการ
อยู่ในห้องด้านล่างของตัวเรือเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย และหนึ่งในนั้นก็คือ อัลเฟรด เบเลก (Alfred Bielek)

ผู้ที่เปิดเผยเรื่องราวการทดลองครั้งนี้

ใครคือ "อัลเฟรด เบเลก"
อัลเฟรด เบเลก เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1916 ที่รัฐนิวยอร์ก เดิมทีนั้นเขาชื่อ
เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน (Edward A. Cameron)

เป็นบุตรชายของ อเล็กซานเดอร์ ดันแคน คาเมรอน ซีเนียร์ (Alexander Duncan Cameron, Sr) จบการศึกษา
ระดับปริญญาเอก สาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก ประเทศสก็อตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1939

ไม่เพียงแต่เท่านั้น อัลเฟรด ยังจบปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยพรินสตัน และกำลังจะศึกษาต่อปริญญาเอก
ที่ฮาร์วาร์ด อาจเป็นเพราะบิดาของเขาเคยรับราชการในราชนาวีสหรัฐ จึงทำให้ อัลเฟรด และน้องชายของเขา
เข้ารับราชการในราชนาวีสหรัฐ เช่นกัน

4 ชั่วโมงที่หายไป
เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงานเต็มที่ เหล่าลูกเรือก็พบว่าเรือพิฆาตเอลดริจ ได้ปรากฏตัวบนฝั่งแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงได้
ลงจากเรือเพื่อมาสำรวจพื้นที่ พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และสุนัขตรวจตราลาดตระเวณอยู่เต็มไปทั่วบริเวณ
เมื่อมองไปบนท้องฟ้าพวกเขาก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ ฉายไฟสปอตไลท์มาที่พวกเขา แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้จักเฮลิคอปเตอร์

ครู่เดียวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็กรูกันมาที่พวกเขาแล้วพาพวกเขาลงไปยังห้องใต้ดิน
พวกเขาพบกับชายสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งได้แนะนำตัวเองว่าเขาคือ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน

อัลเฟรดถึงกับช็อค เพราะเขาเพิ่งจะจากกับ ดร.จอห์น เมื่อสักครู่นี้เอง และเขาก็หนุ่มกว่านี้มาก ดร.จอห์น อธิบายให้ฟังว่าสถานที่นี้คือ
สถานที่ทดลอง โครงการฟินิกส์ (Phoenix Project) ตั้งอยู่ที่มอนทอก เมืองลองไอส์แลนด์ (Montauk, Long Island)

วันนี้คือวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1983
(ความเห็นส่วนตัวว่า น่าจะเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง Back To The Future, The Final Countdown และอื่นๆ)

ดร. จอห์น เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "การทดลองฟิลาเดเฟีย" ในปี ค.ศ. 1943 จากนั้นก็สั่งให้
ทุกคนกลับไปที่เรือ และให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กโดยเร็ว การทดลองฟิลาเดเฟีย ในปี ค.ศ. 1943
และการทดลองฟินิกส์ ในปี ค.ศ. 1983 ได้ก่อให้เกิด "ช่องว่าง" ของเวลาและได้ดูดเอาเรือพิฆาตเอลดริจ
จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งมีเวลาห่างกัน 40 ปี

ดร. จอห์น สั่งให้ทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ที่จะหยุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก
ไม่เช่นนั้นสนามแม่เหล็กจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อโลก

เมื่อพวกเขากลับไปที่เรือ ก็ช่วยกันหยิบขวานขึ้นมาทุบไปบนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แผงควบคุม และอุปกรณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง
จนในที่สุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กก็หยุดทำงาน และเรือพิฆาตเอลดริจ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เดิม ในปี ค.ศ. 1943 อีกครั้ง

ลูกเรือทุกคนที่รอดชีวิตกลับมาได้จากการทดลองครั้งนั้น ได้ถูกรัฐบาลจัดการล้างสมอง ลบความจำจนหมดสิ้น
และได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ พร้อมทั้งสร้างข้อมูลชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา และนี่คือเหตุผลที่
เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน ได้หายไปจากโลก และมี อัลเฟรด เบเลก ขึ้นมาแทน

ฟื้นความทรงจำ

อย่างที่กล่าวไว้แหละครับ เดิมที อัลเฟรด ได้ถูกรัฐบาล จับไปล้างสมองและลบความทรงจำไปจนหมดสิ้นแล้ว
เขาใช้ชีวิตในชื่อของ อัลเฟรด เบเลก ตลอดมาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1983 บริษัทสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ
อี เอ็ม ไอ ตรอน คอร์เปอเรชั่น (EMI Thron Corp.) ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment)


ภาพยนตร์เรื่องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองที่ อัลเฟรด ได้ประสบมา อีเอ็มไอ ได้กำหนดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้
ในประเทศสหรัฐช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1984 แต่เมื่อก่อนจะถึงกำหนดฉายเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น
ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายจากรัฐบาลสหรัฐ มีข้อความว่าพวกเขาไม่ประสงค์ให้มีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้
ในประเทศสหรัฐ

อีเอ็มไอ ได้ลงทุนทำการประชาสัมพันธ์และออกกำหนดการ การฉายภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อีกทั้งเขาก็เพิ่งจะได้รับ
จดหมายห้ามจากสหรัฐเพียงแค่ 3 วันก่อนวันฉาย อีเอ็มไอ จึงได้ตัดสินใจฉายภาพยนตร์ในสหรัฐ ตามกำหนดการเดิม
โดยเสแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่ได้รับจดหมายห้ามจากรัฐบาลสหรัฐ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐ เมื่อภาพยนตร์เริ่มฉาย ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายเตือนฉบับที่ 2
จากสหรัฐอีก แต่คราวนี้ อีเอ็มไอ ไม่สามารถแกล้งโง่ได้อีก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมหยุดฉายภาพยนตร์ทันทีทันใด
แถมยังได้ส่งจดหมายกลับไปว่า อีเอ็มไอ จะหยุดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งห้ามเป็นคำพิพากษาจากศาลเท่านั้น

แน่นอนว่าเรื่องจ้อยๆ แค่นี้ ทำได้ไม่ยากหรอกครับ เพียงแค่ 2 สัปดาห์ต่อมาก็มีคำสั่งจากศาล ให้หยุดการฉายภาพยนตร์
เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็หายไปจากประเทศสหรัฐถึง 2 ปีเต็มๆ ในระหว่างนั้น อีเอ็มไอ ได้พยายาม
หาหนทางที่จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเข้าไปในประเทศสหรัฐ จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไปพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ
โดยผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาในรูปแบบของวิดิโอเทป และส่งเข้าไปขายในสหรัฐ

เมื่อ อัลเฟรด ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ความจำของเขาก็เริ่มกลับมา อัลเฟรด กล่าวว่าในช่วงต้นเรื่องภาพยนตร์สร้างออกมา
ได้ใกล้เคียงความจริงมาก ส่วนช่วงหลังของภาพยนตร์นั้นมีการเสริมแต่งเรื่องเพื่อให้ภาพยนตร์เป็นที่ประทับใจ

อัลเฟรด ได้พยายามสืบหาผู้ที่รอดชีวิตจากการทดลองครั้งนั้น ในที่สุดเขาก็พบกับ นาวาตรี อลัน แบชเลอร์
(Lt. Commander Alan Batchelor) ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าลูกเรือในการทดลองฟิลาเดเฟีย อลันจำ อัลเฟรดได้ว่า
เขาเป็นหนึ่งในลูกเรือเอลดริจ และยังบอกกับเขาด้วยว่า เขาไม่ได้ชื่อ อัลเฟรด เบเลก

อลัน ได้สูญเสียความจำบางส่วนไป แต่อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่า อัลเฟรด ประจำการอยู่บนเรือร่วมกับน้องชาย
และยังพอจะจำเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นได้

มาถึงตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของอัลเฟรดเขาหายไปไหน? ผมขอย้อนกลับไปที่เหตุการณ์บนเรือเอลดริจ
ตอนที่หลุดเข้าไปในประตูมิติเวลา ระหว่างที่เหล่าลูกเรือกำลังช่วยกันทำลายเครื่องสร้างสนามพลังอยู่นั้น น้องชายของ อัลเฟรด
ได้ตัดสินใจกระโดดลงจากเรือ ครับเขาอยู่ในปี ค.ศ. 1983 ในขณะที่ลูกเรือคนอื่นกลับมาในปี ค.ศ. 1943

การทดลองครั้งสุดท้าย

หลังจากที่เกิดการผิดพลาดในการทดลองเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ราชนาวีสหรัฐ ได้สั่งให้สร้างเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมาใหม่
และกำหนดให้มีการทดลองอีกครั้ง แต่คราวนี้จะไม่ลูกเรือ

ราวปลายเดือนตุลาคม เวลาประมาณ 22:00 น. การทดลองได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พวกเขาได้ใช้สายเคเบิลยาวประมาณ 1,000 ฟุต
ผูกติดกับคันบังคับปิด-เปิด เครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก เพื่อใช้เป็นรีโมท (ไม่รู้ว่าจะถือว่าเป็นต้นกำเนิดรีโมทคอนโทรลได้หรือเปล่า?)

เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงาน เรือเอลดริจก็ได้หายไปจากน่านน้ำในฟิลาเดเฟีย มีพยานจำนวนมาก
เห็นมันไปปรากฏตัวที่ท่าเรือใน นอร์ฟอล์ก รัฐเวอร์จิเนีย นานเป็นเวลาประมาณ 15 นาที แล้วจู่ๆ มันก็หายตัวไป

เรือเอลดริจ กลับมาปรากฏตัวที่ฟิลาเดเฟียอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครปิดเครื่อง แต่เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กได้หยุดทำงานด้วยตัวมันเอง
http://maps.google.com/maps?ie=UTF8&ll=36.885747,-76.2599&spn=9.275619,17.446289&om=1

เมื่อเจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนเรือ พวกเขาพบว่าอุปกรณ์จำนวนมากกว่าครึ่งหายไป ห้องควบคุมมีกลุ่มควันเต็มไปหมด
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือเอลดริจ รู้ก็แต่เพียงว่าต้องมีอะไรผิดปรกติอย่างแน่นอน ในที่สุดราชนาวีสหรัฐ
ก็ตัดสินใจระงับโครงการเรนโบว์นี้

เรือเอลดริจ ได้ถูกนำมาประกอบอุปกรณ์มาตรฐานของเรือพิฆาตอีกครั้ง เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ใข้ในการทดลองฟิลาเดเฟีย
ถูกยกออก และส่งมันกลับเข้าประจำการตามปรกติ จนกระทั่งปลดประจำการณ์ในปี ค.ศ. 1950

สหรัฐได้บริจาคเรือลำนี้ให้กับประเทศกรีซ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเรือไลออน โดยที่กฏหมายการเดินเรือสากลนั้น
ปูมเรือจะต้องติดไปกับเรือด้วยทุกครั้ง ใช่ครับ ปูมเรือเอลดริจก็ติดไปกับเรือด้วย เพียงแต่ว่ามันเริ่ม
วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1944 ไม่มีใครทราบว่าปูมเรือก่อนหน้านั้นหายไปไหน
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.101 วินาที กับ 22 คำสั่ง