เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 25, 2024, 05:27:45 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 ... 9
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)  (อ่าน 63938 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 29 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #30 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2006, 08:44:14 PM »

[


   อ่านเนื้อหาที่คุณ Narong นำมาถ่ายทอด โดยเฉพาะภาพถ่ายลูกปืน ข้างต้น และ UFO  ฯลฯ  แล้ว ทำให้ผมนึกถึง วารสารวิทยาศาสตร์ รายเดือนเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านในช่วงเด็กๆ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกที่ชื่อ   " มิติที่  4 " ...จังเลย..
บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #31 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2006, 10:06:46 PM »

   อ่านเนื้อหาที่คุณ Narong นำมาถ่ายทอด โดยเฉพาะภาพถ่ายลูกปืน ข้างต้น และ UFO  ฯลฯ  แล้ว ทำให้ผมนึกถึง วารสารวิทยาศาสตร์ รายเดือนเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านในช่วงเด็กๆ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกที่ชื่อ   " มิติที่ 4 " ...จังเลย..

เล่มนี้ไม่ค่อยคุ้นครับ อาจเป็นเพราะผมเรียนที่ต่างจังหวัด
เท่าที่หาได้ก็มี ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ กับ ต่วยตูน ครับ
ส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องบินก็มี สงคราม กับ สมรภูมิ
บันทึกการเข้า
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #32 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2006, 06:19:42 PM »

 
อ่านเนื้อหาที่คุณ Narong นำมาถ่ายทอด โดยเฉพาะภาพถ่ายลูกปืน ข้างต้น และ UFO ฯลฯ แล้ว ทำให้ผมนึกถึง วารสารวิทยาศาสตร์ รายเดือนเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านในช่วงเด็กๆ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกที่ชื่อ " มิติที่ 4 " ...จังเลย..

เล่มนี้ไม่ค่อยคุ้นครับ อาจเป็นเพราะผมเรียนที่ต่างจังหวัด
เท่าที่หาได้ก็มี ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ กับ ต่วยตูน ครับ
ส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องบินก็มี สงคราม กับ สมรภูมิ

       "มิติที่ 4 "  เป็นวารสารของ สนพ.ซีเอ็ด ผลิตเมื่อปี 2522 -2528 (  http://www.se-ed.com/home/companyProfile/Default.aspx )  จะเป็นแนววิทยาศาสตร์ ที่ต่างกับ " ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ "  และ "ต่วยตูน" ครับ
        สำหรับความคิดเห็นผม...
         "ชัยพฤษ์วิทยาศาสตร์ "  จะเป็นวารสารวิทยาศาสตร์แบบความรู้รอบตัวทั่วไปและมีหัวข้อการทดลอง
         " ต่วยตูน "  ผมอ่านเป็นบางครั้ง จำรายละเอียดไม่ค่อยได้
    แต่ " มิติที่ 4 "  ในช่วงนั่น ผมคิดว่า ซี-เอ็ด กล้ามากที่นำเสนอหน้งสือในแนววิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ ฉีกแนวจากหนังสือวิทยาศาสตร์ทั่วๆไป  ผมเริ่มเข้าใจและรู้จัก   "  หลุมดำ , UFO  , จักรวาล, ภาพถ่ายความเร็วสูง , ภาพเขียนหลอกตาโดยใช้มิติ ภาพเป็นตัวหลอก , ไอเชค  อาซิมอฟ และอีกท่านหนึ่งผมจำไม่ได้  นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ชื่อดัง ระดับรางวัล,  นิยายสืบสวนแบบวิทยาศาสตร์ (จำชื่อไม่ได้ครับ แต่ตัวเอกเป็น เด็ก ครับ ) และอีกหลายเรื่อง คล้ายๆกับที่คุณ narong เสนอมาครับ...."
         สำหรับ หนังสือ "สงคราม" และ "สมรภูมิ" ..ช่วงนั่นหาอ่านฟรีที่ สโมสรในค่ายทหาร แต่ชอบดูรูปอย่างเดียวครับ....อย่าว่าอย่างโน้น อย่างนี้เลยครับ..ผมก็ " เด็กต่างจังหวัดเหมือนกันครับ "  ... Cheesy Cheesy

    ป.ล. จะติดตามอ่านข้อมูลของคุณ narong ต่อน่ะครับ... หลงรัก
บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #33 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2006, 08:52:47 PM »

        สำหรับความคิดเห็นผม...
         "ชัยพฤษ์วิทยาศาสตร์ "  จะเป็นวารสารวิทยาศาสตร์แบบความรู้รอบตัวทั่วไปและมีหัวข้อการทดลอง
         " ต่วยตูน "  ผมอ่านเป็นบางครั้ง จำรายละเอียดไม่ค่อยได้
         สำหรับ หนังสือ "สงคราม" และ "สมรภูมิ" ..ช่วงนั่นหาอ่านฟรีที่ สโมสรในค่ายทหาร แต่ชอบดูรูปอย่างเดียวครับ....อย่าว่าอย่างโน้น อย่างนี้เลยครับ..ผมก็ " เด็กต่างจังหวัดเหมือนกันครับ "  ... Cheesy Cheesy

    ป.ล. จะติดตามอ่านข้อมูลของคุณ narong ต่อน่ะครับ... หลงรัก
รับทราบครับ จะพยายามหามาให้อ่านเรื่อยๆ แต่อย่าเชื่อหมดนะครับ ให้หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบด้วยครับ
ชัยพฤกษ์ จะมีเรื่องเกี่ยวกับอิเลกทรอนิกส์, อวกาศและนวัตกรรมใหม่พอสมควร
ส่วนต่วยตูน ก็จะมีเรื่องลึกลับแต่ส่วนมากออกไปทางประวัตศาสตร์และมีเรื่องเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าบ้าง

ส่วนหนังสือสงครามและสมรภูมิก็มีเรื่องเกี่ยวกับอาวุธต่างๆ นอกจากสองเล่มนี้ก็ยังมีหนังสือ
ที่ทำออกมาเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับสงครามโลกและสงครามเวียดนามแต่จำชื่อหนังสือไม่ได้แล้ว
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #34 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2006, 08:54:17 PM »

อาวุธเคมี

มีการทดลองลับๆ มากมาย ที่หน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ
"ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้ หนึ่งในเรื่องราวการทดลองอันน่าตกใจของ ซีไอเอ คือ
"การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า
"โครงการ เอ็มเคอัลทรา" (Project MKULTRA)


โครงการเอ็มเคอัลทราเป็นการศึกษาและทดลอง การใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงคราม
ที่เรียกว่า อาวุธเคมี (Chemical Weapons)

และอาวุธชีวภาพ (Biological Weapons)

แรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ขึ้นมาหรอกครับ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐ
จะใช้อาวุธเคมีและชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขได้ทัน
ถ้าหากมีการใช้อาวุธเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ

ทดลองไปทดลองมา ซีไอเอ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขาน่าจะนำมันมาใช้เองจะดีกว่า การทดลองเพื่อป้องกันและแก้ไข
ก็เลยกลายเป็นวัตถุประสงค์รองไป ส่วนวัตถุประสงค์หลักกลับกลายมาเป็นเพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์

อันที่จริงแล้วได้มีการวิจัยและพัฒนาสารต่างๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1940
จนถึงต้นทศวรรษที่ 1950 การทดลองในตอนนั้นเป็นการทดลองใช้สารเสพติดกับกลุ่มทดลองที่สมัครใจ
แต่ต่อมาได้มีการลอบทดลองกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่อาสาสมัครและไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกให้สารเสพติด

มีการพบรายงานฉบับเดือนตุลาคม ค.ศ. 1975 ของจเรสหรัฐ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ รายงานผลการสืบสวน
การเสียชีวิตของ ฮาโรลด์ เบลาเออร์ (Harold Blauer) อาสาสมัครคนหนึ่งที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1953
New evidence in Army scientist's death
Evidence builds in CIA-related death
Meet Sidney Gottlieb -- CIA dirty trickster
ยืนยันว่านาย ฮาโรลด์ เสียชีวิตเพราะระบบการทำงานของหัวใจล้มเหลว และสาเหตุที่ทำให้ระบบการทำงานของหัวใจหยุดเต้น
ก็เพราะว่าเขาถูกฉีดสารเสพติดประเภท เมสคาลีน (Mescaline)

ซึ่งเป็นการทดลองอันหนึ่งของ สถาบันโรคจิตแห่งนิวยอร์ก (New York State Psychiatric Institute)
ที่ทำขึ้นภายใต้การบงการของ หน่วยเคมีกองทัพสหรัฐ (U.S. Army Chemical Corps.)

ยุคแรกของการทดลอง

การทดลองนี้ได้เริ่มทำกันเป็นเรื่องเป็นราวก็เมื่อได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1953
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากันปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการทดลอง
ที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว เอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองนี้ได้ถูกทำลายลงในราวต้นปี ค.ศ. 1973

หน่วยงานที่ทำการทดลองนี้ไม่ใช่เฉพาะ ซีไอเอ เท่านั้นแต่ยังมีหน่วยข่าวกรองของกองทัพและหน่วยข่าวกรองของ
สำนักงานอื่นๆ ของรัฐบาลด้วย พวกเขาจะคอยแลกข้อมูลที่ได้จากการทดลองกัน ซึ่งการทดลองนี้ถือเป็นการทดลองลับสุดยอด
ขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ ยังไม่ทราบเลยว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานของเขา ผู้ที่ทราบเรื่องก็จะมีแต่นายแพทย์และ
นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมการทดลองเท่านั้น

การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือ
สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักโทษอาสาสมัครคดียาเสพติด
นักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม อนุญาติให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติด
ชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด


หนึ่งในสารเสพติดที่ใช้ในการทดลองคือ แอลเอสดี (Lysergic acid diethylamide)

ซึ่งสารนี้ต่อมาได้ถูกนำมาใช้ทดสอบกับบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่อาสาสมัครโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวซึ่ง ซีไอเอ กล่าวว่า
บุคคลที่ถูกทดลองนั้นเป็นอาชญากร ซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจนถึงระดับไฮโซ
มีทั้งคนอเมริกันและคนต่างชาติ

ในการทดลองของหน่วยข่าวกรองกองทัพสหรัฐ ได้แบ่งการทดลองออกเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ เช่นกันคือ

http://www.mindcontrolforums.com/appendixa.htm
http://www.envirosagainstwar.org/know/read.php?itemid=335
http://www.totse.com/en/conspiracy/mind_control/lsd-army.html

ขั้นตอนแรกทำการทดลองให้สารแอลเอสดีกับทหารอาสาสมัครจำนวนกว่า 1,000 นาย
เรียกว่าการทดลองอาวุธเคมี (Chemical Warfare Experiment)

ขั้นตอนที่สองเป็นการทดลองเพื่อหาความเป็นไปได้ในการนำสารแอลเอสดีมาใช้เป็นอาวุธ โดยการให้สารแอลเอสดีกับ
อาสาสมัครจำนวน 95 คน เรียกขั้นตอนนี้ว่า โครงการทดสอบปัจจัย อีเอ1729 (Material Testing Program EA 1729)

ส่วนขั้นตอนสุดท้ายเป็นการนำสารแอลเอสดี มาใช้จริงกับ "เป้าหมาย" ที่ไม่ใช่อาสาสมัครและไม่รู้ตัวมาก่อนว่าถูกลอบให้
สารแอลเอสดี จำนวน 16 คน แล้วเฝ้าดูพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของ "เป้าหมาย" หลังจากที่ได้รับสารแอลเอสดีไปแล้วเรียก
ขั้นตอนนี้ว่า โครงการทางเลือกที่สาม (Project THIRD CHANCE)  และโครงการหมวกสักหลาด (Project DERBY HAT)

ถึงแม้ว่า ซีไอเอ จะรู้ดีถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากข้อมูลการทดลองของโครงการเอ็มเคอัลทรา รั่วไหลออกไปสู่
บุคคลภายนอก แต่พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าทำการทดลองต่อไป เนื่องจากว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้น สหรัฐจะตกเป็นเบี้ยล่าง
ของประเทศกลุ่มคอมมิวนิสต์ ในการทำสงครามเคมี

ทดลองกันเอง

เรื่องน่าเศร้าที่สุดที่เกิดขึ้นจากการทดลองก็คือ การเสียชีวิตของ ดร. แฟรงค์ ออลสัน (Dr. Frank Olson)

ลูกจ้างฝ่ายพลเรือนของกองทัพสหรัฐ เมื่อเขาดื่มเหล้าที่มีสารแอลเอสดี ปริมาณราว 70 ไมโครกรัมผสมอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัว

(ความเห็นส่วนตัว ข้อความภาษาอังกฤษข้างล่างนี้มีบุคคล 2 คน ที่รู้เรื่องโครงการนี้และมีบทบาทสูง
ในรัฐบาลบุชขณะนี้ ซึ่งตามความเห็นส่วนตัวว่าการระบาดของยาบ้าในเมืองไทยขณะนี้และที่ผ่านมาไม่แน่อาจจะเป็น
กลยุทธ์ของ ซีไอเอ ก็เป็นได้เพราะส่วนมากจะมีที่มาจากชาวเขาโดยที่จะทำผ่านคนที่ไปเผยแพร่ศาสนาให้ชาวเขา
ซึ่งอาจเป็น ซีไอเอ แต่ไม่ได้หมายถึงคนที่เผยแพร่ศาสนาทุกคน, รวมถึงเจ้าหน้าที่ของไทยบางกลุ่มเองด้วย
และสถานการณ์จะคล้ายกับตอนที่จีนทำสงครามฝิ่นกับนักล่าอาณานิคมสมัยก่อน
รวมถึงอีกอย่างหนึ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตุคือ กองกำลังที่พิทักษ์ รักษาการผู้นำของไทย ใช้อยู่เป็นใครมาจากไหนหว่า?

His family had no idea of the details of the accident until the Rockefeller Commission
started uncovering some of the CIA's MKULTRA activities. In 1975, the government admitted
that Olson had been unwittingly dosed with LSD. White House staffers Donald Rumsfeld and Dick Cheney
arranged for President Gerald Ford to meet with the Olson family and personally apologize on behalf of
the United States government. The government offered them an out of court settlement,
which they accepted.)

ดร. แฟรงค์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฟุ้งกระจายในอากาศของสารชีวภาพ (Aerobiology)
เขาได้รับมอบหมายให้มาทำงานในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Special Operations Division - SOD) ของกองทัพสหรัฐ
ที่ แคมป์เดทริก รัฐแมรี่แลนด์ ซึ่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษนี้เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ร่วมวิจัยในโครการเอ็มเคอัลทรา
http://www.sfgate.com/cgi-bin/article.cgi?file=/c/a/2004/09/12/MNG468MM8N1.DTL

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 นักวิทยาศาสตร์จำนวน 10 คน ได้เข้าร่วมประชุมประจำครึ่งปี
ที่ทะเลสาบดีพครีก รัฐแมรี่แลนด์ นักวิทยาศาสตร์ 3 คนมาจาก หน่วยบริการด้านเทคนิคของ ซีไอเอ
ส่วนที่เหลือมาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพสหรัฐ


วันพฤหัสฯที่ 19 พฤศจิกายน ขณะที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกันอยู่
ดร. โรเบิร์ท แลชบรูก (Robert Lashbrook) เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ ซีไอเอ ได้แอบนำสารแอลเอสดีใส่ลงใน
ขวดเหล้าคอนทรัว (Cointreau) สุรารสกาแฟที่นิยมดื่มหลังอาหารค่ำ ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เอ็มเคอัลทรา
ที่จะทำการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่อาสาสมัครโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

สุราดังกล่าวได้ถูกเสิร์ฟให้กับนักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่มาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ 2 คน เนื่องจากคนหนึ่งไม่ดื่มสุรา และอีกคนหนึ่งเป็นโรคหัวใจ

หลังจากที่ทุกคนได้ดื่มสุราผสมสารแอลเอสดีไปได้ราว 20 นาที ดร. ซิดนีย์ กอทเทลบ (D r. Sidney Gottlieb)

หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ของ ซีไอเอ ก็แจ้งให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษทราบว่า
พวกเขาได้รับสารแอลเอสดี ซึ่งตอนนั้นพวกเขาอยู่ในอาการปรกติดีทุกคน

แต่พอสารแอลเอสดีออกฤทธิ์เท่านั้นก็ได้เรื่อง บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ถูกวางยาต่างก็เอะอะส่งเสียงดัง
เอาแต่หัวเราะจนกระทั่งไม่เป็นอันประชุม จนต้องยุติการประชุมในเวลาตีหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้น ดร. ซิดนีย์
ได้ติดตามสังเกตุอาการของ ดร.แฟรงค์ เขาก็ไม่พบอะไรที่ผิดปรกตินอกเสียจากอาการอ่อนเพลีย
และมือสั่นซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรง

เช้าวันจันทร์ที่ 23 เวลา 7:30 น. ดร.แฟรงค์ ได้มาดักรอพบ พันตรี วินเซนท์ ริวเวท (Colonel Vincent Ruwet)
เพื่อนของเขาที่ ที่ทำงาน ดร. แฟรงค์ มีอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า รุ่งขึ้นในเช้าวันอังคาร ดร. แฟรงค์
ก็มาขอพบ ผู้พันวินเซนท์ อีกครั้ง คราวนี้หลังจากที่ผู้พันวินเซนท์ได้พูดคุยกับ ดร. แฟรงค์ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
เขาก็รู้สึกถึงพฤติกรรมที่ผิดปรกติของ ดร. แฟรงค์

ผู้พันวินเซนท์ จึงได้รีบโทรไปแจ้ง ดร. โรเบิร์ท โดยบอกว่า ดร. แฟรงค์ กำลังมีปัญหาที่ร้ายแรงและต้องส่งตัว
ไปให้ผู้เชี่ยวชาญบำบัดรักษา ดร. โรเบิร์ท จึงขอให้ ผู้พันวินเซนท์ นำตัว ดร. แฟรงค์ ไปพบเขาที่กรุงวอชิงตันดีซี
หลังจากนั้น ดร. โรเบิร์ท ก็ได้โทรศัพท์ไปนัดหมายกับ ดร. ฮาโรลด์ แอบแรมซัน (Dr. Harold Abramson)
ในมหานครนิวยอร์ก

ดร. ฮาโรลด์ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จิตแพทย์ แต่เขาก็มีส่วนร่วม
วิจัยทางอ้อมกับโครงการเอ็มเคอัลทรา เนื่องจาก ดร.ฮาโรลด์ เป็นนายแพทย์ที่ศึกษาวิจัยเรื่องสารแอลเอสดี
อีกทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่ของ ซีไอเอ และเป็นนายแพทย์ที่อยู่ใกล้กรุงวอชิงตันมากที่สุด เท่าที่ ดร. โรเบิร์ทรู้จัก
เขาจึงได้พาตัว ดร.แฟรงค์ มาให้ ดร. ฮาโรลด์ ทำการวินิจฉัย

เกิดโศกนาฏกรรม

ทั้ง 3 คนได้พักอยู่ที่นิวยอร์กเป็นเวลา 2 วัน จนถึงวันพฤหัสฯที่ 26 พฤศจิการยน ซึ่งตรงกับวันขอบคุณพระเจ้า
(Thanksgiving Day) พวกเขาก็บินกลับกรุงวอชิงตัน เพราะต้องการให้ ดร. แฟรงค์ ได้อยู่กับครอบครัว
ในช่วงเทศกาลที่สำคัญ ในระหว่างที่เดินทางกลับ ดร. แฟรงค์ ก็บอกกับ ผู้พันวินเซนท์ ว่าเขากลัว
ที่จะต้องกลับไปพบกับครอบครัวของเขา หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ดร. โรเบิร์ท ก็ตัดสินใจนำตัว
ดร. แฟรงค์ บินกลับนิวยอร์กทันที ส่วน ผู้พันวินเซนท์ มีหน้าที่นำข่าวไปแจ้งให้กับภรรยาของ ดร. แฟรงค์

เช้าวันศุกร์ทั้งคู่ก็ได้มาพบ ดร.ฮาโรลด์ ที่สำนักงานของเขาอีกครั้ง คราวนี้ ดร. ฮาโรลด์ แนะนำให้พาตัว
ดร. แฟรงค์ ไปรักษากับจิตแพทย์โดยตรง ที่สถาบันที่อยู่ใกล้กับบ้านของ ดร. แฟรงค์ แต่เนื่องจากวันนั้น
เป็นวันศุกร์ทำให้เที่ยวบินทุกเที่ยวที่จะมากรุงวอชิงตันเต็มหมด ดร. โรเบิร์ท และ ดร. แฟรงค์ จึงต้อง
เช่าห้องพักที่โรงแรมแสตทเลอร์ เพื่อรอเที่ยวบินวันเสาร์

หลังจากที่ได้ห้องพักแล้วทั้งคู่ก็ลงมารับประทานอาหารค่ำร่วมกันและดื่มเหล้ามาร์ตินี่ที่บาร์คนละ 2 แก้ว
ดร. โรเบิร์ท กล่าวว่าคืนนั้น ดร. แฟรงค์ ดูร่าเริงผิดหูผิดตาเหมือนกับว่าสิ่งผิดปรกติในตัวเขาได้หายไป
จนหมดสิ้น ต่อจากนั้นทั้งคู่ก็กลับมาดูโทรทัศน์ที่ห้องพักจนกระทั่งถึงเวลา 5 ทุ่ม ทั้งคู่ก็หลับไป

เวลาตีสองครึ่ง ดร. โรเบิร์ท ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงกระจกแตก เมื่อลุกขึ้นมาดูเขาก็พบว่า
ดร. แฟรงค์ ได้พุ่งทะลุผ่านหน้าต่างกระจกที่มีมู่ลี่ปิดอยู่จากห้องพักที่พวกเขาพัก
บนชั้น 10 ของโรงแรม ตกลงไปยังพื้นถนนข้างล่าง



การเสียชีวิตของ ดร. แฟรงค์ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระมัดระวังการทดลองการใช้สารแอลเอสดี
กับมนุษย์มากขึ้น และยิ่งทำให้พวกเขาพยายามที่จะปกปิดข้อมูลการทดลอง และนี่อาจเป็นสาเหตุให้
ซีไอเอ ต้องทำลายเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการเอ็มเคอัลทรา เมื่อมีการสอบสวนเรื่องนี้หนักขึ้น
ซีไอเอ ก็ประกาศล้มเลิกโครงการเอ็มเคอัลทรา ในปีค.ศ. 1963

เลิกไม่จริง
http://demopedia.democraticunderground.com/index.php/Mind_control
http://www.us-government-torture.com/History-of-abuse.html
http://www.mindcontrolforums.com/pro-freedom.co.uk/skeletons_1.html

>>>ดูวิดิโอ เกี่ยวกับการวิเคราะห์โครงการนี้ คลิ๊กที่ข้อความนี้<<<

โครงการทดสอบปัจจัย อีเอ 1729 เป็นการทดลองของกองทัพสหรัฐที่ถอดแบบมาจากโครงการเอ็มเคอัลทรา
การทดลองนี้ได้กระทำขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1955-1958 โดยหน่วยเคมีกองทัพ (Army Chemical Corps.)
เพื่อจะหาความเป็นไปได้ในการนำสารแอลเอสดีมาใช้เป็นอาวุธ การทดลองนี้มีขึ้นที่ ค่ายทหารแบรกจ์ (Fort Bragg)
ภายใต้การควบคุมของสถานีทดลองอาวุธเคมีกองทัพสหรัฐ (Army Chemical Warfare Laboratories)

ที่เมืองเอดจ์วูด รัฐแมรี่แลนด์ หลังจากที่ทดลองกับทหารอาสาสมัครมาได้ระยะหนึ่ง กองทัพก็อนุมัติให้
นำมาทดลองใช้ในภาคสนามในปี ค.ศ. 1960

หน่วยจุดประสงค์พิเศษของกองทัพ (Army Special Purpose Team) ได้รับอนุญาติให้ใช้สารแอลเอสดี
ในการปฏิบัติการในยุโรประหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง สิงหาคม ค.ศ. 1961 ภายใต้รหัสโครงการทางเลือกที่ 3
(Project THIRD CHANCE) "เป้าหมาย" จำนวน 10 คนถูกเลือกโดยไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นเป็นทหารสหรัฐ
ที่ถูกระบุว่าเป็นสายลับของต่างชาติที่ลอบโขมยเอกสารลับไปจากกองทัพสหรัฐ และดูเหมือนว่าจะเป็น
กรณีเดียวเท่านั้นที่กองทัพประสบความสำเร็จในการนำสารแอลเอสดีมาใช้ในการสืบสวนสอบสวน

จากนั้นต่อมาอีกหนึ่งปีหน่วยพิเศษของกองทัพ ก็ได้รับอนุญาติให้ใช้สารแอลเอสดีอีกครั้งในการปฏิบัติการ
แถบตะวันออกไกล ระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง พฤศจิกายน ค.ศ. 1962 ภายใต้รหัสโครงการหมวกสักหลาด
(Project DERBY HAT) คราวนี้ "เป้าหมาย" จำนวน 7 คนที่ถูกระบุว่าเป็นจารชนได้รับเกียรติคัดเลือกโดยไม่รู้ตัว
การทดลองครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่จะเปรียบเทียบความแตกต่างว่า "ชาวเอเชีย" มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารแอลเอสดี
ต่างจากชาวยุโรปหรือไม่

"เป้าหมาย" ได้รับสารแอลเอสดี ในปริมาณ 6 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หลังจากที่ได้รับสารแอลเอสดีไป
เพียงแค่ 28 นาที "เป้าหมาย" ก็ตกอยู่ในสภาพที่เกือบจะหมดสติ นั่งไม่ได้ แสดงอาการเจ็บปวดและร้องครวญคราง
การกระตุ้นด้วยวิธีต่างๆ เพื่อช่วยเหลือให้ "เป้าหมาย" มีสติพอที่จะตอบคำถามได้ดูจะไม่เป็นผล

6 ชั่วโมงต่อมา "เป้าหมาย" เริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำถาม จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำ "เป้าหมาย" มาที่เครื่องจับเท็จ
การสืบสวนกินเวลาทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง 30 นาที นับตั้งแต่ "เป้าหมาย" ได้รับสารแอลเอสดี

การทดลองใช้สารเสพติดนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของกฏหมายและศีลธรรม แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่จากบันทึกช่วยจำ
ของกองทัพฉบับหนึ่งลงวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1963 ระบุว่ามีการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ
พวกเขามีมติที่จะล้มเลิกโครงการนี้ชั่วคราว

จากบทความนี้พวกเราคงเห็นแล้วว่าแท้ที่จริงแล้วสารเสพติดก็คือ อาวุธสงครามเราดีๆ นี่เอง
ดังนั้นถ้าหากใครคิดที่จะเสพสารเสพติด ขอโปรดให้พึงระลึกว่าคุณกำลังเอาปืนจ่อหัวตัวเองอยู่
และแย่ยิ่งกว่าก็ตรงที่คุณตายทั้งเป็น


(ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติม คนที่คิดยาเสพติดขึ้นมาก็คือชาติมหาอำนาจ เพราะฉนั้นถ้าคนที่คิดมันขึ้นมา
แล้วจะให้เขาปราบปรามอย่างจริงจังเป็นไปได้หรือ! มันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการควบคุมคน!

จึงอาจเป็นยุทธวิธีของมหาอำนาจ(แต่ไม่ได้หมายถึงประชาชนในประเทศมหาอำนาจทั้งหมด)
โดยอาศัยความร่วมมือของผู้ที่มีอำนาจในประเทศนั้นๆ เอง เพื่อที่จะทำให้ประชาชนในประเทศนั้นๆ อ่อนแอ
และมัวแต่สนใจหลงไหลในสิ่งบันเทิงโดยใช้ยาเสพติดช่วย ไม่ได้สนใจว่าผู้ที่มีอำนาจจะโกงกินและ
ยกทรัพย์สินของชาติให้ต่างชาติอย่างไร! โดยเห็นได้จากปัจจุบันที่ สังคมเมืองไทยมีแต่เรื่องบันเทิง, ยาเสพติด
และปัญหาของวัยรุ่น ตามสื่อต่างๆ ตลอดเวลา แล้วทำไมปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด?)
บันทึกการเข้า
Jackpot
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #35 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2006, 08:33:41 PM »

ติดตามอยู่ครับ...ต่อเร็วๆนะครับ
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #36 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2006, 03:09:09 AM »

สงครามจิตวิทยา

ในการทำสงครามนั้น ใช่ว่าจะมีแต่การใช้กำลังและอาวุธเข้าห้ำหั่นให้แหลกกันไปข้าง
แต่ยังมีการนำเอาการโฆษณาชวนเชื่อ ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา และเรื่องราวลึกลับที่อยู่เหนือเหตุผล
มาใช้เป็นอาวุธเรียกวิธีการเหล่านี้ว่า "ปฏิบัติการจิตวิทยา"

ความกลัวสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้เช่นเดียวกับปืนและรถถัง ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะ "ข่มขวัญ"
ศัตรูได้มากพอ เราก็อาจเอาชนะศัตรูได้โดยที่ไม่ต้องสู้รบปรบมือกันให้เสียเลือดเนื้อ เช่นเดียวกับที่
กองทัพสหรัฐทดลองนำมาใช้ในการปฏิบัติการลับในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกที่เรียกว่า
การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)

http://www.globalissues.org/HumanRights/Media/Military.asp

การโฆษณาชวนเชื่อที่ได้ผลที่สุดวิธีหนึ่งคือ การกล่าวอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเรื่องราวเหนือธรรมชาติ
มาผูกโยงเข้ากับเรื่องราวที่ต้องการเป็นวิธีการหนึ่งในการทำ สงครามจิตวิทยา (PSYWAR) ในช่วงทศวรรษที่ 1950
สหรัฐได้นำ ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations) มาใช้ในระหว่างการทำสงครามที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม
ภายใต้การนำของ นาวาอากาศเอกพิเศษ เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล (Edward Lansdale)


ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations)

http://utangente.free.fr/2003/PSYWAR.pdf

เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล ได้ชื่อว่าเป็น นักรบจิตวิทยา (Psywarrior) คนแรกๆ ของโลก เขามีความเชื่อว่า
ประเด็นสำคัญที่จะทำให้ปฏิบัติการจิตวิทยา หรือที่เรียกกันสั้นๆ ในกองทัพสหรัฐว่า ไซออบ (PSYOP)
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า การโฆษณาชวนเชื่อ นั้นประสบผลสำเร็จ ก็คือ การที่นักรบจิตวิทยาจะต้อง
"เข้าถึง" ความเชื่อในเรื่องต่างๆ ของเป้าหมาย
http://www.psywarrior.com/links.html
วิดิโอ Dark Secrets of the CIA
Dark Secrets of the CIA Pt.1
Dark Secrets of the CIA Pt.2
Dark Secrets of the CIA Pt.3
Dark Secrets of the CIA Pt.4
Dark Secrets of the CIA Pt.5
Dark Secrets of the CIA Pt.6

ตำนานและความเชื่อต่างๆ จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อชักจูงให้คนในท้องถิ่นนั้นๆ เกิดความคล้อยตาม
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 สมัยที่ เอ็ดเวิร์ด ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษของ ซีไอเอ
เขาได้ใช้กลยุทธ์นี้สร้างความโกลาหลในหมู่พวกกองโจรแบ่งแยกดินแดนในฟิลิปปินส์

สร้างตำนาน

พวกกองโจรแบ่งแยกดินแดนได้ยึดที่มั่นแห่งหนึ่งบนเนินเขาไว้ได้ เอ็ดเวิร์ด ได้รับมอบหมายให้ขับไล่พวกกองโจร
เหล่านั้นออกจากพื้นที่ เขาก็เริ่มปฏิบัติการจิตวิทยาทันที โดยปล่อยข่าวไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงว่า พื้นที่บริเวณที่
พวกกองโจรยึดไว้นั้นเป็นแดนอาถรรพ์ มันเป็นที่อยู่ของพวกภูติผีปีศาจ และโดยเฉพาะพวกผีดูดเลือดอาศัยอยู่ที่นั่น

หลังจากที่ปล่อยข่าวไปได้ 2 วัน เอ็ดเวิร์ด กะว่า "ข่าวลือ" นั้นน่าจะกระจายขึ้นไปถึงยังพวกกองโจรแล้ว
เขาก็เริ่มแผนการขั้นที่ 2 โดยส่งหน่วยลอบสังหารขึ้นไปยังบริเวณที่มั่นของพวกกองโจร และหลบซ่อนตัว
อยู่บริเวณที่พวกกองโจรใช้ลาดตระเวณตรวจพื้นที่ รอจนกระทั่งความมืดเข้ามาปกคลุมก็เริ่มทำข่าวลือให้เป็นจริง

เมื่อหน่วยลาดตระเวณของพวกกองโจรมาถึง หน่วยลอบสังหารรอจังหวะให้หน่วยลาดตระเวณเดินผ่านพวกเขาไป
แล้วค่อยๆ ย่องเข้าไป "เก็บ" คนที่เดินรั้งท้ายอย่างเงียบๆ แล้วลากไปทำพิธีแต่งศพโดยเจาะรูเล็กๆ 2 รูบนคอ
จากนั้นก็จับศพแขวนห้อยหัวลงเพื่อให้เลือดไหลออกมาที่แผลจนกระทั่งหมดตัว

เมื่อพิธีการแต่งศพเสร็จสิ้นพวกเขาก็นำศพที่ซีดเผือดนั้นกลับไปวางไว้ที่บริเวณทางลาดตระเวณของกองโจร
เมื่อกองโจรกลับมาเพื่อค้นหาสมาชิกที่หายไปก็จะพบศพเพื่อนของเขาที่ดูเหมือนจะถูก "อะไรบางอย่าง"
สูบเลือดออกจนหมดตัว พวกกองโจรต่างเชื่อว่า "อะไรบางอย่าง" ที่ว่านั้นก็คือ ผีดูดเลือด ด้วยความกลัว
ว่าขืนอาศัยอยูบนเนินเขาแห่งนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องนำชีวิตมาสังเวยเจ้าปีศาจร้ายตนนี้ทั้งหมดเป็นแน่แท้
ดังนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกกองโจรต่างก็อพยพหลบหนีไปที่อื่น

การข่มขวัญ

ปฏิบัติการจิตวิทยาที่เอ็ดเวิร์ดใช้อีกวิธีหนึ่งคือ "เทคนิคดวงตาของพระเจ้า" (Eye of God Technique)
เมื่อหน่วยข่าวกรองของรัฐบาลได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพวกก่อกบฏหรือเกี่ยวพันกับพวกก่อกบฏมาให้
เอ็ดเวิร์ด ก็จะนำรายชื่อของพวกก่อกบฏอ่านออกยังเครื่องกระจายเสียง ประกาศว่าพวกเขาจะถูกจับตาย
ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมมอบตัว

ส่วนบรรดาชาวบ้านที่ต้องสงสัยว่า ให้การสนับสนุนพวกก่อกบฏนั้น เอ็ดเวิร์ด จะส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปยังหมู่บ้าน
ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในตอนกลางคืน ขณะที่ชาวบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว หน่วยสอดแนมก็จะทำการวาดรูปดวงตา
ดวงใหญ่บนกำแพงตรงข้ามกับบ้านของผู้ที่ต้องสงสัย ดวงตาดวงนั้นจ้องเขม็งไปยังบ้านของผู้ต้องสงสัย
เป็นสัญลักษณ์แทนว่า เรากำลังจับตาดูแกอยู่ มันทำให้ผู้ต้องสงสัยไม่กล้าให้การช่วยเหลือต่อผู้ก่อกบฏ
เอ็ดเวิร์ดกล่าวว่าพอพวกชาวบ้านตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและเห็นดวงตาอยู่ตรงข้ามบ้านเข้าเท่านั้นก็ไม่กล้าทำอะไร
ที่เป็นการช่วยเหลือผู้ก่อกบฏอีก
(ความเห็นส่วนตัวว่า เปรียบเทียบกับไทยในปัจจุบันก็คือ เมื่อมีข่าวภาคธุรกิจออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านทางฝ่ายรัฐ
ก็จะเริ่มทำการตรวจสอบเรื่องการเสียภาษีของธุรกิจนั้นเป็นการเตือนว่ากำลังถูกจับตาดูอยู่ซึ่งคือการใช้เทคนิคที่ว่านี้)


คำทำนาย

หลังจากที่เอ็ดเวิร์ด ได้รับชัยชนะจากพวกกองโจรที่ต่อต้านรัฐบาลในฟิลิปปินส์ เขาได้ถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจลับ
อีกครั้งในสงครามเวียดนาม โดยใช้ชื่อปฏิบัติการนี้ว่า "ปฏิบัติการกองทัพในไซ่ง่อน" (Saigon Military Mission - SMM)
ปี ค.ศ. 1954 เอ็ดเวิร์ด และสายลับจำนวนหนึ่งได้เริ่มวางแผนการทำสงครามจิตวิทยา ปีต่อมาพวกเขาได้จ้าง
นักโหราศาสตร์ชาวเวียดนามเหนือจำนวนหนึ่งให้เขียนคำทำนายในอนาคตที่ระบุถึงการล่มสลายของ
ผู้นำเวียดนามเหนือและการผนวกประเทศเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเวียดนามใต้

จากความสำเร็จของ เอ็ดเวิร์ด ในปฏิบัติการที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม (ซึ่งตอนนั้นสงครามเวียดนามยังไม่ยุติ)
ส่งผลให้ เอ็ดเวิร์ด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญทางด้านยุติการต่อต้านของนักปฏิวัติ และต่อมาในปี
ค.ศ. 1962 เขาก็ได้รับมอบหมายภารกิจลับจาก ประธานาธิบดีเคนเนดี้ ให้เข้าไปขัดขวางการก่อปฏิวัติในคิวบา

อิงศาสนา

แผนการลับนี้มีรหัสเรียกว่า "ปฏิบัติการมองกูส" (Operation Mongoose)

เอ็ดเวิร์ดมีหน้าที่เข้าขัดขวางไม่ให้ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)

ทำการปฏิวัติสำเร็จ ในตอนแรกของสงครามจิตวิทยา เอ็ดเวิร์ด ได้ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทดสอบและพิสูจน์"
(Tried and True) ในปฏิบัติการครั้งนี้

ตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธทดสอบและพิสูจน์ที่เอ็ดเวิร์ดใช้คือ "การกำจัดโดยดวงประทีป" (Elimination by Illumination)
เขาได้ปล่อยข่าวว่า ฟิเดล คาสโตร นั้นเป็นพวกนอกศาสนา เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ จากนั้นก็สร้างความเชื่อถือ
ต่อข่าวลือให้เกิดขึ้นโดยการ "สร้างภาพ" เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อว่าพระเยซู ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อกำจัดคนนอกศาสนา
ซึ่งวิธีการของเขาก็คือ ยิงฟอสฟอรัสขึ้นไปบนท้องฟ้าในตอนกลางคืน เพื่อเลียนแบบเหตุการณ์ปาฏิหาริย์
ตามความเชื่อของคนท้องถิ่น
(ความเห็นส่วนตัวว่า กรณีที่มีคนออกมาชูป้ายตามสี่แยกใน กทม. เกี่ยวกับพระเยซู ถามว่าคนเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?
แล้วรู้สึกว่าจะไปสอดคล้องกับช่วงที่มีข่าวเสื่อมเสียเกี่ยวกับศาสนาพุทธมากๆ และมุสลิมก็ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
น่าจะมีอะไรที่เกี่ยวกับ การปฏิบัติการจิตวิทยา รวมถึงมีการทุ่มโฆษณาชักชวนทางทีวีและสื่อต่างๆของหนังสือดังเล่มหนึ่ง
คิดว่าคนที่ออกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ไม่เกี่ยว แต่ถามว่าใครอยู่เบื้องหลังล่ะ?)


คัมภีร์ปฏิบัติการจิตวิทยา

กองทัพสหรัฐได้พิมพ์สมุดคู่มือการปฏิบัติการที่พิลึกพิลั่นที่สุดในประวัติศาสตร์การทำสงครามนอกรูปแบบ
ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1964 ชื่อยาว 3 กิโลกับ 4 หุนว่า
"เวทมนตร์ พ่อมด อำนาจลึกลับ และปรากฏการณ์ทางจิตเหนือธรรมชาติอื่นๆ และความหมายโดยนัย
ของสิ่งเหล่านั้นจากปฏิบัติการของกองทัพและกองกำลังชาวบ้านในคองโก"
(Witchcraft, Sorcery, Magic, and Other Psychological Phenomena,
and Their Implications on Military and Paramilitary Operations in the Congo)

คู่มือเล่มนี้เป็นตำราสำหรับใช้ศึกษาวิธีการยับยั้งการก่อปฏิวัติของพวกก่อการร้ายที่มีพวกพ่อมดหมอผีคอยหนุนหลัง
ซึ่งแต่งโดย เจมส์ อาร์ ไพร์ซ (James R. Price) กับ พอล จูไรดินี (Paul Jureidini) 2 นักวิเคราะห์จาก
สถาบันวิจัยปฏิบัติการพิเศษ (Special Operations Research Office - SORO) แห่งมหาวิทยาลัยอเมริกา
ในกรุงวอชิงตันดีซี

สถาบันดังกล่าวทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับปฏิกิริยาของมนุษย์กับนโยบายทางการเมืองและการทหาร
ให้กับกองทัพสหรัฐ สถาบันนี้ยังได้ดำเนินโครงการที่น่าอับอายโครงการหนึ่งที่พวกเขาตั้งชื่อมันว่า
"โครงการคาเมล็อท" (Project Camelot)
http://www.cia-on-campus.org/social/camelot.html

หาหนูตะเภา

โครงการนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์ที่จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ประเมินผลกระทบทางด้านสังคม
ในประเทศด้อยพัฒนาที่ถูกเข้าแทรกแซงความมั่นคงของประเทศทั้งก่อให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพและมีเสถียรภาพ

แต่ข่าวการดำเนินโครงการนี้ได้รั่วไหลออกสู่สาธารณชนโดยเฉพาะในประเทศที่ถูกหมายหัวไว้เป็นตัวถูกทดลอง
ก่อให้เกิดการเดินขบวนประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วโลก ทำให้สถาบันวิจัยปฏิบัติการพิเศษ ต้องล้มเลิกโครงการนี้

ในรายงานที่เกี่ยวกับประเทศคองโกนั้นเป็นการศึกษาทดลองหาความเป็นไปได้ที่จะนำเอาวัฒนธรรม ความเชื่อ
ในเรื่องต่างๆ ของคนในท้องถิ่นมาใช้เป็นอาวุธ พวกนักเล่นไสยศาสตร์ถูกกล่าวว่าเป็นผู้ต่อต้านทหารของรัฐบาล
ที่มีประสิทธิภาพ พวกเขามีความเชื่อว่าพวกเขานั้นอยู่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า
(ความเห็นส่วนตัวว่า เหตุการณ์  มัสยิดกรือเซะ เราเป็นหนูตะเภาให้ใครหรือเปล่า?)

การที่พวกนักรบหมอผีเหล่านี้เชื่อว่าพวกเขาหนังเหนียว ทำให้พวกเขาไม่กลัวการที่เข้าปะทะกับกองกำลัง
ของรัฐบาลในทุกรูปแบบ ในทางตรงกันข้ามพวกทหารของรัฐบาลเสียเองกลับกลัวการที่จะต้องเข้าเผชิญหน้า
กับพวกนักรบเดนตายเหล่านี้

ในเมื่อ "ความเชื่อ" มีอานุภาพมากมายขนาดนั้น จึงทำให้แทนที่กองทัพสหรัฐจะพยายามทำลายความเชื่อผิดๆ
เหล่านั้นให้หมดสิ้นไป พวกเขากลับศึกษาและค้นคว้าถึงสิ่งที่คนในท้องถิ่นต่างๆ เชื่อถือ ตำนานพื้นบ้านและ
เรื่องลึกลับที่เล่าขานสืบต่อกันมากลายเป็นเรื่องที่หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาให้ความสนใจเป็นพิเศษ

เหตุผลนะหรือครับ? ก็เพราะเขาจะได้สร้างเรื่องให้พวกชาวบ้านหลงเชื่อได้ง่าย เมื่อเวลาที่พวกเขาต้องการ
ชักจูงให้ชาวบ้านทำอะไรบางอย่างที่พวกเขาต้องการ! แต่อย่างไรก็ตามในตำราชื่อยาว ได้เตือนเอาไว้ว่า
การกระทำดังกล่าวเป็นการสนับสนุนให้คนเกิดความงมงายในสิ่งผิดๆ
(ความเห็นส่วนตัว เมืองไทยตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจที่เมื่อก่อนเรียกว่า คอมมิวนิสต์ ก็ใช้กลยุทธ์ที่ไม่ต่างจาก
ซีไอเอ เลยอยากตั้งคำถามว่าเรื่องคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยมีจริงหรือไม่? หรือเบื้องหลังคือ มหาอำนาจ ชักใยอยู่
ที่คนไทยฆ่ากันเองเมื่อก่อนก็มีความเป็นไปได้ว่า มหาอำนาจโลกเสรีเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง)


ในที่สุดแล้วผลของการใช้ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์และเรื่องลี้ลับนี้อาจจะแปรเปลี่ยนไปจนกระทั่งไม่สามารถที่จะควบคุมได้
ซึ่งมันอาจจะสร้างปัญหาที่ใหญ่หลวงได้ในอนาคต ในตอนท้ายของตำราได้แนะนำว่าการแก้ปัญหาที่ถูกวิธีคือ
การฝึกฝนกำลังทหารให้มีประสิทธิภาพและมีผู้นำกองทัพที่เข้มแข็งและหนักแน่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถเอาชนะ
นักรบหมอผีได้อย่างเด็ดขาด

มัจจุราชมาเยือน

หลังจากนั้นไม่กี่ปีในช่วงท้ายๆ ของสงครามเวียดนาม หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาได้ใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะเอาชนะ
พวกเวียดกง ทั้งกายและใจ พวกเขาได้ใช้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นใบปลิว เครื่องกระจายเสียงและวิทยุในการประโคมข่าว
ข้อความบ่งบอกถึงผลเสียของการต่อต้านกองทัพสหรัฐและรัฐบาลเวียดนามใต้ ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือจะต้องพบกับ
จุดจบที่น่าสยดสยอง!

ตัวอย่างเช่น ในใบปลิวแผนหนึ่ง มีภาพศพของทหารเวียดกงกับภาพวาดหัวกะโหลกและเครื่องหมายโพดำ
(ดูภาพจากลิงค์วิดิโอนี้ Dark Secrets of the CIA Pt.2)
ซึ่งพวกเขาได้ความคิดนี้มาจากการที่มีทหารสหรัฐคนหนึ่งได้ทิ้งไพ่รูปเอโพดำไว้บนศพของพวกเวียดกงเพื่อ
สื่อความหมายว่าเป็นลางร้ายแห่งความตาย ใต้ภาพมีข้อความภาษาเวียดนามเขียนว่า "เวียดกง! นี่คือสัญลักษณ์แห่งความตาย"
หรือ "จงดิ้นรนหาทางที่จะต่อต้านรัฐบาลต่อไป แล้วก็จะได้พบกับความตายที่น่าสมเพชเช่นนี้"

ราวต้นทศวรรษที่ 1980 หรือ 10 ปีถัดมาหลังจากที่สหรัฐได้ถอนกำลังออกจากเวียดนาม พวกเขาก็ได้นำ
ปฏิบัติการจิตวิทยามาใช้อีกครั้งในการต่อต้านรัฐบาลซานดินิสต้าในนิคารากัว ที่มีคิวบาหนุนหลังอยู่
คราวนี้เขาได้สร้างภาพให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่ใช้ชื่อว่า คอนทราส์ (Contras) ซึ่งหมายถึง
ผู้ต่อต้านการเป็นนักรบของชาวคริสเตียน เอ็ดการ์ ชาโมร์โร (Edgar Chamorro) ชาวนิคารากัวผู้ซึ่งทำงานเป็นสายลับ
ให้กับ ซีไอเอ และเป็นผู้วางกลยุทธ์ในปฏิบัติการจิตวิทยาครั้งนี้ ได้ตีพิมพ์แผ่นปลิวที่นำเอาสัญลักษณ์ต่างๆ
ของศาสนาคริสต์ มาเป็นตัวชูโรงเช่น "สันตะปะปาอยู่ข้างเรา" ใบปลิวบางใบจะมีรูปสันตะปาปาประกอบพร้อมกับ
ข้อความ "ต้ดสินใจดู! โบสถ์หรือคอมมิวนิสต์ซานดินิสตา" หรือ "พระคริสต์เป็นผู้ปลดปล่อย"

ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของปฏิบัติการจิตวิทยาที่สหรัฐนำมาใช้ในการทำสงครามกับประเทศต่างๆ
เป็นที่ร่ำลือกันมาก ว่าปฏิบัติการมองกูส ที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ ได้เซ็นคำสั่งอนุมัตินั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่าน
ถูกลอบสังหารในเวลาต่อมา
บันทึกการเข้า
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #37 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2006, 08:39:03 PM »

    เรียน "คุณnarongt ". ...ข้อความสีแดง ที่เขียนว่า  " (  ความเห็นส่วนตัว...... )  " ผมรบกวนถามหน่อยครับว่า  เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ"คุณ narongt"  หรือ เจ้าของบทความนี้ครับ....ไม่มีอะไร?ครับ...เพียงแค่อยากทราบเท่านั่นเอง..ขอบคุณมากครับ
บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #38 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2006, 09:17:56 PM »

ติดตาม....อยู่เสมอ..ครับ.....ขอปรบมือ ให้คุณณรงค์ ครับ....ที่อุตส่าห์ หาเรื่องราวดี ๆ มาให้ได้รับทราบกัน...
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #39 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2006, 10:55:57 PM »

    เรียน "คุณnarongt ". ...ข้อความสีแดง ที่เขียนว่า  " (  ความเห็นส่วนตัว...... )  " ผมรบกวนถามหน่อยครับว่า  เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ"คุณ narongt"  หรือ เจ้าของบทความนี้ครับ....ไม่มีอะไร?ครับ...เพียงแค่อยากทราบเท่านั่นเอง..ขอบคุณมากครับ

ข้อความในวงเล็บ (ความเห็นส่วนตัว) ที่มีสีแดง เป็นความเห็นของผมเองครับ

เพราะหนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ มกราคม ปี 2544 คนเขียนใช้นามปากกาว่า ศิลป์ อิศเรศ
เขารวบรวมจากบทความที่เขาเขียนลงในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ คาดว่าน่าจะเขียนก่อน ปี 2544
แล้วค่อยมารวบรวมเป็นเล่มทีหลัง

ผมเลยให้ความเห็นส่วนตัว เพื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 20, 2006, 10:57:54 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #40 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2006, 10:01:28 PM »

ปริศนาคดีลอบสังหาร "เคนเนดี้"

คดีลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้

ยังคงเป็นความลับดำมืดอยู่แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 40 ปีแล้วก็ตาม หลักฐานที่ได้จากฟิล์มภาพยนตร์
และรูปถ่ายในวันเกิดเหตุแสดงให้เห็นถึงชายลึกลับ 2 คนที่อยู่ใกล้กับเคนเนดี้ มากที่สุดในวินาทีที่เขาถูกยิง
แต่กลับดูเหมือนว่าชายทั้ง 2 จะไม่มีตัวตน!

วันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ได้เดินทางไปยังเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส

ตามกำหนดการเดินสายหาเสียงในรัฐต่างๆ ทางใต้ เพื่อเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งตำแหน่ง
ประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2 ของเขา

เวลา 11:40 น. ประชาชนชาวดัลลัสต่างต้อนรับการเดินทางมาของเคนเนดี้และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง
อย่างอบอุ่น ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส จอห์น คอนเนลลีย์ และภรรยา

นั่งในรถลิมูซีน คันเดียวกับท่านประธานาธิบดีเพื่อเดินทางจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมือง

เมื่อขบวนรถได้เคลื่อนมาถึงเดลีย์พลาซา


ณ เวลา 12:30 น. ก็เลี้ยวขวาจากถนนเมน เข้าถนนฮิวส์ตัน เพื่อที่เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเอล์ม

ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส (Texas School Book Depository)


ทันทีที่รถคันที่เคนเนดี้นั่งแล่นผ่านป้ายบอกชื่อถนนทางด่วนสเตมมอนส์ ที่อยู่ข้างหน้า

ภรรยาของผู้ว่าจอห์นก็ได้ยินเสียงปืน เธอจึงเหลี่ยวหลังไปมองเคนเนดี้ที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถ
เธอเห็นท่านประธานาธิบดีเอามือกุมที่คอ วินาทีถัดมาผู้ว่าฯ จอห์นก็รู้สึกปวดที่ด้านหลังเขารู้ทันทีว่าเขาถูกยิง
http://www.btinternet.com/~dr_paul_lee/JFK.htm



ไม่กี่วินาทีต่อมาผู้ว่าจอห์น ก็ได้ยินเสียงปืนนัดที่ 3 ภรรยาของท่านประธานาธิบดียังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอคิดว่าเป็นเสียงประทัดหรือดอกไม้ไฟที่ประชาชนจุดต้อนรับขบวน แต่เมื่อเธอหันหน้ามามองสามีเธอ
ที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็ต้องตกใจที่เห็นท่านประธานาธิบดีถูกยิงเข้าที่ศรีษะ มันเป็นกระสุนนัดสุดท้ายที่
สังหารเคนเนดี้


http://www.assassinationresearch.com/v2n2/zfilm/zframe313.html

เมื่อประชาชนที่คอยเฝ้าต้อนรับรถขบวนอยู่ 2 ข้างทางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็แตกตื่นพากันนอนราบ
ลงกับพื้นหรือไม่ก็วิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้น เพื่อหลบลูกกระสุนที่อาจเกิดการยิงขึ้นมาอีก


ยกเว้นคน 2 คน!


http://www.dallasnews.com/cgi-bin/bi/dallas/photography/photography.cgi?step=View%20Slideshow&show=420&thisImage=6583
http://www.dallasnews.com/s/dws/spe/2005/jfk

ปริศนาคนถือร่ม
จากการวิเคราะห์ฟิล์มภาพยนตร์ขนาด 8 มม. ที่ถ่ายโดย อับราฮัม แชพรูเตอร์
http://youtube.com/watch?v=GU_cbEIPXw0&search=Abraham%20Zapruder

และภาพถ่ายจากกล้องของผู้อื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ ประกอบกับคำให้การของพยานขณะที่ จอห์น เอฟ เคนเนดี้
ถูกลอบสังหารนั้นแสดงให้เห็นสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนั้นมากมาย ภาพถ่ายจากพยานที่ยืนอยู่ริมถนน
ตรงกันข้ามกับป้ายบอกชื่อถนนทางด่วนเสตมมอนส์ จับภาพชาย 2 คนนั่งอยู่ริมถนนบริเวณป้ายนั้น

ซึ่งเป็นคนที่อยู่ใกล้กับประธานาธิบดีมากที่สุด ชายทั้ง 2 ดูเหมือนเป็นเพียงประชาชนธรรมดาๆ ที่มาต้อนรับ
ประธานาธิบดีในดวงใจของพวกเขาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่นั้น แต่เมื่อรถของประธานาธิบดีแล่นมาถึง
หนึ่งในนั้นก็ลุกขึ้นยืนกางร่ม

ที่มันน่าแปลกก็เพราะว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส ไม่มีเค้าว่าจะมีฝนหรือแดดก็ไม่จัด ที่สำคัญคือ
ชายคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่กางร่มในที่เกิดเหตุ เขากางร่มออกเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็หุบมันลง
ในขณะที่ชายคนที่นั่งข้างๆ เขาลุกขึ้นยืนโบกมือ และวินาทีเดียวกันนั้นเองเสียงปืนก็ดังขึ้น!

สิ้นเสียงปืนความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น ฝูงชนแตกตื่นไปคนละทิศละทาง ยกเว้นชาย 2 คนนี้ที่ทรุดตัวนั่ง
ลงที่เดิม หนึ่งในนั้นหยิบวัตถุบางอย่างที่มีเสาอากาศออกมา เขาจ่อมันที่ปากเหมือนกับว่าเขากำลังพูด
วิทยุรับ-ส่ง จากนั้นชายทั้ง 2 ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ชายที่ถือร่มเดินไปทางอาคารเก็บหนังสือโรงเรียน
ส่วนอีกคนเดินไปทางถนนลอดใต้ทางด่วน

"ชายผิวคล้ำ" (Dark complected Man) หยิบวัตถุบางอย่างที่มีเสาอากาศมาจ่อที่ปากหลังจากที่เคนเนดี้ถูกยิง

หลังจากที่เคนเนดี้ถูกยิง เขาก็ลุกขึ้นยืนเอาวิทยุเหน็บหลังแล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สัญญานมรณะ

เป็นไปได้ไหมว่า ชายทั้ง 2 คนกำลังส่งสัญญานให้กับมือปืนที่ซุ่มรออยู่ เพื่อบอกให้เริ่มปฏิบัติการได้
ที่ต้องให้สัญญานก็เพราะมือปืนไม่ได้มีแค่คนเดียวอย่างที่เอฟบีไอ ได้ทำสรุปสำนวนการสืบสวน
เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเสียงปืนดังขึ้น ความโกลาหลย่อมเกิดขึ้น หน่วยรักษาความปลอดภัยและ "เหยื่อ" จะต้องรู้ตัว

ดังนั้นเพื่อให้ปฏิบัติการสัมฤทธิ์ผล ปืนอย่างน้อย 3 กระบอกจะต้องถูกยิงในเวลาเดียวกันจากมุมต่างๆ
หลังจากนั้นชายทั้ง 2 จะหยุดดูผลงาน แจ้งข่าวและหนีออกจากที่เกิดเหตุอย่างสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่า สัญญาน "ร่ม" อาจเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายถึงปฏิบัติการส่งกองกำลังสนับสนุนทางอากาศ
ย้อนกลับไปเดือนเมษายน ค.ศ. 1961 เมื่อ ซีไอเอ ได้ส่งกำลังทหารเข้าไปยังคิวบาเพื่อเข้าต่อต้านกองทหาร
ฝ่ายปฏิวัติของ ฟิเดล คาสโตร เรียกว่า ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกร (Bay of Pigs Invasion) ซีไอเอ ได้ให้สัญญากับ
กองทัพของเขาว่าจะมีการส่งกำลังสนับสนุนทางอากาศเข้าไปช่วยหลังจากที่พวกเขาถึงอ่าวสุกรแล้ว แต่เหตุการณ์
ไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากประธานาธิบดีเคนเนดี้ ปฏิเสธคำขอของซีไอเอ ที่จะส่งกำลังทหารเข้าไปช่วยกองทัพ
ของซีไอเอราว 1,300 คน ที่ล่วงหน้าไปยังที่นั่นแล้ว ปฏิบัติการครั้งนั้นจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า การกางร่มออกของ
ชายลึกลับอาจสื่อความหมายถึง กองกำลังสนับสนุนทางอากาศที่พวก ซีไอเอ รอคอย

ร่มเป็นอาวุธลับ

โรเบิร์ท คัทเลอร์ นักวิจัยที่มีชื่อเสียงได้ตั้งข้อสังเกตุว่า "ร่ม" อาจเป็นปืนยิงลูกดอก ซึ่งทฤษฏีนี้ได้รับการยืนยันว่า
มีความเป็นไปได้ เนื่องจากในปี ค.ศ. 1975 นักวิจัยทางด้านอาวุธของ ซีไอเอ ผู้หนึ่งได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่สืบสวน
สอบสวนว่าในปี ค.ศ. 1963 ซีไอเอ ได้สั่งผลิตอาวุธลับปืนยิงลูกดอกที่เป็นรูปร่มจำนวน 50 กระบอก
ลูกดอกจะถูกยิงอย่างเงียบๆ ออกมาจากก้านร่มขณะที่ผู้ถือกางร่มออก


โรเบิร์ท ยังได้ให้ความเห็นอีกว่า รอยบาดแผลที่คอของประธานาธิบดีเคนเนดี้ นั้นอาจเป็นบาดแผล
ที่เกิดจากกระสุนลูกดอก แต่มันถูก "ตกแต่ง" เสียใหม่ระหว่างที่มีการชันสูตรศพ

และเจ้าลูกดอกอาบยาพิษนี่เองที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านประธานาธิบดีไม่แสดงอาการตอบสนอง
และนั่งเป็น "เป้านิ่ง" ขณะที่เสียงปืนดัง

ข้อสังเกตุทั้งหลายที่กล่าวมานี้ยังไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอที่จะยืนยันได้ว่าถูกต้อง ดูเหมือนทฤษฏีกางร่ม
เป็นสัญญานนั้นจะฟังดูเป็นไปได้มาก แต่คำตอบที่ดีที่สุดก็คือ การนำเอาตัวชายลึกลับทั้ง 2 คน
มาสอบสวนปากคำ แต่ว่าจะหาตัวพวกเขาได้ที่ไหน?

ไม่มีตัวตน

เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่ชายทั้ง 2 คนไม่มีตัวตนอย่างเป็นทางการทั้งเอฟบีไอและคณะกรรมาธิการวอร์เรน
(Warren Commission เป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนคดีลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้)
ไม่เคยพูดถึงชายลึกลับทั้ง 2 คนในการสืบสวนสอบสวน

แต่ต่อมาเมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภา เพื่อให้มาดูแลการสืบสวนสอบสวนคดีสำคัญนี้ พวกเขาได้สั่งให้
หาตัวชายลึกลับทั้ง 2 คนมาสอบสวน อีกทั้งยังได้ติดประกาศรูปชายทั้ง 2 ให้ประชาชนช่วยชี้เบาะแสหากว่า
เคยเห็นหรือรู้จักพวกเขา

หลังจากที่ติดประกาศตามหาตัวได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์จากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแจ้งมายัง เพนน์ โจนส์
หนึ่งในคณะกรรมาธิการรัฐสภาว่าชายลึกลับที่ถือร่มนั้นเป็นพนักงานขายประกันในดัลลัสชื่อ หลุยส์ สตีเวน วิทท์
(Louie Steven Witt) เพนน์ จึงรีบประสานงานกับแหล่งข่าวของเขาในดัลลัสทันที


พยาน "เตี๊ยม"

ในที่สุด เพนน์ ก็พบชายถือร่ม หลุยส์ ยอมรับว่าวันที่ประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร เขาอยู่ในที่เกิดเหตุ เพนน์
มีความรู้สึกว่า หลุยส์ ได้รับการ "เตี๊ยม" มาเป็นอย่างดีในการให้ปากคำ อันที่จริงเขายังไม่ได้ถูกตั้งข้อหา
ซึ่งเขามีสิทธิที่จะปฏิเสธการตอบคำถามแต่เขาก็ไม่ได้ทำ เขาตั้งข้อแม้แค่เพียงว่าเขาจะตอบคำถามจาก
การไต่สวนของคณะกรรมาธิการรัฐสภาเท่านั้น

คำถามทุกคำถามที่ เพนน์ ถาม หลุยส์ ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว ดูลงตัวสมบูรณ์แบบไปในด้านบวก (พยานบริสุทธิ์)
เขาบอกว่าที่เขากางร่มออกขณะที่รถขบวนของประธานาธิบดีเคนเนดี้ แล่นผ่านก็เพราะว่ามีคนบอกเขาว่าเคนเนดี้
จะโกรธมากถ้าเขาเห็นคนกางร่มโดยไม่มีเหตุผลต่อหน้าเขา

หลุยส์ บอกแต่เพียงว่าเขาต้องการยั่วให้ท่านประธานาธิบดีโกรธเท่านั้น แต่เขาไม่ยอมบอกว่าทำไมเขาถึง
ต้องทำอย่างนั้น เขายังให้การต่ออีกว่าตอนนั้นเขานั่งอยู่บนสนามหญ้าริมถนน เมื่อรถขบวนของประธานาธิบดี
แล่นมาถึงเขาก็ลุกขึ้นยืนและกางร่มออก ขณะที่กางร่มนั้นเขาก็เดินมาที่ริมถนนซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่เคนเนดี้ถูกยิง

กรรมการสอบสวนท่านหนึ่งได้ตั้งข้อคิดว่าบิดาของประธานาธิบดีเคนเนดี้ เคยรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำอังกฤษ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่มเป็นสัญลักษณ์แทนนายกรัฐมนตรีเนวิลล์ เชมเบอร์เลน (ซึ่งมีนิสัยชอบถือร่มเป็นประจำ)

และนโยบายทางการเมืองของเขาที่โน้มเอียงไปทางลัทธินาซี โดยที่นโยบายของเขาได้รับการสนับสนุน
โดยบิดาของเคนเนดี้

คำให้การขัดแย้ง

เนื่องจาก หลุยส์ อยู่ใกล้กับท่านประธานาธิบดีมากที่สุดในขณะที่ท่านถูกลอบสังหาร ดังนั้นเขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่าง
ที่พอจะเป็นเบาะแสให้คณะกรรมาธิการรัฐสภาใช้ในการสืบสวนคดีได้ แต่คำตอบที่ได้จากเขานั้นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด!

เมื่อคณะกรรมาธิการรัฐสภาถาม หลุยส์ ว่าเขาเห็นอะไรบ้างระหว่างที่เคนเนดี้ถูกยิง หลุยส์ กลับตอบว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย
เขาบอกว่าเขานั่งอยู่บนสนามหญ้าใกล้ถนน และเมื่อรถขบวนแล่นมาถึงเขาก็ลุกขึ้นยืนเพื่อกางร่มในเวลาเดียวกันนั้นเอง
เขาก็เดินตรงไปที่ถนน ซึ่งเป็นวินาทีที่เขาเข้าใจว่า "คนอื่นๆ" ได้เห็นท่านประธานาธิบดีถูกยิง แต่เขามองไม่เห็นอะไรเลย
เนื่องจากเจ้าสิ่งนี้(ร่ม)มันบังเขาอยู่ ช่วงวินาทีนั้นทัศนวิสัยถูกบังโดยร่มที่กำลังกางออก

แต่คำให้การของ หลุยส์ ขัดแย้งกับหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายและภาพยนตร์ เนื่องภาพที่เห็นจากในนั้น "คนถือร่ม" นั้นยืนอยู่
ในขณะเดียวกันก็ชูร่มขึ้นเหนือศรีษะในท่าเตรียมพร้อม เมื่อรถของท่านประธานาธิบดีแล่นผ่านจุดที่เขายืนอยู่ เขาก็กางร่ม
ออกทันที กรรมการสอบสวนหลายท่านลงความเห็นว่าคำให้การของหลุยส์เป็นเท็จและไม่เชื่อว่าเขาเป็นชายถือร่มตัวจริง
(Umbrella Man)

ชายลึกลับยังคงลึกลับ

เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้ถามถึงชายอีกคนที่ยืนโบกมืออยู่ข้างๆเขา หลุยส์ ก็ตอบว่าเขาไม่รู้จักชายคนนั้น
แต่เมื่อคณะกรรมการยืนยันว่ามีพยานหลายคนเห็น หลุยส์ พูดคุยกับชายคนนั้น เขาบอกว่าเขาจำได้แต่เพียงว่า
มี "ไอ้มืด" (Nigro Man) คนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้กับเขาเอาแต่บ่นพึมพำว่า "พวกนั้นยิงพวกเขาแล้วเพื่อนเอ๋ย"
ดูเหมือนจะไม่ได้อะไรคืบหน้าจากการสอบสวน หลุยส์ สตีเวน วิทท์ เขาอาจเป็นเพียงคนที่ถูก "เมค" ขึ้นมา
เพื่อให้คณะกรรมาธิการรัฐสภา ได้ไต่สวนตามที่ปรากฏในหลักฐานภาพถ่ายเท่านั้น ส่วนชายที่ยืนโบกมือข้างๆ
เขาซึ่งถูกเรียกว่า "ชายผิวคล้ำ" (Dark complected Man) ที่มีพยานบางคนระบุว่าเห็นเขาหยิบวัตถุบางอย่าง
ที่มีเสาอากาศมาจ่อที่ปากหลังจากที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้นตามตัวเขาไม่พบจนบัดนี้

ทั้งชายถือร่มและชายผิวคล้ำยังคงเป็นบุคคลลึกลับที่ชวนสงสัยว่าพวกเขาเป็นใครและทำไมพวกเขาจึงมี
อากัปกิริยาแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ?

ปริศนาคดีลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ชายถือร่มและชายผิวคล้ำ สรุปสำนวนสอบสวน
ของเอฟบีไอ ยังมีเรื่องอื่นที่ขัดแย้งกับความจริง แม้ว่าภายหลังจะมีการจับกุม ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ ผู้ที่ถูกระบุว่า
เป็นคนลั่นกระสุนประวัติศาสตร์ แต่เขาเป็นฆาตกรตัวจริงแน่หรือ?

http://www.ratical.org/ratville/JFK/GoD.html
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #41 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2006, 01:54:45 PM »

แพะรับบาป คดีลอบสังหารเคนเนดี้

http://en.wikipedia.org/wiki/Kennedy_assassination_theories

คนทั่วโลกต่างก็รู้ว่าผู้ที่เป็นมือปืนลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นั้นก็คือ
ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald)

http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/LHO.htm
ผู้มีใจฝักใฝ่ในรัสเซียและคิวบา แต่หลักฐานที่เอฟบีไอ นำมาแสดงต่อสาธารณชนนั้นดูเหมือนว่า
จะมีอะไรเเคลือบแคลงแอบแฝงอยู่

เวลา 11:40 น. ของวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้
และภรรยา แจคเกอร์ลีน (Jacqueline Kennedy Onassis)

ได้เดินทางมาถึง สนามบินเลิฟฟิลด์ ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส
ตามกำหนดการหาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2

รถขบวนได้เคลื่อนออกจากสนามบิน เข้าสู่ตัวเมืองตาม ถนนเมน เพื่อตรงไปยังทางด่วนสเตมมอนส์
แต่เมื่อรถขบวนของท่านประธานาธิบดีแล่นมาถึงจุดตัดระหว่าง ถนนเมน กับ ถนนฮิวสตัน พวกเขาก็ต้อง
เปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน เนื่องจาก ถนนเมน ในช่วงนี้ได้ปิดซ่อมแซม

ดังนั้นรถขบวนจึงเลี้ยวขวาขึ้น ถนนฮิวสตัน โดยมีจุดประสงค์ที่จะไปเลี้ยวซ้ายที่แยกหน้าเพื่ออ้อมไปทางถนนเอล์ม
ผ่านดีเลย์พลาซา และตรงไปยังทางที่ปลายถนนซึ่งบรรจบกับถนนเมน ซึ่งเป็นเส้นทางที่กำหนดไว้แต่แรก


ก็อย่างที่เล่าให้ฟังไปเมื่อตอนที่แล้วละครับว่าพอรถขบวนแล่นตัดเข้าถนนเอล์ม ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเก็บหนังสือ
โรงเรียนเท็กซัส (Texas School Book Depository Building) ไปถึงบริเวณป้ายบอกชื่อถนนทางด่วนสเตมมอนส์
เมื่อเวลา 12:30 น. เสียงปืนก็ดังขึ้น ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหารที่บริเวณนี้

ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นและเห็นว่าท่านประธานาธิบดีและผู้ว่าการรัฐเท็กซัส จอห์น คอนเนลลีย์ ถูกยิง
คนขับรถก็เหยียบคันเร่งเพื่อรีบนำตัวเคนเนดี้ ไปส่งยังโรงพยาบาลปาร์คแลนด์ที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
แต่เขาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตลงเมื่อเวลา 13:00 น.

ย้อนกลับไปยังที่เกิดเหตุ ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบต่างก็เข้าสอบปากคำพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุทันที
เผื่อว่าจะมีใครเห็นอะไรที่พอจะเป็นเบาะแสนำไปสู่การจับกุมคนร้ายที่ลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ได้
พยานกว่าร้อยคนถูกบันทึกปากคำและแน่นอนว่าทุกตารางนิ้วบนสองข้างทางของถนนเอล์ม ต้องถูกค้นอย่างหนัก
และนั่นก็รวมถึงอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส

หลักฐานชิ้นแรก

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นทั่วทั้งบริเวณทางรถไฟที่อยู่ด้านหลังของดีเลย์พลาซ่า ด้านหลังของรั้วไม้
ที่อยู่ทางตอนเหนือของถนนเอล์ม ที่ภายหลังถูกเรียกว่าเนินหญ้า (Grassy Noll)

แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรจนกระทั่งเวลา 13:12 น. เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นในอาคารเก็บหนังสือ
โรงเรียนเท็กซัส

พวกเขาก็พบปลอกกระสุนปืนไรเฟิลที่ยิงแล้วจำนวน 3 ปลอกที่ชั้น 6 ของอาคารหลังนี้

อีก 10 นาทีต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบปืนไรเฟิล ซุกอยู่ในซอกที่มีกล่องบังอยู่ที่บริเวณชั้น 6 ของอาคารเช่นกัน
จากการตรวจลายนิ้วมือในภายหลังพบว่าลายนิ้วมือที่อยู่บนกล่องนั้นตรงกับลายนิ้วมือของ ลี ฮาร์วี ออสวอลด์
(Lee Harvey Oswald)


จับตัวฆาตกร

ไล่เลี่ยกันนั้นเอง เวลาประมาณ 13:15 น. จอห์นนี่ เคลวิน บรูเวอร์ (Johny Calvin Brewer)

พนักงานขายรองเท้าร้านฮาร์ดี้ แจ้งตำรวจว่าเขาเห็นคนยิงตำรวจเสียชีวิตที่บริเวณหัวมุมถนน 10 กับแพตตัน
ขณะนี้ฆาตกรได้หลบหนีเข้าไปในโรงหนังเท็กซัส


เมื่อได้รับแจ้งความ ตำรวจก็รุดมายังโรงหนังเท็กซัสทันที พวกเขามาถึงเมื่อเวลาประมาณ 13:50 น.
และตรงเข้าไปจับคนร้ายได้โดยละม่อม

ฆาตกรคนนี้ทราบชื่อภายหลังว่า ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ที่ดีเลย์พลาซ่า
จากการค้นตัวเจ้าหน้าที่ก็พบบัตรประจำตัวปลอมของ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Selective Service System)
ที่ใช้ชื่อว่า อเล็ก เจมส์ ไฮเดลล์ (Alek James Hidell)

ตำรวจสันนิษฐานว่าออสวอลด์สังหาร พลตำรวจ เจดี ทิพพิท (J. D. Tippit) เพราะว่าเขาคิดว่า
เขาถูกพลตำรวจทิพพิท สะกดรอยตามมาหลังจากที่เขาได้สังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้

หลักฐานมัดตัว

จากการสอบสวนของเอฟบีไอ พบหลักฐานมัดตัว ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ แน่นหนาชนิดดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
ประวัติเขาพัวพันกับเคจีบี รัสเซีย และคิวบา

วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1963 ออสวอลด์ เคยถูกจับที่นิวออร์ลีนส์ในข้อหาทะเลาะวิวาทหลังจากมีปากมีเสียง
กับชาวคิวบา 3 คนที่พยายามจะให้เขาหยุดแจกใบปลิวต่อต้านรัฐบาลสหรัฐในการแทรกแซงการเมืองคิวบา

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1959 ออสวอลด์ ได้เดินทางไปที่มอสโคว์ ประเทศรัสเซีย
และได้อาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1960 ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมินส์ก

(สมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) และที่นี่เองเขาก็มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่เคจีบี และที่นี่
ออสวอลด์ ก็รู้จักกับหญิงสาวชาวรัสเซียที่ชื่อ มารีน่า นิโคลาเยฟนา พรูซาโคว่า (Marina Nikolaevna Prusakova)

ทั้งคู่แต่งงานกัน เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1961

ออสวอลด์และภรรยาเดินทางกลับมาสหรัฐเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1962 เขาอาศัยอยู่ที่เมืองฟอร์ทเวิร์ท
ในรัฐเท็กซัส จากนั้นเขาก็เริ่มหางานทำ เขาย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนงานบ่อย จนครั้งสุดท้าย
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1963 เขาก็ได้งานที่อาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส ซึ่งเป็นสถานที่
ที่ถูกระบุว่าเขาใช้เป็นที่ซุ่มยิง (Snipers Nest) ประธานาธิบดีเคนเนดี้


ปิดปากฆาตกร
วันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 สองวันหลังจากที่ออสวอลด์ ถูกตำรวจจับตัวได้เขาก็ถูกกำลังตำรวจ
หลายสิบนายคุ้มกันอย่างแน่นหนาเพื่อส่งตัวจากสถานที่คุมขังในสถานีตำรวจดัลลัสเพื่อส่งต่อไปยัง
เรือนจำของรัฐเท็กซัส

ตามกำหนดแล้วออสวอลด์ จะต้องออกเดินทางตั้งแต่เวลา 10:00 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายน
แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้กำหนดการต้องเลื่อนออกไปชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้การ
ในภายหลังว่า สาเหตุที่ต้องเลื่อนก็เพราะตัวออสวอลด์เองต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า

เหมือนเป็นสูตรสำเร็จเลยครับว่า ทุกครั้งที่มีเรื่องราวที่เป็นปริศนาต้องมีเหตุบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้อง
และครั้งนี้ก็เช่นกันด้วยเหตุบังเอิญที่ต้องเลื่อนการส่งตัวผู้ต้องหาออกไปจึงทำให้ แจค รูบี้ (Jack Ruby)

เดินทางมาถึงสถานีตำรวจดัลลัสได้ทันเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพาตัวออสวอลด์ มาขึ้นรถพอดี

ท่ามกลางการคุ้มกันของตำรวจหลายสิบนาย ต่อหน้าประชาชนที่ชมการถ่ายทอดสดหลายล้านคน
แจค รูบี้ เดินตรงไปยังออสวอลด์ ลั่นกระสุนสังหารออสวอลด์ เสียชีวิตบนทางเดินไปยังที่จอดรถ
ใต้ถุนตึกที่ทำการสถานีตำรวจดัลลัสนั่นเอง


แจค รูบี้ เจ้าของคลับระบำโป๊เล็กๆ ในเท็กซัส แต่มีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับองค์การมาเฟียใหญ่
ในรัฐชิคาโก อัล คาโปน (Al Capone)

ให้การว่าเขาเจ็บแค้นออสวอลด์ เป็นอย่างมากที่บังอาจมาสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้
อันเป็นที่รักของเขา ทำให้เขายับยั้งอารมณ์ไม่อยู่ต้องฆ่าเสียให้ตาย

ปิดแฟ้มคดีลอบสังหาร

ทั้งเอฟบีไอและคณะกรรมาธิการวอร์เร็น (Warren Commission) ต่างก็สรุปคดีนี้ตรงกันว่า
ลี ฮาร์วี่ ออสวอลด์ เป็นผู้สังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ แต่เพียงผู้เดียว
โดยเขาใช้ปืนไรเฟิลที่ทำในอิตาลี แบบแมนนิเชอร์ คาร์ซาโน (Mannlicher-Carcano)

ลอบยิงทั้งหมด 3 นัดจากชั้น 6 ของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส

แอฟบีไอได้นำหลักฐานภาพถ่าย แฟ้มประวัติของออสวอลด์ และปืนพร้อมปลอกกระสุน 3 ปลอก
ที่พบบนชั้น 6 ของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส มาแสดงเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นมือสังหาร

แต่จากการสืบสวนของ คณะกรรมาธิการรัฐสภา (United States House Select Committee on Assassinations)
และนักวิเคราะห์บางคนพบสิ่งผิดปรกติมากมายในสำนวนและหลักฐานที่เอฟบีไอ
และคณะกรรมาธิการวอร์เร็นทำสรุป

หลักฐานขัดแย้ง

เริ่มแรกเรามาดูกันที่ลายนิ้วมือของออสวอลด์ ที่พบบนกล่องในอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัสแล้วถูกโยงไปว่า
เขาเป็นเจ้าของปืนไรเฟิลที่พบในที่เกิดเหตุนั้นดูจะทะแม่งๆ ด่วนสรุป เพราะออสวอลด์ ทำงานอยู่ที่นั่น
การที่มีลายนิ้วมือของเขาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มีลายนิ้วมือของคนอื่นอีกมากมายที่บริเวณนั้น
แต่ทำไมจึงไม่มีการสืบหาตัว?

การที่ออสวอลด์ เคยอาศัยอยู่ในรัสเซียและแต่งงานกับสาวชาวรัสเซียก็ไม่ได้หมายความว่า
เขาต้องการเป็นสายลับเคจีบี

และการที่เขามีความคิดทางการเมืองไม่เห็นด้วยกับการรุกรานคิวบาก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องทำการรุนแรง
ถึงขั้นลอบสังหารประธานาธิบดี ถึงแม้ว่ามันจะใช้นำมาผูกเรื่องราวได้เป็นอย่างดีก็ตาม


ภาพถ่ายของออสวอลด์ที่อ้างว่าถูกพบในบ้านออสวอลด์ ที่เอฟบีไอบอกว่าถ่ายโดยภรรยาของเขาเอง
เป็นภาพออสวอลด์ ยืนอยู่หลังบ้านของเขาเอง มือข้างหนึ่งถือปืนไรเฟิลกระบอกที่ใช้สังหารเคนเนดี้
ในขณะที่อีกมือหนึ่งนั้นถือใบปลิวต่อต้านการรุกรานคิวบานั้น ออสวอลด์ได้ปฏิเสธว่าเขาไม่เคยถ่ายภาพนี้
ใบหน้าของบุคคลในภาพนั้นเป็นเขาแต่ร่างน่ะไม่ใช่อย่างแน่นอน

(ความเห็นส่วนตัวว่า จากภาพที่เห็นจะเหมือนกับสมัยนี้ที่ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพตัดรูปหน้าเข้าไปแปะ
บนภาพถ่ายของคนอื่น แต่ในสมัยก่อนอาจจะไม่สะดวกเท่าสมัยนี้และไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่!
และวิธีสร้างหลักฐานเท็จแบบนี้ทำให้นึกถึงหน่วยงานรัฐของไทยหน่วยงานหนึ่ง
(ขอเหน็บหน่อยอย่าโกรธนะ คุณ...ทั้งหลาย))


ออสวอลด์ ยังให้ความเห็นอีกด้วยว่า เมื่อเขาถูกตำรวจจับที่โรงหนังเท็กซัส ก็มีนักข่าวจำนวนมาก
ได้ถ่ายภาพของเขา ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถมีภาพถ่ายใบหน้าของเขาและนำไปตัดต่อได้

และถ้าหากมองดูภาพถ่ายนี้ให้ดี เราก็จะพบสิ่งปรกติที่เงาบนใบหน้าซึ่งมีลักษณะเงาเป็นรูปสามเหลี่ยม
เหนือริมฝีปากของเขา ซึ่งเกิดจากการที่แสงส่องมาเหนือศรีษะเยื้องมาตรงหน้า ซึ่งขัดกับเงาที่ตัวของเขา
พาดลงบนพื้นเยื้องไปทางด้านขวาของร่างกาย

เอฟบีไอ ก็รีบออกมาแก้เกี้ยวโดยการทำการถ่ายภาพเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเขาที่จุดเดียวกันกับในภาพถ่าย
ของออสวอลด์ พร้อมกับบอกนักวิเคราะห์ทั้งหลายว่าเห็นไหมล่ะ เงานั้นตกเยื้องไปทางขวาเหมือนในรูปเป๊ะเลย
แต่ใบหน้าของเจ้าหน้าที่นายนั้นกลับไปถูกป้ายด้วยหมึกดำ ทำให้มองไม่เห็นว่าเงาบนใบหน้านั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม
เหนือริมฝีปากบนหรือไม่ (ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นอยู่แล้ว) เอฟบีไออ้างว่า ที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพราะเจ้าหน้าที่ ที่เป็นแบบให้นั้น
เป็นสายลับของเอฟบีไอจึงต้องปิดบังโฉมหน้าไว้ (แล้วทำไมดันทะลึ่งเอาคนที่เปิดเผยตัวไม่ได้มาเป็นแบบล่ะ!)
แค่เรื่องเงาในภาพ เอฟบีไอก็หน้าแตกแหลกยับเยินแล้วล่ะครับ นี่ยังไม่ได้พูดถึงความไม่สมดุลของขนาดศรีษะ
และร่างกายของคนในภาพ และความไม่สมดุลของความยาวของปืนกับส่วนสูงของร่างกายของบุคคลในภาพ
ที่ถูกอ้างว่าเป็นออสวอลด์นะครับ

เรื่องจุดที่เอฟบีไอ บอกว่าเป็นที่ซุ่มยิงก็เช่นกันพอนักวิเคราะห์ขึ้นไปลองเอาปืนไรเฟิลส่องกล้องดูก็พบว่า
ที่จุดนี้เมื่อส่องไปยังจุดที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้น เขามองไม่เห็นอะไรเลยเพราะ มันถูกต้นไม้บังพอดี

และจากการวิเคราะห์ฟิล์มภาพยนตร์ที่จับภาพตอนที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้น กระสุน 3 นัดได้เจาะร่างเขา
ในเวลาน้อยกว่า 6 วินาที แต่จากการยิงปืนไรเฟิลและขึ้นลำใหม่เพื่อยิงครั้งต่อไปนั้น
ต้องใช้เวลาราว 2.3 วินาทีต่อครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ จะยิงกระสุนทั้ง 3 นัด

เมื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายของนักข่าวที่ตามตำรวจขึ้นไปบนชั้น 6 อาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส
ตอนที่พวกเขาพบปืนไรเฟิลนั้น ก็ปรากฏว่าในภาพนั้นไม่ใช่ปืนไรเฟิลชนิด แมนนิเชอร์ คาร์ซาโน
แต่เป็นชนิดเมาเซอร์ (Mauser)


แต่ออสวอลด์ ไม่มีโอกาสที่จะได้เปิดเผยความจริง ดังนั้นความลับในคดีลอบสังหารประธานาธิบดี
จอห์น เอฟ เคนเนดี้ จึงยังคงเป็นหนึ่งในคดีปริศนาที่ลึกลับที่สุดของสหรัฐ 3 ปีหลังจากเกิดเรื่อง
พยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุหลายสิบคนต้องเสียชีวิตลงอย่างผิดธรรมชาติ เช่น ถูกสังหารระหว่างโดนปล้น
จมน้ำ เกิดอุบัติเหตุ หัวใจวาย ฯลฯ คดีนี้ยังมีปริศนาชวนให้ขบคิดอีกมากมาย
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #42 เมื่อ: สิงหาคม 25, 2006, 03:32:42 PM »

ขออนุญาติยกกระทู้นี้ขึ้นมาแล้วอยากให้ช่วยออกความคิดเห็นว่า
คล้ายกับสถานการณ์เมืองไทยตอนนี้หรือเปล่าโดยเฉพาะเรื่องแพะรับบาป
สงสัยวอร์รูมของรัฐบาลจะอ่านกระทู้นี้แฮะ :Smiley
บันทึกการเข้า
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #43 เมื่อ: สิงหาคม 25, 2006, 05:04:18 PM »

ขออนุญาติยกกระทู้นี้ขึ้นมาแล้วอยากให้ช่วยออกความคิดเห็นว่า
คล้ายกับสถานการณ์เมืองไทยตอนนี้หรือเปล่าโดยเฉพาะเรื่องแพะรับบาป
สงสัยวอร์รูมของรัฐบาลจะอ่านกระทู้นี้แฮะ :Smiley


 ขอเล่นด้วยคน.....

    ระบบอเมริกัน..สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆคือ  "ระบบฐานข้อมูล "...การค้นคว้าและการขุดค้ยข้อมูล ต่างๆ เขาขยันที่จะเก็บและจัดระบบเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา แต่บ้านเราต้องยอมรับครับว่า ระบบของเราค่อนข้างจะแย่เอามากๆและโดยพฤติกรรมของประชาชนเองแล้ว....บ้านเรามันประเภท ตามกระแสและตื่นตูม มากกว่า..ความรู้สึกถึง " สิทธิ  ความถูกต้องและความเสมอภาค ของความเป็นมนุษย์ "  เรายังมีความรู้สึกน้อยจนเกินไป  เมื่อเทียบกับประชาชนของอเมริกัน...เราเลยเข้าประเภทรู้รักษาตัวรอด(ไว้ก่อน) เป็นยอดดี....ผ่านแล้วผ่านเลยมากกว่าถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง...สำหรับผม บางทีมันเป็นเรื่องน่าเห็นใจมากสำหรับประชาชนตาดำๆอย่างพวกเรา...

    สำหรับความคิดเห็นผม สุดท้ายมันก็คงจบแบบไทยๆ ประเภท " เงียบหายตามกาลเวลา,หมดลมหายใจ หรือกระทั่ง หลุดเป็นอิสรภาพ " อาจจะกว้างไปหน่อย....ยังไงเสีย?วิธีการมันก็ไม่ต่างกันครับ...สำหรับผม ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องแพะรับบาป ครับ...เพราะบ้านเราถนัด "การตัดตอน" มากกว่า...
บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย
Website Sponsor
Hero Member
****

คะแนน 303
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4897


« ตอบ #44 เมื่อ: สิงหาคม 25, 2006, 11:50:33 PM »

รวมถึงอีกอย่างหนึ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตุคือ กองกำลังที่พิทักษ์ รักษาการผู้นำของไทย ใช้อยู่เป็นใครมาจากไหนหว่า?

ถ้ารปภ. สร.1 เป็นเจ้าหน้าที่ไทยครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่รปภ. สร1 โดยตรงจะไปจาก สันติบาล2 ที่ พี่โจ๊ก พลตำรวจตรี อรรถกฤษ ธารีฉัตร เป็น ผู้บังคับการ คนที่ตัวขาวๆ อยู่ข้างหลังทักษิณตลอดเวลา คือ พี่หนุ่ยพ.ต.ต. วทัญญู อดีตนักฟุตบอลฝีเท้าดี ของ รร.สวนกุหลาบและรร.นายร้อยตำรวจครับ และทหารที่มีหน้าที่รปภ. นายกฯ จะมาจากศรภ. เท่าที่เคยสัมผัส พี่หนุ่ยและพี่โจ๊กเป็นคนดีมากๆครับเป็นตำรวจอาชีพแท้ๆ (ตำรวจส่วนใหญ่เป็นนักเลงมาเฟียรีดไถประชาชนมากกว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์) จัดได้ว่าเป็นพี่ที่น่าเคารพมากทีเดียว คงจะไม่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทำร้ายประชาชนอย่างแน่นอน คนที่ทำน่าจะเป็นลูกน้องทักษิณพวกนายว่าขี้ข้าพลอยมากกว่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 25, 2006, 11:53:14 PM โดย narcissus » บันทึกการเข้า

ถ้าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง
ผีเปรตในนรกมันคงโหวตให้พวกมันได้ขึ้นสวรรค์
จะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม! ต้นตอปัญหามันเกิดจากรธน.ไม่ดี หรือพวกแกมันเลว!
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.203 วินาที กับ 22 คำสั่ง