อารยธรรมของอนารยชนในหนังสือเรื่อง "ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี" ของ "ดี บราวน์" ได้เท้าความไปถึงช่วงปี ค.ศ. 1492
เมื่อ "คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส" นำเรือสำรวจของสเปนไปถึงเกาะ "ซาน ซัลวาดอร์" ในทวีปอเมริกา
บรรยายถึงสภาพธรรมชาติบนเกาะว่า "เป็นที่ราบกว้างใหญ่ ต้นไม้มีสีเขียวแก่ ทั้งเกาะนั้นเป็นสีเขียว
เมื่อมองไปทางใดก็เกิดความรื่นรมย์" และเมื่อได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตจากชนเผ่า "ไตโน"
บนเกาะซาน ซัลวาดอร์ สาส์นของโคลัมบัสที่มีถึงกษัตริย์เฟอร์ดินานและราชินีอิสซาเบลลาแห่งสเปน
ได้พูดถึงชาว ไตโน หรือ "อินดิออส" เหล่านี้ว่า
"คนเหล่านี้ช่างว่าง่าย อยู่กันอย่างสงบและสันติเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าสาบานต่อพระองค์ได้ว่า
ไม่มีชนชาติไหนในโลกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว พวกเขารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง เสียงพูดของพวกเขา"
ก็อ่อนหวานและสุภาพ มีรอยยิ้มตลอดเวลา แม้นว่าจะเป็นความจริงในเรื่องที่พวกเขาเปลือยกาย
แต่กิริยาของพวกเขาก็สง่างามและน่ายกย่องยิ่งนัก"
แต่ท้ายที่สุดก่อนจะออกเรือกลับไปยังสเปน โคลัมเบียก็ลักพาตัวชนเผ่าไตโน 10 คนกลับไปเพื่อฝึกอบรม
ให้ใช้ชีวิตแบบคนขาว "ดี บราวน์" ระบุว่า "หนึ่งในจำนวนนั้นเสียชีวิตลงเมื่อไปถึงสเปนได้ไม่นาน
แต่ก็ได้รับศีลล้างบาปให้เป็นชาวคริสต์แล้ว ชาวสเปนรู้สึกยินดีมากที่พวกเขาสามารถทำให้อินเดียน
คนแรกขึ้นสวรรค์ และไม่รั้งรอที่จะกระจายข่าวดีเช่นนี้ตลอดหมู่เกาะเวสท์ อินดีส์"
"ดี บราวน์" บรรยายต่อไปว่า "เมื่อเวลากว่า 3 ศตวรรษผ่านไปนับตั้งแต่โคลัมบัสเหยียบย่างขึ้นบนฝั่ง
ซาน ซัลวาดอร์ หรือประมาณ 2 ศตวรรษนับตั้งแต่ชาวอาณานิคมของอังกฤษเข้ามายังเวอร์จิเนียและ
นิวอิงแลนด์ ในระหว่างนั้นชนเผ่าไตโนผู้เป็นมิตรซึ่งให้การต้อนรับโคลัมบัสขึ้นฝั่ง ถูกล้างผลาญไปจน
หมดสิ้นแล้ว" แต่ก่อนที่เผ่าพันธ์ไตโนคนสุดท้ายจะจบชีวิต
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการกสิกรรมและหัตถกรรม
แบบง่ายๆ ของพวกเขาก็ถูกทำลายลง โดยมีไร่ฝ้ายซึ่งใช้แรงงานทาสเข้ามาแทนที่ ชาวอาณานิคมผิวขาว
โค่นต้นไม้ในป่าเขตร้อนลงเพื่อขยายเนื้อที่ทำไร่ ต้นฝ้ายทำให้ดินจืดลงอย่างรวดเร็ว ลมพายุแรงเพราะ
ปราศจากต้นไม้ปิดกั้นก็พัดเอาทรายมาปกคลุมพื้นที่เกือบหมด ชาวยุโรปที่ตามเขามาที่นั่น
ในภายหลังได้ทำลายพืชพันธ์บนเกาะและผู้อยู่อาศัยบนเกาะ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ นก ปลา
และหลังจากเปลี่ยนแปลงให้เป็นดินแดนรกร้างแล้ว พวกเขาก็ทอดทิ้งมันไป..." ชาวโรมันเคยเรียก
กลุ่มชนผิวขาวกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าพวกแวนดาล แฟรงค์ วิซิโกธ ออสโตรโกธ แซกซอน ฯลฯ ที่ทำสงคราม
รบกวนจักรวรรดิโรมันในยุคอดีตว่า พวก "อนารยชน"
แต่หลังจากที่กลุ่มชนเหล่านี้บุกทำลายและยึดดินแดนต่างๆ ของจักรวรรดิโรมัน ตั้งแต่ช่วงประมาณ
ค.ศ. 400 เป็นต้นมา และพยายามสร้างจักรวรรดิของตนเองขึ้นมาใหม่ จักรวรรดิของเขาเหล่านั้น
ก็แทบจะไม่แตกต่างไปจากจักรวรรดิเดิมที่ถูกพวกเขาทำลายลงไป
จะเป็นเพราะสาเหตุที่เขาทั้งหลายยอมรับเอาสิ่งที่เรียกว่า "อารยธรรมกรีก-โรมัน" มาใช้เป็นแบบแผน
ในการสร้างอาณาจักรของตนเอง หรือมันจะเป็นเพราะ "สัญชาติญาณของอนารยชน" ก็ไม่ทราบได้
แต่มันทำให้ ""สงคราม" ที่ก่อเกิดขึ้นโดยจักรวรรดิต่างๆ ดังกล่าว ยิ่งทวีความรุนแรงและความเหี้ยมโหด
ยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่เพียงแต่สงครามจะสามารถเกิดขึ้นโดย ไม่จำเป็นจะต้องมีสาเหตุแห่งความเกลียดชังหรือ
การทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว กระทั่งพวกเขาได้รับการตอบสนองด้วยการยกย่องอย่างบริสุทธิ์ใจ
หรือกระทั่งได้รับการศิโรราบก็แล้วแต่ แต่ "อารยธรรมของอนารยชน" กลายเป็นแรงผลักดัน
ให้พวกเขาต้องการครอบครองดินแดน แสวงหาผลประโยชน์เพื่อจักรวรรดิของตนเอง จนขีดความรุนแรง
ในการเข่นฆ่าสังหารอาจจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า "สงคราม" โดยปกติหลายเท่า หลายครั้งมันแทบ
ไม่ต่างไปจากการ "ปล้นสะดม" อย่างดิบๆ กลายเป็นการ "สังหารหมู่" อย่างอำมหิต กลายเป็น
การทำลายล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ และธรรมชาติอย่างน่าสยดสยอง
ขุนพลสเปนอย่าง "เฮอร์นันโด คอร์เตส" พร้อมกำลังทหารไม่เกิน 400 คน ที่ได้รับการต้อนรับ
ปานประหนึ่งเป็น "เทพเจ้า" จากพระราชา "มองเตซูม่า" แห่งอาณาจักร "แอซเทค" ในเม็กซิโก
ได้ตอบแทนความเคารพด้วยการจับตัว "มองเตซูม่า" สังหาร เข่นฆ่าพลเมืองชาวแอซเทคอย่างเหี้ยมโหด
แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นปกครองอาณาจักรแห่งนี้แทนหลังปี ค.ศ. 1519 "ฟรังซิสโก ปิซาร์โร"
นำทหารสเปน 180 คน ค้นหา "ทองคำ" ในเขตอาณาจักร "อินคา" ในปี ค.ศ. 1530 แม้นว่าจะได้รับ
การต้อนรับด้วยไมตรีจิตรอย่างบริสุทธิ์ใจจากพระราชา "อตาฮอลพา" ของอินคาด้วยพระองค์เอง
แต่ปิซาร์โร ก็วางแผนทรยศจับตัวกษัตริย์อินคาเรียกร้องค่าไถ่เป็นทองคำและเงินสูงท่วมห้องขังพระราชา
และแม้นจะได้รับทองคำและเงินเต็มจำนวนที่เรียกร้องไปแล้วก็ตาม ปิซาร์โร ยังคงฆ่าพระราชาพร้อมกับ
นำกำลังทหารยึดกรุง "คุซโก" เมืองหลวงของอินคา พร้อมกับเข่นฆ่าขุนนางอินคาทั้งหมด จนอาณาจักร
อินคาล่มสลายเช่นเดียวกับอาณาจักรแอซเทคในเม็กซิโก
(ความเห็นส่วนตัว จึงอยากตั้งคำถามว่าคนไทยบางจำพวกที่ออกมาอ้างคำพูดต่างชาติ
คิดว่าทำตามแบบต่างชาติแล้วจะถือว่าเป็นผู้ที่เจริญแล้ว อยากเห็นต่างชาติทำให้ไทยล่มสลายเหมือนกับ
ที่ทำกับสองอาณาจักรข้างบนหรือไม่ ตัวคนที่ออกมาพูดเองก็จะไม่เหลือแม้แต่แผ่นดินจะให้ฝังศพด้วยซ้ำ
เพราะเสร็จภารกิจเขาก็ทำลายคนที่ร่วมมือกันทำลายชาติตนเองเหมือนกัน)บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือที่ชนเผ่าอินเดียนแดงนับล้านๆ เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่อันกว้างขวาง
ด้วยความสงบสันติมานานนับพันๆ ปี ไม่กี่ศตวรรษผ่านไป เผ่าพันธ์อินเดียนแดงกว่าครึ่งในทวีปนี้ถูกเข่นฆ่า
ลงไปในระดับ "สูญเผ่าพันธ์" ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ป่าจำนวนมากที่สูญพันธ์ไปเช่นกัน เผ่าวัมปาโน
เผ่าเซซาปีเก เผ่าชิคาโฮมินี เผ่าพอว์ฮาตาน ฯลฯ ในขณะนี้หลงเหลืออยู่เพียงชื่อและตำนานว่าเคยมีมนุษย์
ชนิดนี้อยู่ในทวีปอเมริกาเท่านั้น แผ่นดินของอินเดียนแดงที่กว้างขวางตั้งแต่อเมริกากลางไปจนถึงแคนาดา
ถูกหดแคบให้เหลือแค่ "พื้นที่เขตสงวนอินเดียน" เล็กกว่าพื้นที่ที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตอยู่นับเป็นพันเป็นหมื่นเท่า
การล้างเผ่าพันธ์และการสังหารหมู่ที่ไม่ยกเว้นแม้แต่เด็ก ผู้หญิง คนชรา ถูกบันทึกยืนยันโดยเอกสาร หลักฐาน
นานาชนิด จนตราบเท่าทุกวันนี้ ไม่ต่างอะไรไปจากชาวอาณานิคมอังกฤษจำนวนไม่กี่ร้อยคนที่ถูกส่งไปยัง
ทวีปออสเตรเลีย อีกไม่นานนัก "อนารยชน" เหล่านี้ก็ยึดทวีปทั้งทวีปและสร้างประวัติศาสตร์การเข่นฆ่า
ชาวอะบอริจิน ซึ่งเป็นเผ่าพันธ์มนุษย์เหมือนกับมนุษย์อื่นๆ ในระดับ
"ฆ่าเพื่อเอาเนื้อชาวอะบอริจินมาให้สุนัขของชาวผิวขาวกิน"ปรากฏการณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นในทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย หรือในทุกพื้นที่ของโลกที่ "อนารยชน"
แห่งจักรวรรดิใหม่นำพา "อารยธรรม" ของพวกเขาไปถึง
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 พื้นที่โลกไม่น้อยกว่า 43 ล้าน 9 แสน ตารางกิโลเมตร อันเป็นที่อยู่อาศัย
ของประชากรโลกไม่น้อยกว่า 713 ล้าน 4 แสนคน ได้กลายเป็น "เมืองขึ้น" หรือ "อาณานิคม"
ของจักรวรรดิใหม่ "ดมิตตรี เยฟีโมฟ" อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าวรัสเซียรายหนึ่ง เคยรวบรวมภาพ
ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิต่างๆ ในยุโรปในยุค "ล่าอาณานิคม" เอาไว้ว่า
"ในขณะที่นักล่าอาณานิคมรุ่นแรกอย่างโปรตุเกสสูญเสียดินแดนที่ยึดครองในระยะหลังไปไม่น้อย
แต่ในยุคปลายของการล่าอาณานิคม พวกเขายังครอบครองดินแดนของผู้อื่นในเนื้อที่ใหญ่กว่า
พื้นที่ประเทศตัวเองถึง 23 เท่า ฮอลันดานั้นแม้นพื้นที่อาณานิคมจะลดลงไปเช่นเดียวกับโปรตุเกส
แต่เฉพาะพื้นที่ประเทศอินโดนีเซียที่ยังถูกพวกเขายึดครองก็มีขนาดใหญ่กว่าประเทศตัวเองถึง 60 เท่า
ฝรั่งเศสยึดครองดินแดนประเทศอื่นใหญ่กว่าประเทศตัวเองถึง 21 เท่า เบลเยียมที่พยายามสร้าง
ความเทียมหน้า-เทียมตา กับประเทศอื่นๆ ในยุโรปครอบครองดินแดนในทวีปต่างๆ ใหญ่กว่า
ประเทศตัวเองถึง 77 เท่า และอังกฤษซึ่งมีบทบาทสูงสุดในการล่าอาณานิคมของผู้อื่นครอบครอง
ดินแดนในทวีปต่างๆ ใหญ่กว่าประเทศตัวเองถึง 120 เท่า จนทำให้จักรวรรดิแห่งนี้ได้รับสมญานาม
ว่าเป็น จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน"
ศตวรรษที่ 21 ศตวรรษแห่งสงคราม?ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 "คาร์ล ปอปเปอร์" นักปรัชญาชาวออสเตรียที่มาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ
ได้พยายามพูดถึงแบบแผนของ "ระบบสังคม" ในโลกว่า ควรมีพื้นฐานมาจากแรงผลักดันของ "เสรีภาพ"
ในการแสวงหาความสุขสมบูรณ์ของมวลมนุษย์ โดยให้คำนิยามถึงระบบสังคมชนิดนี้ว่า "สังคมเปิด"
(โอเพ่น โซไซตี้)
"อัลวิน ทอฟเลอร์" นักวิจารณ์สังคมชื่อดังในอเมริกาที่เขียนหนังสือหลายเล่มเผยแพร่ไปทั่วโลก
ได้แบ่งวิวัฒนาการของโลกในยุคต่างๆ มาตั้งแต่ "ยุคคลื่นลูกที่หนึ่ง" (สังคมการเกษตร), "ยุคคลื่นลูกที่สอง"
(สังคมอุตสาหกรรม) และจินตนาการอันพิสดารน่าตื่นตาตื่นใจของเขาในขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่
"ยุคคลื่นลูกที่สาม" (สังคมเทคโนโลยี) นั้น มีรายละเอียดลึกลงไปถึงวิถีชีวิตของปัจเจกบุคคล, ครอบครัว,
องค์กรบริษัท, ระบบการเมือง-เศรษฐกิจ-การทหารที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นตะลึง อันเกิดจากการค้นพบ
ความก้าวหน้าทางวิทยาการและองค์ความรู้ใหม่ๆ และภายใต้สีสันอันพิสดารนี้นั้น สังคมโลกอนาคตของเขา
สังคมโลกอนาคตของเขาตั้งอยู่บนพื้นฐานของสังคมที่ถูกขับดันด้วย "แรงปรารถนาแห่งความต้องการ
อันไม่สิ้นสุดของมนุษย์" ซึ่งทำให้เขาเรียกสังคมชนิดนี้ว่า สังคมในแบบที่แยกศาสนาและรัฐ ออกจากกัน
หรือ สังคมโลกียะ (เซ็กส์คิวเลอร์ โซไซตี้ - secular society)
"ซามูเอล ฮันติงตัน" นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและการทหารคนสำคัญในสหรัฐอเมริกา
ได้พยายามอธิบายถึง "ความยิ่งใหญ่" ของสังคมที่พัฒนามาจาก "อารยธรรมที่ใช้เหตุ-ใช้ผล"
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก "อารยธรรมกรีก-โรมัน" ซึ่งเคยพยายามครอบครองโลกมาในยุคอดีต
โลกในอนาคตของนักคิด-นักวิจารณ์เหล่านี้ มีลักษณะเกือบจะไม่แตกต่างไปจากโลกในจินตนาการ
ของบรรดาพ่อค้า, นักล่าอาณานิคม, นักจักรวรรดินิยมในยุคอดีตหรือยุคใหม่สักเท่าไหร่ ที่การแสวงหา
กำไร, เมืองขึ้น, แผ่นดินใหม่ๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้นเป็นเสมือนหนึ่ง "สัญชาติญาณ" หรือแรงปรารถนา
ทางธรรมชาติของมนุษย์
"จอร์จ บอล" อดีตปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา เคยพยายามสะท้อนจินตนาการ
ถึงโลกแห่งพ่อค้าในอนาคต ในความคิดเห็นของเขาเอาไว้ในคำกล่าวปราศรัยต่อคณะกรรมการหอการค้า
ระหว่างประเทศที่ประเทศอังกฤษ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 โดยบอกเอาไว้ว่า
"ในอนาคตข้างหน้า เขตแดนทางการเมืองของรัฐชาตินั้น คับแคบ และจำกัดขอบเขตกิจกรรมของ
ธุรกิจสมัยใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว บรรษัทที่มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจระดับโลก มีแนวโน้มที่
อยากจะเห็นโลกที่มิได้มีเพียงเฉพาะสินค้าเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี แต่จะต้องรวมไปถึง
ปัจจัยการผลิตทั้งหมดด้วย"และในช่วงที่สงครามเย็นยุติลงไปหมาดๆ "อะกิโอะ มอริตะ" ผู้ก่อตั้งและประธานบรรษัทธุรกิจข้ามชาติ
อย่าง "โซนี่" ได้พยายามกระตุ้นให้มีการ จัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order)
http://en.wikipedia.org/wiki/New_World_Orderเพื่อรองรับโลกในอนาคต โดยการเขียนจดหมายเปิดผนึกตีพิมพ์ในวารสาร "แอตแลนติก" รายเดือน
ในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1993 ว่า "ถึงเวลาแล้ว ที่ผลประโยชน์ท้องถิ่น, วัฒนธรรมท้องถิ่น
ตลอดจนสัญลักษณ์อื่นๆ ที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นหรือรัฐชาติ จะต้องยอมให้ความดีงามที่
กว้างใหญ่ไพศาลกว่า อันเป็นผลจากเสรีภาพทางการค้าในระบบตลาดเสรี ได้เข้ามาแทนที่"
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะมีการอธิบายภาพของโลกในอนาคตผ่านคำนิยามว่าด้วยความสูงส่งของ "เสรีภาพ"
ความน่าตื่นตาตื่นใจของ "วิทยาการและเทคโนโลยี" ความยิ่งใหญ่ทาง "อารยธรรม" หรือ ความคึกคัก
ของ "กิจกรรมธุรกิจในอนาคต" ก็แล้วแต่ โลกในอนาคตตามแนวทางเช่นนี้ ได้เคยถูกสรุปโดย
"เดวิด ซี เคอร์เตน" ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "เวน เดอะ คอปเปอเรชั่นส์ รูล เดอะ เวิล์ด" ให้เห็นถึง
สาระหลักๆ ของแก่นความคิดเหล่านี้เอาไว้ว่า
"ถ้าหากจะอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ถึงข้อปฏิบัติที่สถาปนิกแห่งโลกาภิวัฒน์เป็นผู้เสนอ โลกในอุดมคติ
ของนักโลกานิมิตจะมีลักษณะด้งต่อไปนี้
1. เงินตราของโลก เทคโนโลยี และตลาด จะถูกควบคุมและจัดการโดยโลกาบรรษัทยักษ์ใหญ่
2. วัฒนธรรมผู้บริโภคจะถูกหลอมให้เป็นหนึ่งเดียวในทิศทางของการเสาะแสวงหาความพึงพอใจทางวัตถุ
3. มีการแข่งขันกันอย่างสมบูรณ์ในระดับโลกจาก "แรงงาน" ในท้องที่ต่างๆ เพื่อจะให้บริการแก่ ผู้ลงทุน
ในลักษณะที่ผู้ลงทุนจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
4. บรรษัทสามารถทำอะไรก็ได้บนพื้นฐานกำไร โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อประเทศ
และท้องถิ่น
5. ความสัมพันธ์ทั้งปัจเจกบุคคลและบรรษัทจะถูกกำหนดทั้งหมดโดย ตลาด
6. ไม่มีที่ว่างสำหรับความจงรักภักดีต่อสถานที่และชุมชน"ในความพยายามเผยแพร่แนวคิด ผลักดันให้โลกเป็นไปในลักษณะนี้ ในแบบแผนของ "ระบบสังคมเปิด"
ของ "คาร์ล ปอบเปอร์" เขาได้มองเห็นถึงจุดแห่งการปะทะขัดแย้งอย่างดุเดือดรุนแรงไม่น้อยใน
กระบวนการวิวัฒนาการไปสู่สังคมที่ว่า เมื่อเสรีภาพในการแสวงหาความสุขสมบูรณ์ของมนุษย์
นำพามนุษย์เข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า "ความตึงเครียดของความศิวิไลซ์"
เช่นเดียวกันกับการ "พัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพื้นฐานมาจากสังคมโลกียะ" ของ "อัลวิน ทอฟเลอร์"
ไม่ว่าเขาจะมองเห็นองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีว่าจะก้าวไปในระดับไหนก็แล้วแต่ เขาก็อดแสดงความห่วงใย
ถึง "อุปสรรคขัดขวาง" อันอาจจะเกิดจาก "กลุ่มคนที่ต้องการย้ายอำนาจประชาธิปไตยแห่งศตวรรษที่ 21"
กลับไปสู่ยุคมืดแห่งศตวรรษที่ 11 ไม่ได้ ไม่ต่างไปจาก "ซามูเอล ฮันติงตัน" ที่มองเห็นถึงความเป็นไปได้
ในการ "เผชิญหน้า" กันระหว่าง "อารยธรรมกรีก-โรมัน กับอารยธรรมที่แตกต่างออกไป" "ปอปเปอร์"
ได้พยายามปลุกปลอบใจให้ผู้สนับสนุนสังคมเปิดทั้งหลาย มี "ความกล้าหาญ" และ"ความมั่นใจต่อ
ศักยภาพมนุษย์" ที่จะต้องก้าวผ่านจุดปะทะแตกหักในภาวะความตึงเครียดของความศิวิไลซ์ไปให้ได้
"ทอฟเลอร์" ได้เรียกร้องให้พวก "จิตนิยมเข้มข้น" หรือพวก "ออร์เธอร์ด็อกซ์" ทั้งหลายเร่งหาทางปรับตัว
ให้เข้ากับสังคมโลกียะ หรือมิฉะนั้นจะต้อง "ขจัดอุปสรรค" เหล่านี้ออกไป
ไม่ต่างไปจากการเผชิญหน้าระหว่างอารยธรรมกรีก-โรมัน กับอารยธรรมที่แตกต่างออกไปของ "ฮันติงตัน"
ที่อาจจะก้าวไปสู่ "การปะทะทางอารยธรรม"
"ไมเคิล แคลร์" นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งคลุกคลีกับการสังเกตความเคลื่อนไหวทางการเมือง-
การทหารของประเทศผู้นำทุนนิยมโลก และประเทศที่ประกาศว่าจะ "จัดระเบียบโลกใหม่" ให้กับ
ศตวรรษที่ 21 ผู้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "รีสอร์ท วอร์-นิว แลนด์สเคป ออฟ โกลเบิล คอนฟลิค" หรือ
สงครามทรัพยากร-มิติใหม่ของสงครามโลก" ได้เคยกล่าวถึง "การปรับยุทธศาสตร์การเมือง-การทหาร"
ของประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 เอาไว้ว่า ความพยายามปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์
การเมือง-การทหาร ของประเทศสหรัฐอเมริกาหลังสงครามเย็นยุติไปแล้ว ได้สะท้อนให้เห็นถึง
"สัญญาณทางการทหาร" ที่มุ่งไปสู่ "การแย่งชิงทรัพยากรสำคัญๆ ที่กำลังขาดแคลนในโลกมากขึ้นเรื่อยๆ"
เขาได้ทำนายเอาไว้ล่วงหน้าประมาณ 6 เดือน ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สำคัญระดับโลก หรือเหตุการณ์
ที่ว่ากันว่าเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลกในเวลาต่อมา นั่นก็คือ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์วินาศกรรม
ในประเทศสหรัฐฯเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ประมาณ 6 เดือน "ไมเคิล แคลร์" ชี้ให้เห็นว่า
ยุทธศาสตร์การเมือง-การทหารของอเมริกากำลังปรับตัวมุ่งไปสู่การวางน้ำหนักทางทหารเข้าไปในพื้นที่
ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรด้านพลังงานที่ยังไม่มีการขุดค้นมาใช้ โดยเฉพาะความพยายามเข้าไปมีบทบาท
ในประเทศบริเวณ "เอเชียกลาง" ที่เชื่อกันว่าเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมันอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของปริมาณ
น้ำมันสำรองของโลก รวมทั้งพื้นที่ที่ยังคงเหลือทรัพยากรสำรองแหล่งอื่นๆ ไม่ว่าแอฟริกา ตะวันออกกลาง
และรวมไปถึงทะเลจีนใต้ เขาสรุปว่า "สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์สำคัญที่สุด คือจะเกิดยุทธศาสตร์โลก
แบบใหม่ ที่วางอยู่บนปัญหาความขลาดแคลนทรัพยากรโดยไม่สนใจเขตแดนทางการเมืองเป็นสาระสำคัญ
อีกต่อไป"
และภายหลังจากที่เหตุการณ์ 11 กันยายน ปรากฏตัวขึ้นมา "สงครามครั้งใหม่" ก็ปรากฏตัวขึ้นมาในโลก
ด้วยการประกาศของผู้นำรัฐบาลอเมริกาว่า พวกเขาจะทำสงครามกับการก่อการร้ายที่อาจจะมีอาณาเขต
กว้างขวางพัวพันไปถึง 60 ประเทศทั่วโลก และอาจจะใช้ระยะเวลาในการทำสงครามไม่น้อยกว่า 50 ปี
ขึ้นไป ในการกล่าวสุนทรพจน์รายงานประจำปี ค.ศ. 2002 ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช บอกกับ
ชาวอเมริกันและชาวโลกเอาไว้ว่า ปีนี้เป็น
"ปีแห่งสงคราม"