วิกฤตการณ์ครั้งใหม่ "อนาธิปไตย" และ "ทางตัน"ในเมื่อโลกมีอยู่เพียงแค่ 1 ใบเท่านั้น "พื้นที่อันมโหฬาร" ในสายตาของกลุ่มทุนผูกขาด
เมื่อตอนต้นศตวรรษที่ 20 ได้กลายเป็น "พื้นที่อันคับแคบ" ไปแล้วในการเริ่มต้นศตวรรษที่ 21
ทางออกในการผลักดัน "แรงปรารถนาอันไม่สิ้นสุด" ให้วิวัฒนาการต่อไปอีกก้าว หนีไม่พ้นที่จะต้อง
มีการ "รื้ออุปสรรคขัดขวาง" นานาชนิดลงไปให้ได้ ไม่ว่าอุปสรรคนั้นจะเป็นเส้นแบ่งพรมแดนเขตแดน
ทางการเมืองของรัฐชาติ ผลประโยชน์ท้องถิ่น วัฒนธรรมท้องถิ่น หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เคยเป็น
เอกลักษณ์ท้องถิ่นและรัฐชาติ เพื่อหลีกทางกับสิ่งที่ "อากิโอะ มอริตะ" ประธานบรรษัทธุรกิจข้ามชาติ
"โซนี่" เคยเรียกมันว่า "ความดีงามที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่า อันเป็นผลจากเสรีภาพทางการค้าในระบบ
ตลาดเสรี ได้เข้ามาแทนที่"
"เคนิชิ โอเมะ" ผู้จัดการบริษัทแมคเคนซีและสหาย ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "โลกไร้พรมแดน" ว่า
"รัฐบาลแห่งชาติที่ยังยึดติดอยู่กับบทบาทเดิมในฐานะที่เป็นผู้จัดการทางเศรษฐกิจแห่งชาติ
เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ทั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจแห่งชาติในโลกปัจจุบันและอนาคตอันใกล้
จะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหลืออยู่อีก" และ "โลกาภิวัตน์ จะทำให้บทบาททางการเมืองของรัฐบาล
เป็นจำนวนมากล้าสมัยไปด้วย"
"ดีแอนน์ จูเลียส" หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบรรษัทน้ำมันข้ามชาติอย่างบริษัทเชลล์ ได้เสนอรายงาน
วิจัยชี้ให้เห็น "หลักการ 3 ประการ" ของการสร้างพื้นที่อันกว้างขวางให้กับโลกยุคใหม่ นั่นก็คือ
1. บรรษัทต่างชาติจะต้องมีเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการเลือกว่าจะมีส่วนร่วมในตลาดท้องถิ่น
โดยการนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศหรือจัดการผลิตภายในท้องถิ่นเอง
2. วิสาหกิจต่างชาติจะต้องถูกบังคับโดยกฏหมายฉบับเดียวกันกับที่บังคับใช้กับวิสาหกิจภายในประเทศ
3. วิสาหกิจต่างชาติควรได้รับการอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมใดก็ได้ ในประเทศที่วิสาหกิจในประเทศนั้น
สามารถดำเนินการได้ถูกต้องตามกฏหมายในการสำรวจความคิดเห็น ผู้บริหารบรรษัทธุรกิจระหว่างประเทศจำนวน 12,000 คน โดยนิตยสาร
"ฮาเวิร์ดธุรกิจปริทัศน์" ในปี ค.ศ. 1990 ได้ยืนยันว่า ผู้บริหารบรรษัทธุรกิจระหว่างประเทศเกือบทั้งหมด
เห็นด้วยกับทัศนะของ "นางคาร์ลา ฮิลส์" อดีตผู้แทนการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ออกมาเรียกร้องให้
"บรรษัทข้ามชาติ" สามารถลงทุนในประเทศต่างๆ ในโลกได้โดยไม่จำเป็นจะต้องมีผู้ร่วมลงทุนท้องถิ่น
สามารถส่งสินค้าออกจากประเทศที่เข้าไปทำการผลิตโดยไม่ต้องมีการควบคุมสัดส่วนใดๆ ไม่ต้องถูกบังคับ
ให้ใช้ชิ้นส่วนใดๆ ภายในท้องถิ่น รวมทั้งไม่ควรบังคับให้มีกฏเกณฑ์เฉพาะสำหรับการควบคุมกิจกรรมของ
บรรษัทข้ามชาติ
แรงผลักดันที่ต้องการให้รื้อเขตแดนทางการเมือง การค้าวัฒนธรรมต่างๆ ในทุกซีกโลกเพื่อให้
"พื้นที่อันคับแคบ" ของบรรษัทธุรกิจผูกขาดในระดับโลกสามารถแสวงหากำไรได้มากขึ้นนั้น
เกิดขึ้นพร้อมๆ กับ "วิกฤตการณ์ครั้งใหม่" ที่ส่อให้เห็นแนวโน้มซึ่งมีสภาพไม่ต่างไปจาก "ทางตัน"
ของทุนนิยมในปี ค.ศ. 1920-1930
ปลายศตวรรษที่ 20 "กิจกรรมทางการเงิน" ที่มีการซื้อ-ขายเงินตราเพื่อ "เก็งกำไรในระยะสั้น"
มีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การซื้อ-ขายเงินตราเพื่อ "การค้าการลงทุน" จริงๆ
มีเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์พลิกผันจากกิจกรรมทางการเงินในยุคอดีตที่การซื้อ-ขายเงินตรา
เพื่อใช้ในการค้าการลงทุนเคยมีจำนวน 90 เปอร์เซ็นต์ การเก็งกำไรในระยะสั้นเคยมีเพียงแค่
10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ในตอนต้นศตวรรษที่ 21 ยอดมูลค่าการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในแต่ละวัน
ได้รับการประมาณการกันว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
สภาพความผันผวนในกิจกรรมทางการเงินลักษณะเช่นนี้ เคยทำให้ผู้นำคิวบา "ฟิเดล คาสโตร"
กล่าวในที่ประชุมว่าด้วยการระดมทุนเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติปี ค.ศ. 2002 ว่า
"ระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน...ก็คือ บ่อนกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก""อนาธิปไตยทางการเงิน" ได้แสดงผลให้เห็นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 อย่างชัดเจน
ระบบเงินตราของยุโรปเกิดความผันผวนในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1993
เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1994 เงินเปโซของเม็กซิโกลดค่าขนานใหญ่ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์การเงิน
ลุกลามทั่วละตินอเมริกา เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1995 ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของยุโรป
เกิดความปั่นป่วนอีกครั้ง
ธนาคารแบรริ่งของอังกฤษ ที่มีประวัติยาวนานถึง 233 ปี ต้องประกาศล้มละลาย
เนื่องมาจากผลของการเก็งกำไรทางการเงินในระยะสั้นของสาขาธนาคารที่สิงคโปร์ประสบความล้มเหลว
เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1997 วิกฤตการณ์การเงินในเอเชียเริ่มต้นขึ้นที่ประเทศไทยและลามไปทั่วทั้งเอเชีย
จนกลายเป็นผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกทั้งหมด
ต้นศตวรรษที่ 21
วิกฤตการณ์การเงินเริ่มก่อตัวในอาร์เจนตินา และในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002
การลอยตัวค่าเงินเปโซของอาร์เจนตินาส่งผลให้ค่าเงินลดลงทันที 40 เปอร์เซ็นต์
เกิดจลาจลทั่วประเทศและต้องมีการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีถึง 5 คน ภายในชั่วเวลา 14 วัน
ต้นปี ค.ศ. 2002 วิกฤตการณ์การเงินอาร์เจนตินาลุกลามต่อไปยังอุรุกวัย และเริ่มกดดันระบบการเงิน
และเศรษฐกิจของบราซิลในเวลาต่อมา
ในการประชุมนักวิชาการด้านเศรษฐกิจ-สังคมทั่วโลกที่ฮ่องกงในปี ค.ศ. 2000 เสียงส่วนใหญ่
ในที่ประชุมสัมนาได้ยอมรับถึง "ทางตัน" ในการแก้ปัญหา "ช่องว่างระหว่างความรวยและความจน"
ที่นับวันจะขยายตัวยิ่งขึ้น ไม่ว่าระหว่าง "ประเทศรวยกับประเทศจน" หรือ "ภายในประเทศแต่ละประเทศ"
และยิ่งมีการผลักดันให้เกิด "พื้นที่การค้า" ที่กว้างขวางขึ้น ด้วยการรื้ออุปสรรคต่างๆ ภายในชาติแต่ละชาติ
ลงไป ก็จะยิ่งทำให้แนวโน้มของช่องว่างเหล่านี้ขยายตัวในระดับที่ "ไม่อาจจะแก้ปัญหาใดๆ ได้อีกต่อไป"
ตัวเลขสถิติในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 แสดงให้เห็นว่า ชาติอุตสาหกรรมทันสมัย 24 ประเทศ ซึ่งมีประชากร
17 เปอร์เซ็นต์ของโลก ครอบครองมูลค่าการผลิตถึง 79 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมี
ประชากร 83 เปอร์เซ็นต์ กลับครอบครองมูลค่าการผลิตเพียง 21 เปอร์เซ็นต์ของโลก ยอดหนี้สิน
ต่างประเทศของโลกกำลังพัฒนามีมูลค่าถึง 25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ประชากรถึง 1,300 ล้านคน
อยู่ในประเทศที่ยากจนที่สุดของโลก โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อวันไม่ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ผู้คน 800 ล้านคน อดอยากหิวโหย, 80 ล้านคนไม่เคยได้รับการรักษาพยาบาล, 2,600 ล้านคน
ไม่ได้เรียนหนังสือ ฯลฯ
และแม้กระทั่งภายใน "ประเทศร่ำรวย" เองก็ตาม การปรากฏตัวของความยากจนและช่องว่างรายได้
ชัดเจนยิ่งขึ้น "ศูนย์ความอดอยาก" แห่งรัฐสภาอเมริกาได้ประมาณการว่า ในแต่ละปีมีคนอเมริกัน
30 ล้านคนที่มีอาหารไม่พอบริโภค, 2 ล้านกว่าคน เคยผ่านประสบการณ์ไร้ที่พักพิงมาก่อน
ชาวเยอรมัน 850,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย, ชาวฝรั่งเศส 300,000 คน อาศัยอยู่ในกล่องกระดาษ
ชาวญี่ปุ่นซึ่งเคยได้รับการยอมรับว่าเป็น "สังคมที่ไม่มีคนว่างงาน" ในยุคอดีต ได้พบอัตราว่างงาน
ถึง 2,140,000 คน ในปลายศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ฯลฯ
"การผลิตที่ล้นเกิน" ยังคงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการผลิต
ภาคเกษตรของประเทศร่ำรวยที่มีมูลค่าไม่ตำกว่าวันละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ความ "ไม่ปลอดภัย
ในชีวิตทรัพย์สิน" รวมทั้ง "การขาดความมั่นคงทางจิตใจ" ได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดปะทุไปทั่ว
สังคมทุนนิยมทุกแห่ง คดี "ฆ่าตัวตายหมู่" ของลัทธิความเชื่อวิปริตในสังคมอเมริกัน สวีเดน ญี่ปุ่น
และความเชื่ออันสับสนของลัทธิทางจิตวิญญานในจีน การขยายตัวของศาสนาใหม่โดยชาวเกาหลีใต้
การปล่อยก๊าซพิษในอุโมงค์รถไฟใต้ดินกรุงโตเกียวของลัทธิโอมชินริเกียว ฯลฯ นอกจากนั้น
ระบบการเมืองแบบ
"เสรีประชาธิปไตย" ที่ใช้รองรับการพัฒนาของทุนนิยมใหม่ เกิดการสั่นคลอน
ความน่าเชื่อถือไปทั่วโลก ลัทธิชาตินิยม ลัทธิต่อต้านผิวสี ต่อต้านเชื้อชาติในยุโรป-ออสเตรเลีย
ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ นักการเมืองที่สนับสนุนเศรษฐกิจเสรีนิยมในเวเนซุเอลา โบลิเวีย บราซิล
ประสบความพ่ายแพ้ลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ
วิกฤตการณ์ครั้งใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาในต้นศตวรรษที่ 21 นับวันเริ่มจะส่งสัญญานให้เห็นว่า
มันมีสภาพแทบไม่แตกต่างไปจากยุคก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 สักเท่าไหร่
ความพยายามดิ้นรน "ผ่าทางตัน" จึงปรากฏตัวด้วย "รูปแบบ" อันหลากหลาย