เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 25, 2024, 05:25:14 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)  (อ่าน 63924 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 21 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #75 เมื่อ: กันยายน 05, 2006, 12:20:16 PM »

สงครามที่ปราศจากเลือดและสันติภาพที่ปราศจากจิตวิญญาณ

"อัลวินและไฮดี้ ทอฟเลอร์" พยายามวาดภาพถึงพัฒนาการขององค์ความรู้และวิทยาการใหม่ๆ
ที่อาจจะทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า "สงครามที่ปราศจากเลือด"

เขาได้อ้างถึงความพยายามค้นคว้าและวิจัยของ "เจเน็ต มอริส" และ "คริส มอริส" ถึง "อาวุธสงคราม"
ที่จะทำให้เกิด "สงครามที่หลีกเลี่ยงความตาย" ด้วยการวาดภาพ "ผู้เดินขบวนประท้วงหน้าสถานทูต"
กำลังก้มหน้าอาเจียนและถ่ายของเสียเมื่อบุกเข้ามาใกล้กำแพงสถานทูต ฝูงชนที่ไม่พอใจรัฐบาล
ปั่นป่วนมึนงงด้วยเครื่องสร้างคลื่นเสียงอินฟราซาวนด์หรือคลื่นเสียงความถี่ต่ำ ปืนเลเซอร์ที่จะยิง
ฝ่ายตรงข้ามให้เกิดอาการ "ตาบอดชั่วขณะ" รถถังและรถบรรทุกทหารที่ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้
เพราะจะถูกสารโพลีเมอร์ยึดล้อรถเอาไว้กับถนน สเปรย์ที่ถูกฉีดใส่สะพาน สนามบิน ลิฟต์ หรือ
อาวุธจนทำให้สิ่งของนั้นเปราะและหักพังโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องยิงระเบิดถล่ม หัวจรวดกระตุ้นด้วย
ระบบอิเล็กโครแมกเนติกที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ที่สามารถทำลายระบบเรดาร์ เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์
และคอมพิวเตอร์ของฝ่ายตรงกันข้าม ไปจนถึง "การขายอาวุธ" ที่ถูก "ติดกลไกพิเศษให้สามารถ
ทำลายตัวเอง" โดยที่ผู้ซื้อไม่สามารถตรวจพบ ซึ่งจะสามารถถูกสั่งการให้ทำลายตัวเองก่อนที่จะ
ถูกใช้ไปทำลายผู้อื่น ฯลฯ

และด้วยจินตนาการถึง "สงครามที่ปราศจากเลือด" อันพิลึกกึกกือเช่นนี้ ก็อาจจะมีส่วนทำให้
เขามองเห็นรูปแบบของ "สันติภาพ" ในแบบที่ "ปราศจากจิตวิญญาณ" ไปด้วย

"ทอฟเลอร์" ได้วาดภาพของสันติภาพบนโลกยุคใหม่ถูกที่ "แบ่งออกเป็นสามส่วน" หรือเมื่อ
"พรมแดนของรัฐชาติ" หมดความสำคัญลงไป "แผนที่โลก" จะถูกเขียนขึ้นมาจากระบบการปกครอง
ระบบเศรษฐกิจ และอารยธรรมที่แตกต่างกันใน 3 ลักษณะ หรือ "อารยธรรม 3 เสี้ยว"

ส่วนที่ "จมปลัก" อยู่กับ "สังคมการเกษตร" หรือถูกทำให้ "จมปลัก" อยู่กับ "อารยธรรมการเกษตร
แห่งคลื่นลูกที่หนึ่งต่อไป" จะรับหน้าที่ "ด้านสิ่งแวดล้อม" (หรืออันที่จริงก็คือการเป็นถังขยะ) ให้กับ
สังคมสมัยใหม่ "ป้องกันป่า ท้องฟ้า และความเขียวของตน" การถูก "มอบหมาย" หรือ "บังคับ"
ให้ทำหน้าที่นี้ก็แล้วแต่ "ทอฟเลอร์" อ้างว่าเพื่อ "ความดีอันเป็นสากล แม้ว่าบางครั้งมันอาจจะทำให้
พัฒนาเศรษกิจไม่ได้" ส่วนที่ยังไม่อาจ "ดิ้นรน" ขึ้นมาอยู่ในอารยธรรมคลื่นลูกที่สามได้ หรือยังต้องอยู่
ในฐานะ "คลื่นลูกที่สอง" ก็จะรับหน้าที่จัดหา "แรงงานราคาถูกๆ ผลิตสินค้าปริมาณมากๆ จัดหาวัตถุดิบ
เพื่อมาผลิตสินค้า และหาตลาดระบายสินค้า" ต่อไป

และแน่นอนที่สุด ส่วนที่เป็น "คลื่นลูกที่สาม" นั่นเอง ที่จะมีอำนาจเศรษฐกิจที่มั่งคั่งที่สุด
และมีเทคโนโลยีการทหารสูงสุด ก็จะเป็นผู้ "กำหนดสงครามและสันติภาพ" ให้กับโลกต่อไป

รูปแบบสันติภาพของ "ทอฟเลอร์" สามารถเกิดขึ้นได้ในลักษณะที่ "เมื่อเราเอาความเปลี่ยนแปลง
ทั้งมวล (โลกทั้ง 3 ส่วน) มาเสียบปลั๊กไฟ มันจะกลายเป็นระบบโลกแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นต้นตอ
แห่งสงครามและสันติภาพ" เขาสรุปเอาไว้ง่ายๆ และเต็มไปด้วยความคิดแบบ "กลไก" โดยไม่มี
ความรู้สึกที่เกี่ยวกับเลือดเนื้อ วิญญาณให้เห็นแม้แต่น้อย

เขากล่าวเอาไว้ด้วยว่า "การสร้างสันติภาพนั้น ไม่อาจนำเอาวิธีการของการแก้ปัญหา
ทางเศรษฐกิจ-สังคม (ความยากจนและความอยุติธรรม) รวมทั้งศีลธรรมของโลกมาใช้ได้"
แต่ "สันติภาพในรุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่ 21 ต้องการการผ่าตัดโดยรีบด่วนและแพทย์
ที่ทำการผ่าตัดนั้นคือ สิ่งที่จับต้องไม่ได้ นั่นคือ ความรู้"

จินตนาการอันพิลึกกึกกือ ที่ถูกสรุปมาเป็นกุญแจดอกสำคัญของการแก้ไขไปสู่สันติภาพของ
"ทอฟเลอร์" อาจจะน่าสนใจอยู่พอสมควรเพียงแต่เขาไม่ได้อธิบายเอาไว้ให้ชัดเจนว่า
ความรู้ที่ว่านั้นคือ ความรู้ในแบบไหน? ความรู้ที่ถูกนำไปใช้ในทิศทางแบบใด และอะไรคือ
จุดมุ่งหมายของความรู้นั้นๆ รวมทั้ง ใคร? คือผู้ใช้ความรู้ดังกล่าว อย่างที่พยายามเรียบเรียง
ให้เห็นมาตั้งแต่ต้นว่า "ความรู้นานาชนิด" ที่อุบัติขึ้นมาในแต่ละช่วงประวัติศาสตร์ แทนที่มันจะนำ
"สันติภาพ" มาสู่ยุคสมัยต่างๆ มันกลับถูกนำไปใช้จนเกิด "สงคราม" มาตลอดเส้นทางวิวัฒนาการ
ของมนุษยชาติกันเลยก็ว่าได้

ความรู้ในการผลิตเหล็กของชาว "อัสซีเรีย" ความรู้ในการพัฒนากองทัพของชาว "กรีกและโรมัน"
ความรู้ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมของ "นักล่าอาณานิคมตะวันตก" ฯลฯ ล้วนแต่เป็นความรู้ที่ทำให้เกิด
"สงคราม" ในแต่ละยุคสมัย เนื่องจากผู้ใช้ความรู้นั้นๆ ต่างมุ่งไปสู่ทิศทางที่ต้องการให้ความรู้นั้น
ก่อให้เกิดความสุขสมบูรณ์อันไม่สิ้นสุดกับตัวเองเป็นหลัก

ในหนังสือ "ปรัชญาอินเดีย" ที่เขียนและเรียบเรียงโดย "อดิศักดิ์ ทองบุญ" หัวหน้ากองธรรมศาสตร์และ
การเมืองแห่งราชบัณฑิตยสถาน ในปี ค.ศ. 1981 ได้อธิบายถึง "กระบวนการความรู้" ของชาวอินเดีย
ยุคโบราณเอาไว้ว่า

"คนอินเดียโบราณ ถือเป็นคติชีวิตว่า จงอยู่เพื่อหาความรู้ ไม่ใช่หาความรู้เพื่ออยู่ คติชีวิตนี้ไม่ได้คัดค้าน
การเล่าเรียนวิชาชีพเพื่อใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพให้อยู่เป็นสุขสบายในโลกนี้ เท่าที่พอจะหาได้
ว่าไม่มีความจำเป็น แต่ถือว่า นั่นไม่ใช่จุดประสงค์สูงสุดเท่านั้น เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความรู้สูง
(ในทางโลก) แต่ใช้ความรู้ไปในทางที่ผิด เพื่อประโยชน์แก่ตนและพรรคพวกของตนเองแต่อย่างเดียว
และมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่มีความรู้ดีในหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ไม่รู้จักตัวเองเลย
การอยู่เพื่อหาความรู้นั้นๆ หมายความว่า จุดประสงค์สูงสุดของการเกิดมาก็เพื่อศึกษาให้รู้ว่า ตัวเราคืออะไร
เกิดขึ้นมาอย่างไร? มีเงื่อนไขหรือปัจจัยอะไรให้เกิดให้เป็นอยู่ ตลอดจนให้เป็นไปอย่างไรต่อไป
เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องนี้แล้วก็จะไม่ หลงผิด ไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับสิ่งที่เป็นมายาของโลกต่อไป
แต่จะใช้ชีวิตอันน้อยนิดในโลกนี้ให้เป็นคุณประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่นให้มากเท่าที่จะทำได้
เพราะเขาถือว่า โลกนี้เป็นเพียงเวทีหรือสถานศึกษาเท่านั้น หาใช่ที่พำนักอันถาวรไม่"


อันที่จริง "คติชีวิต" เช่นนี้ ก็ไม่ใช่มีอยู่ในเฉพาะคนอินเดียยุคโบราณเท่านั้น แต่บรรดาชาวอียิปต์โบราณ
ชาวฮิบรูยุคอดีต ชาวเปอร์เซีย ชาวบาบิโลน ฯลฯ ที่ค้นพบความรู้ในด้านคณิตศาสตร์ วิศวกรรม ดาราศาสตร์
การแพทย์ ฯลฯ ก็ดูจะมี "คติชีวิต" ไม่ต่างกันมากมายนัก กระบวนการใช้ความรู้ของผู้คนเหล่านี้จึงมุ่งไปสู่
"การค้นหาความหมายในชีวิต" ไปจนถึง "การค้นหาพระผู้เป็นเจ้า" แตกต่างไปจาก "ชาวกรีก"
ที่ไปลอกเลียนความรู้มาจากผู้คนเหล่านี้และเริ่มนำเอามาใช้ "ตอบสนองความสุขสมบูรณ์ของตนเอง"
และส่งมอบต่อให้กับ "ชาวโรมัน" จนตกทอดไปสู่ชาวยุโรป "ที่ก่อกำเนิด" การปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นมา
บนพื้นฐานแบบที่ "ฟรังซิส เบคอน" เคยว่าไว้นั่นเอง คือ "จุดมุ่งหมายของการวิทยาการและการค้นหา
องค์ความรู้ใหม่ๆ ก็คือ มุ่งตอบสนองความต้องการความสุขสมบูรณ์ของมนุษย์จากสิ่งที่ค้นพบ" เป็นหลัก

มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจนัก เมื่อเรามองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์แล้วพบว่า "ศาสนาหลักๆ"
ที่ปรากฏขึ้นมาในโลกและนำมาซึ่ง "สันติภาพภายในจิตวิญญาณ" ให้กับพลโลกทั้งมวลจนกระทั่งทุกวันนี้
ล้วนก่อเกิดขึ้นจาก "อารยธรรมตะวันออก" ที่ครอบคลุมยุคแห่งคลื่นลูกที่หนึ่ง คลื่นลูกที่สอง และจะคง
ความสำคัญต่อยุคคลื่นลูกที่สามอีกต่อไป ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ฯลฯ
ในขณะที่ "สงครามหลักๆ"
ที่ปรากฏขึ้นมาในระดับ "สงครามโลก" และนำมาซึ่งการทำลายล้างมนุษยชาติและธรรมชาติ
ทำลายจิตวิญญาณของพลโลกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ล้วนก่อเกิดขึ้นมาจาก "อารยธรรมตะวันตก" สร้างความปั่นป่วน
วุ่นวายให้กับยุคคลื่นลูกที่หนึ่ง คลื่นลูกที่สอง และการก้าวสู่ยุคคลื่นลูกที่สามในระดับที่เลวร้ายที่สุด
เท่าที่เคยมีมาเลยก็ได้


ความแตกต่างระหว่าง "สงครามและสันติภาพ" มันจึงน่าสรุปได้หรือไม่ว่า มันคือ
ความแตกต่างในการใช้ความรู้ไปในทิศทางใด? หรือควรจะตั้งคำถามต่อไปในอนาคตด้วยหรือไม่ว่า
เราจะสามารถหลุดออกไปจาก "วัฏจักรแห่งสงคราม" และ "สร้างสันติภาพที่แท้" ขึ้นมาในอนาคต
ได้โดยการเปลี่ยนทิศทางในการใช้ความรู้ เพื่อนำไปสู่ "กระบวนการวิวัฒนาการ" แบบใหม่ได้หรือเปล่า?
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #76 เมื่อ: กันยายน 05, 2006, 02:42:36 PM »

กระบวนการวิวัฒนาการใหม่กับโลกพระศรีอาริย์

อันที่จริงแล้ว ถ้าหากเราย้อนหลังกลับเป็นพันๆ ปี เราสามารถพบเห็น "นักโลกานิมิต"
ที่เคยวาดภาพของ "โลกอนาคต" ด้วยสีสันสดใสไม่น้อยกว่านักโลกานิมิตยุคนี้จำนวนมากมาย
และก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก ที่เราสามารถค้นพบจินตนาการแห่งโลกอนาคตได้ในศาสนาแทบทุก
ศาสนาในโลกนี้ ชาวฮินดูอาจจะคุ้นเคยกับโลกภายหลังจากการเสด็จมาของ "กัลกี" พระวิษณุ
ผู้อวตารลงมาสู่โลกมนุษย์บนหลังม้าสีขาว ชาวคริสต์อาจจะฝันถึงสันติสุขและความสงบร่มเย็น
อย่างไม่เคยมีมา เมื่อ "พระเมซิอาห์" เสด็จกลับมาสู่โลกมนุษย์ ในหมู่ชาวพุทธได้มีการอ้างถึง
คำพูดของพระศาสดาหรือพระพุทธเจ้าโดยตรง ว่าด้วยยุคๆ หนึ่งที่อุบัติขึ้นในโลกจนความมั่งคั่ง
สมบูรณ์พูนสุขนั้นก่อให้เกิดพระศาสดาองค์ใหม่ชื่อว่า "เมตไตรย"

ความสมบูรณ์พูนสุข สันติภาพ และวิทยาการที่ปรากฏในมโนภาพของโลกยุคพระศรีอาริยเมตไตรยนั้น
อาจจะไม่มีรายละเอียดลึกลงไปถึงระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม หรือการทหารอย่าง
นักโลกานิมิตยุคใหม่ แต่ภายใต้ข้อความที่ดูเหมือนถูกสร้างออกมาจากจินตนาการล้วนๆ นั้น
มันอาจจะสะท้อนให้เราพอมองเห็นภาพรางๆ ของ "เส้นทางการวิวัฒนาการแบบใหม่" กันใน
ระดับพื้นฐานได้บ้าง

ภายใต้จินตนาการที่เมืองต่างๆ "แออัดยัดเยียดไปด้วยมนุษย์" หรือจำนวนประชากร
ทบเท่าทวีคูณ อย่างไรก็ตาม อาคารบ้านเรือนและการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์เป็นไปแบบ
"มีคามนิคมราชธานีแบบไก่บินถึง" แต่ภายใต้จินตนาการที่ว่านี้ไม่ได้สะท้อน "ความขาดแคลน" ใดๆ
เอาไว้เลย กลับกล่าวถึง "ความมั่งคั่ง" ในแบบที่ "มีคนมาก" แต่ "อาหารหาง่าย" จนมนุษยชาติจะ
"มีโรคเพียง 3 อย่าง" คือ 1. ความปรารถนา (อยากอาหาร) 2. ความไม่อยากกินอาหาร
(เกียจคร้านอยากจะนอน) และ 3. ความแก่

ชาวเอเชียจำนวนไม่น้อยเคยนอนฟังเรื่องเล่าที่ตกทอดสืบต่อมาเป็นรุ่นๆ จนกลายเป็นตำนาน
ถึงสีสันอันสดใสของโลกในอนาคตในแง่มุมต่างๆ อย่างตื่นตาตื่นใจกันมาตั้งแต่ครั้งอดีต
ไม่ว่าพฤติกรรมของผู้คนที่ "มีความพอใจในการเป็นอยู่" "ไม่มีการเบียดเบียน" บ้านที่ไม่มีประตู
เพราะไม่มีขโมยหรือคนร้าย ผู้คนที่ออกจากบ้านเรือนของตัวเองแล้วแทบจำใครต่อใครไม่ได้
เพราะผู้คนในท้องถนน อาคาร หล่อเหลา-สวยงามเหมือนกันหมด กิริยาอาการสุภาพ จิตใจดีงาม
เหมือนกันหมด วัตถุที่จะนำมาตอบสนองความต้องการในชีวิตสามารถสอยเอาได้จาก
"ต้นกัลปพฤกษ์" ที่ตั้งอยู่ทุกทิศทุกทาง ฯลฯ

แน่นอน โลกจินตนาการเช่นนี้ไม่มีโอกาสเป็นจริงหรือมีเค้าโครงของความจริงแม้แต่ส่วน
เล็กๆ น้อยๆ ได้เลย ถ้าหากเราใช้ "กระบวนการวิวัฒนาการ" ของมนุษย์ในอดีตนับตั้งแต่
เริ่มต้นประวัติศาสตร์มาเป็นพื้นฐานในการพิจารณา "ความหิวโหย-ความขาดแคลน" ที่ทำให้
มนุษย์ออกไล่ล่าแย่งชิงอาหารในแบบเดียวกันกับสัตว์ป่า ความยากลำบากในการติดต่อสื่อสาร
ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจระหว่างกันและกันทำได้ยาก ความขัดแย้งแตกต่างทางความเชื่อ-
วัฒนธรรม-ประเพณี นำมาซึ่งการรบราฆ่าฟันได้เสมอๆ ความแตกต่างของสีผิว-เพศ-เผ่าพันธ์
และความเป็นชนชาติทำให้เกิดการมองมนุษย์ด้วยกันเองว่าไม่ใช่มนุษย์ ผลประโยชน์ ของ
"ปัจเจกบุคคล" ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองว่าหรือมนุษย์กับธรรมชาติ
ต้องถูกบังคับเอาไว้ด้วยกฏระเบียบทางการเมืองและกฏเกณฑ์ทางเศรษฐกิจกันต่อไป ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็น "ข้อเท็จจริง" ที่ปรากฏอยู่ตลอดเส้นทางวิวัฒนาการนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้
ด้วยเหตุนี้ กระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์จึงไม่ต่างอะไรไปจาก "วัฏจักร" ที่หมุนวนเป็นรอบๆ
และในแต่ละรอบ ไม่สามารถหลีกเลี่ยง "สงคราม" ได้เลย ตั้งแต่สงครามขนาดเล็กไปจนถึง
สงครามขนาดใหญ่ และยิ่งนานวัน ดูเหมือนวงรอบของวัฏจักรที่ว่านี้ยิ่งมีอัตราความเร็ว
ในการหมุนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นมันจึงทำให้โลกไม่เคยขาดสงครามหรือ
แทบไม่มีช่วงเวลาระยะยาวของสันติภาพ ยิ่งไปกว่านั้น "วิทยาการ" หรือ "องค์ความรู้"
ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการวิวัฒนาการ ได้มีส่วนทำให้อัตราความรุนแรงของสงคราม
รุนแรงยิ่งขึ้นไปด้วย

ถึงแม้นจะมีความพยายามสร้าง สงครามที่ปราศจากเลือดด้วยความมุ่งมั่นเพียงใดก็ตาม
แต่ "สันติภาพที่ปราศจากวิญญาณ" นั้นก็จะนำเราไปสู่การทำลายล้างที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

ด้วยเหตุนี้ เราจึงเหลือเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะต้องเริ่มต้นมองอนาคต จากการใช้
"แนวทางวิวัฒนาการ" แบบใหม่เข้ามาเป็นพื้นฐานในการพิจารณา หรือเราจะต้องหาทาง
"เปลี่ยนเส้นทางวิวัฒนาการ" ให้แตกต่างไปจากอดีตให้ได้ หรือถึงแม้นเราจะยังไม่อาจค้นหา
หนทางที่จะหลุดออกไปจาก "วัฏจักรแห่งการวิวัฒนาการ" แต่การหาทางทำให้วงรอบของ
การหมุนวนของวัฏจักรมัน ช้าลงไปได้เท่าไหร่ ช่วงเวลาแห่ง "สันติภาพ" ก็จะยาวนานขึ้นเท่านั้น
และช่วงเวลาแห่งสันติภาพยาวนานขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่จะปรากฏในขั้นตอนต่อไปของการวิวัฒนาการ
จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็น "อารยธรรม" ที่แท้จริง อารยธรรมที่ทำให้เราแตกต่างไปจาก
สัตว์เดียรัจฉาน ไม่ใช่อารยธรรมที่นำเรากลับไปสู่ธรรมชาติแห่งสัตว์เดียรัจฉานมากขึ้นเรื่อยๆ


ว่าไปแล้ว "วิทยาการ" และ "องค์ความรู้" ที่เรามีอยู่ในขณะนี้ มันสามารถนำไปสร้างเค้าโครง
ความเป็นไปได้ของโลกจินตนาการที่มีมานานนับพันๆ ปีอย่าง "โลกพระศรีอาริย์" ได้ไม่น้อยทีเดียว
แม้นว่าอาจจะไม่เป็นไปตามจินตนาการได้ทั้งหมด ภายใต้ปริมาณที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลก
ที่อาจจะทำให้เมืองต่างๆ "ยัดเยียดไปด้วยมนุษย์" นั้น ความขาดแคลนอาหารอาจจะไม่มีอยู่เลย
ถ้าหากมันเกิด "การแบ่งปัน" อย่างเป็นจริงเป็นจังขึ้นในกระบวนการวิวัฒนาการใหม่

เราพยายามค้นหา "ต้นกัลปพฤกษ์" ที่สามารถแจกจ่ายปัจจัยการดำรงชีวิตของมนุษย์
อย่างไม่ขาดแคลนไม่ว่าอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค เครื่องอุปโภค-บริโภค ด้วยการคิดค้น
"ระบบเศรษฐกิจ-การเมือง" บางชนิดขึ้นมาในบางยุค แต่มันก็ไม่ประสบความสำเร็จซักเท่าไหร่
เพราะการค้นหาเหล่านั้นไม่ได้มองไปถึงการ "เปลี่ยนเส้นทางวิวัฒนาการ" แต่มันเป็นการค้นหา
ภายใต้เส้นทางวิวัฒนาการแบบเดิม ต้นกัลปพฤกษ์ แต่ละต้นในสังคมที่พยายามจะจัดสรรการแบ่งปัน
ทรัพยากรเพื่อให้เกิด ความเท่าเทียมกัน หรือเกิด "ความไม่มีชนชั้น" ในสังคมนั้นๆ ก็เลยเหี่ยวเฉาและ
ค่อยๆ ตายลงไป หรือถูกหักโค่นในช่วงเวลาสั้นๆ ของประวัติศาสตร์ ดังเห็นได้จากการ
"ล่มสลายของอุดมการณ์สังคมนิยม" และเราก็หันกลับมาวิวัฒนาการไปสู่โลกอนาคตด้วย
ธรรมชาติของเดียรัจฉานกันต่อไป
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #77 เมื่อ: กันยายน 05, 2006, 05:31:07 PM »

ความล้มเหลวของสังคมนิยมภายใต้เส้นทางวิวัฒนาการแบบเก่า

"ไมเคิล โนวาค" นักวิชาการอเมริกันรายหนึ่ง ได้วิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของ
ระบบสังคมนิยม ด้วยลีลาเยาะเย้ยเสียดสีในฐานะที่เขาเป็นนักคิดฝ่ายทุนนิยมชัดเจน
แต่ถ้อยคำเยาะเย้ยในบางประโยคก็สามารถทำให้นักสังคมนิยมที่ตั้งความหวังถึงสังคม
ที่เท่าเทียมกัน สังคมที่เน้นการเฉลี่ยแบ่งปันมานานเกือบครึ่งศตวรรษ อาจจะต้อง "นิ่งอึ้ง"
ไปได้เหมือนกัน เขากล่าวเอาไว้ว่า

"หลายคนที่อ้างว่าปรารถนาระบอบสังคมนิยมนั้น แท้ที่จริงแล้วพวกเขามิได้ปรารถนา
สถาบันทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะชุดหนึ่ง แต่ปรารถนา มนุษย์คนใหม่ มากกว่า
พวกเขาต้องการสังคมที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน สังคมที่มีความกรุณา สังคมที่มีความไม่เห็นแก่ตัว
แต่พวกเขาได้รวมเอาภาพของสังคมที่มีพลเมืองแบบ ชาวคริสต์แบบนักบุญ กับภาพของสถาบันเศรษฐกิจ
แบบสังคมนิยมเข้าด้วยกันในระดับหนึ่ง อย่างไร้เดียงสา ด้วยเหตุนี้ ระบบสังคมนิยมจึงเกิดปัญหาสำคัญๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ขาดการตรวจสอบในเรื่องอำนาจ และมันไม่ได้ทำให้ระบบสังคมนิยมสามารถขจัด
ความเห็นแก่ตัวได้ แต่มันได้แปลงความเห็นแก่ตัวไปสู่การแสวงหาอำนาจทางทหารและการบริหารประเทศ"


อันที่จริงแล้ว กระแสความคิดแบบ "สังคมนิยม" ที่ก่อเกิดขึ้นมาในประมาณศตวรรษที่ 16 นั้น
มันเริ่มต้นมาจากการมองเห็นความเลวร้าย ความไม่เป็นธรรม การเอารัด-เอาเปรียบกันระหว่าง
มนุษย์ต่อมนุษย์ที่ดำเนินต่อเนื่องกันมานานแล้ว การปรากฏตัวของกระแสความคิดชนิดนี้
จึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ไร้ค่าหรือผิดพลาดแต่อย่างใด แต่มันเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาด
ในเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ผ่านมาในอดีตได้อย่างชัดเจนต่างหาก

แต่ความพยายามเอาชนะหรือการแสดงตัวเป็น "ปฏิปักษ์" กับระบบทุนนิยมมาตั้งแต่ต้นนั้น
ได้ถูกพัฒนาไปสู่การเอาชนะฝ่ายตรงกันข้ามภายใต้แนวทางวิวัฒนาการแบบเดียวกันเป็นหลัก
เป็นไปตามพื้นฐานความเชื่อที่มีพื้นฐานมาจากอารยธรรมตะวันตกสืบทอดกันมานั่นเอง นั่นก็คือ
การมองเห็นความสมบูรณ์พูนสุขของมนุษย์อันเนื่องมาจากได้รับการตอบสนองทาง "วัตถุ" เป็นสำคัญ
ความพยายามสร้างความเท่าเทียมกันด้วยการ "แบ่งปันทางวัตถุ" จึงไม่ได้ทำให้กระบวนการ
วิวัฒนาการของสังคมนิยมประสบความสำเร็จในการ "ยกระดับทางจิตใจ" ของผู้คนแต่อย่างใด

แรงผลักดันที่ทำให้ผู้คนในหลายๆ สังคมหลายๆ ประเทศ หันไปหาแนวทางสังคมนิยมในอดีตก็อาจจะไม่ได้
เริ่มต้นจากความเป็น "ชาวสังคมนิยม" มาแต่แรก หลายต่อหลายบุคคล หลายต่อหลายประเทศ อาจจะเริ่มต้น
ความเป็นสังคมนิยมด้วย "นักชาตินิยม" ด้วย "นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ" ด้วย "ผู้รักความเป็นธรรม" ที่หมดขีดความ
อดกลั้นจากการสูญเสียเอกราชของชาติ การกดขี่บังคับของทุนนิยม หรือการเอารัด-เอาเปรียบของทุนนิยม ฯลฯ

แต่ชัยชนะของสังคมนิยมหลังจากนั้น ก็ไม่ได้สามารถพัฒนาจิตวิญญาณของผู้คนเหล่านี้ได้มากนัก
"ภราดรภาพสังคมนิยม" สร้างความงุนงงให้กับนักชาตินิยมที่แปรสภาพมาเป็นชาวสังคมนิยม
จำนวนไม่น้อยทีเดียวเมื่อเริ่มจะมองเห็น "จักรวรรดิสังคมนิยม" ปรากฏตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

จิตวิญญาณของนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพเริ่มสูญเสีย เมื่อยอมรับความเป็นชาวสังคมนิยมภายใต้
ระบบ "รวมศูนย์อำนาจสู่ส่วนกลาง" แม้กระทั่งผู้รักความเป็นธรรมที่สร้างจิตวิญญาณชนิดนี้มาจาก
การบ่มเพาะทางวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ต่างก็ไม่สามารถพัฒนาจิตใจเหล่านี้ให้ยกระดับขึ้นไปได้
เนื่องจากกรอบความคิดทางวัตถุ

ความเท่าเทียมกันในทางวัตถุในแบบสังคมนิยมจึงไม่สามารถสร้าง "ความสัมพันธ์ทางจิตใจ"
ได้เหมือนกับ "ระบบศีลธรรม" ที่ชัยชนะของชาวสังคมนิยมมักจะ "ทำลายมันลงไป"

มันไม่ได้ก่อให้เกิดระบบการแบ่งปันอันมาจาก "จิตใจที่เอื้อเฟิ้อเผื่อแผ่ต่อกัน" แต่มันก่อเกิดมาจากการบังคับ
ด้วยสถาบันทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม มันเป็น "ความเท่าเทียมกันในทางเศรษฐศาสตร์" แต่ไม่ใช่
"ความเท่าเทียมกันในทางศีลธรรม" มันจึงไม่สามารถขจัดความเห็นแก่ตัวในสังคมให้ลดน้อยลงไปได้
แต่กลับแปรสภาพความเห็นแก่ตัวไปสู่อำนาจทางการเมืองและการทหาร ดังที่ ไมเคิล โนวาค ว่าไว้

"เดวิด ซี คอร์เตน" นั้นถึงกับมองว่า ท้ายที่สุดแล้ว ทั้ง "สังคมนิยม" และ "ทุนนิยม" ต่างก็เดินไป
บนเส้นทางเดียวกัน ทั้งๆ ที่มันเริ่มต้นด้วยการแสดงความเป็น "ปฏิปักษ์" ต่อกันและกันมาตั้งแต่แรก
โดยให้เหตุผลว่า

"- ทั้งสองระบบนำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจทางเศรษฐกิจ ให้ไปอยู่ในสถาบันที่ไม่มีความรับผิดชอบ
- ทั้งสองระบบได้สร้างระบบเศรษฐกิจที่ทำลายสิ่งมีชีวิตในโลกเพื่อมุ่งแสวงหาความก้าวหน้า
ทางเศรษฐกิจ
- ทั้งสองระบบได้ก่อให้เกิดการลิดรอนอำนาจจากประชาชนและต้องพึ่งพาสถาบันขนาดมหึมาที่ค่อยๆ
ทำลายทุนทางสังคม
- ทั้งสองระบบได้พิจารณาถึงความจำเป็นของมนุษย์ในแง่มุมเศรษฐกิจที่คับแคบ ทำลายความรู้สึก
ผูกพันทางจิตวิญญาณที่มีต่อโลกและชุมชนของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการร้อยรัด
สายสัมพันธ์ทางศีลธรรมของสังคม"


การเป็นปฏิปักษ์ระหว่างระบบสองระบบ จึงไม่แตกต่างไปจากการขัดแย้งระหว่าง 2 นครรัฐ
ที่ต่างทำสงครามต่อกันและกันไปบน เส้นทางวิวัฒนาการแบบเดียวกัน ความล่มสลายของ
รัฐสังคมนิยมทั่วโลกในตอนปลายศตวรรษที่ 20 จึงไม่ต่างอะไรไปจากการ "แพ้สงครามของนครรัฐ"
แต่สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่และยังไม่ได้ล่มสลายไปตามจักรวรรดิสังคมนิยม หรือรัฐสังคมนิยมต่างๆ ก็คือ
สิ่งที่ชาวสังคมนิยมด้วยกันเองเรียกว่า "สังคมนิยมเพ้อฝัน" หรือความใฝ่ฝันถึงสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
สังคมเสมอภาคด้วยความไม่เห็นแก่ตัว สังคมที่มีสันติสุขและสันติภาพ ที่เคยปรากฏอยู่ในจินตนาการของ
"โธมัส มัวร์" ในนาม "ยูโธเปีย" นั่นเอง

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ความพยายาม "ปรับตัว" ของฝ่ายสังคมนิยมตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 จนกระทั่ง
ถึงต้นศตวรรษที่ 21 ก็ยังคงเป็นความพยายามปรับตัวไป "ภายใต้เส้นทางวิวัฒนาการแบบเดิม" อีกนั่นแหละ

ก่อนที่จักรวรรดิสังคมนิยมโซเวียตจะล่มสลาย กระบวนการปรับตัวของสังคมนิยมในยุคประธานาธิบดี
"มิคาอิล กอร์บาชอฟ" ก็ยังมุ่งค้นหาระบบการจัดการทางเศรษฐกิจและทางการเมืองแบบใหม่ เพื่อแก้ปัญหา
ความขาดแคลนทางวัตถุ และยกระดับความก้าวหน้าทางวัตถุ จนทั้งจักรวรรดิแตกกระจัดกระจาย

การปรับตัวของสังคมนิยมจีนที่เริ่มต้นในยุค "เติ้งเสี่ยวผิง" ด้วยการประคับประคองสถาบันทางการเมือง
และการทหารเอาไว้ และนำเอาวิธีการจัดการทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้ามาผสมผสาน ด้วยการเสนอ
คำขวัญว่า "พัฒนาสังคมนิยมด้วยการปลดปล่อยพลังการผลิต พัฒนาพลังการผลิต ทำลายการขูดรีด
ทำลายการแยกเป็น 2 ขั้ว สุดท้ายบรรลุจุดหมายปลายทางไปสู่ ความร่ำรวยด้วยกัน" ก็ไม่ได้ทำให้
"สังคมนิยมจีน" ในศตวรรษที่ 21 มีกลิ่นอายของ "ยูโธเปีย" หลงเหลืออยู่เลย ความสำเร็จหรือ
ความล้มเหลวของสังคมนิยมจีนที่ถูกวัดด้วย "ความรวย-ความจน" แทนที่ แทบไม่มีผลในการยกระดับ
"จิตวิญญาณสังคมนิยม" ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแทบจะไม่สามารถค้นหา "จิตวิญญาณสังคมนิยมเดิม"
ได้จาก "วิถีทางทุนนิยม" ที่ประเทศจีนนำมาใช้ยกระดับสังคมนิยมของตนเอง

ในยุคที่ "อยาตุลเลาะห์ โคไมนี" ผู้นำศาสนาอิสลามในอิหร่านยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยได้เขียนจดหมาย
ไปถึงประธานาธิบดี "กอร์บาชอฟ" แห่งโซเวียต ในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1988 มีใจความตอนหนึ่งว่า

"ปัญหาขั้นพื้นฐานของประเทศของท่าน ไม่ใช่เป็นปัญหาของการถือครองทรัพยากรในทางเศรษฐกิจ
หรือปัญหาเสรีภาพ แต่ปัญหาของท่านก็คือ ปัญหาอันเนื่องมาจากการขาดความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า
อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกันที่เคยผลักดัน และกำลังผลักดันให้โลกตะวันตกก้าวไปสู่...ทางตัน..."
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #78 เมื่อ: กันยายน 05, 2006, 11:43:34 PM »

โลกพระศรีอาริย์อยู่แค่ปลายจมูก

ว่ากันว่า "จุดเด่นของทุนนิยม" นั้น มันสามารถสร้างแรงกระตุ้นในการค้นพบองค์ความรู้และ
วิทยาการใหม่ๆ อันนำมาซึ่งกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละยุคแต่ละขั้น
แต่องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นบน "ความต้องการอันไม่สิ้นสุด" มันนำไปสู่การสะสม ขาดการแบ่งปัน
นำไปสู่ความขาดแคลนในท้ายที่สุด และนำไปสู่การขัดแย้ง-แย่งชิงในเวลาต่อมา

ส่วน "จุดเด่นของสังคมนิยม" นั้น ก็คือความพยายามจัดสรรแบ่งปันให้เกิดความเท่าเทียมกัน
แต่มันเป็นการมองเห็นแต่ความเท่าเทียมกันในทางวัตถุ ด้วยเหตุนี้ นอกจากมันจะทำลาย
แรงกระตุ้นในการค้นพบองค์ความรู้ต่างๆ โดยตัวมันเองแล้ว มันยังไม่สามารถจัดสรรสิ่งใดๆ
ให้เกิดความพอเพียงกับความต้องการอันไม่สิ้นสุด เนื่องจากมันไม่สามารถสร้างพัฒนาการ
ด้านจิตใจควบคู่ไปกับพัฒนาการทางสังคมได้อีกด้วย

ความพยายามประคับประคองเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์ด้วยวิธีค้นหา "สูตรสำเร็จ" ของ
ระบบเศรษฐกิจ-การเมือง จึงมักจะวนไปวนมาอยู่ในขั้นตอนต่างๆ เสมอๆ โดยที่ไม่สามารถ
ยกระดับจิตใจของผู้คนให้ก้าวตามทันกระบวนการวิวัฒนาการในแต่ละขั้นหรือไม่เช่นนั้น
มันกลับทำให้พัฒนาการทางจิตใจของผู้คนกลับต่ำลงเพราะกระบวนการวิวัฒนาการ
ก็มีให้เห็นมาโดยตลอด

ในบางครั้งทุนนิยมพยายามประคับประคองวิถีทางของตัวเองให้อยู่รอดต่อไปได้อีกพักหนึ่ง
ด้วยการนำเอาจุดเด่นของสังคมนิยมมาปรับใช้เพื่อ "เปิดวาล์วลดความดัน" ภายในสังคมทุนนิยม
สังคมนิยมในยุคหลังๆ ที่พยายามค้นหาหนทางที่จะทำให้ความเป็นสังคมนิยมไม่พังทลายไปเสีย
ทั้งหมดก็พยายามดึงเอาจุดเด่นของทุนนิยมมาใช้เพื่อ "เปิดวาล์วลดความดัน" ภายในสังคมของตัวเอง
เพื่อสร้างแรงกระตุ้นในการก้าวตามให้ทันกับพัฒนาการขององค์ความรู้ใหม่ๆ เช่นกัน

หรือแม้กระทั่งนักคิดบางรายที่คิดอย่างหยาบๆ ถึงกับพยายามนำเอาระบบ 2 ระบบ
เข้ามาผสมผสานเข้าหากัน แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เกิดการยกระดับด้านจิตใจที่วิวัฒนาการ
ควบคู่ไปกับกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์แต่อย่างใด คำถามที่เราเผชิญหน้ามาโดยตลอด
ของกระบวนการวิวัฒนาการตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และแม้กระทั่งจินตนาการถึงโลกในอนาคต ก็คือ
คำถามที่ว่า เราจะวิวัฒนาการไปสู่อะไร? ไปสู่การหมุนวนกลับสู่วัฏจักรแห่งการทำลายล้าง
รุนแรงยิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ? เหตุใดกระบวนการวิวัฒนาการที่ผ่านมานานแสนนาน กลับไม่ได้ทำให้
คุณค่าของความเป็นมนุษย์ถูกยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดกระบวนการวิวัฒนาการอันยาวนาน
จึงไม่สามารถทำให้เราสามารถสลัดหลุดออกไปจากธรรมชาติของเดรัจฉาน?

วิทยาการและองค์ความรู้ใหม่ๆ นั้น เป็นเครื่องหมายยืนยันถึงกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์
อย่างแน่นอน และเราไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปปฏิเสธ หรือหาทางขัดขวางไม่ให้กระบวนการ
ค้นหาองค์ความรู้ใหม่ๆ มันพัฒนาการต่อไป แต่ภายในวิทยาการและองค์ความรู้แต่ละชนิดมันมี
องค์ประกอบด้วยกัน 2 ด้านเสมอๆ ด้านที่นำไปสู่ สงคราม และด้านที่นำไปสู่ สันติภาพ

อันที่จริง วิทยาการและองค์ความรู้ที่มีอยู่ในขณะนี้ มันแทบจะนำไปใช้ปะติดปะต่อให้การ
จินตนาการถึง "โลกพระศรีอาริย์" ที่เกิดขึ้นมานับพันๆ ปีแล้ว มีความเป็นไปได้ไม่น้อยทีเดียว

โลกที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับสภาพแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติได้อีกนานเท่านาน
เมื่อองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้สร้างพลังงานที่มีความหลากหลาย พลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

โลกที่ "ผู้คนมีมาก" แต่ "อาหารหาง่าย" ก็ไม่ใช่จินตนาการที่ไกลเกินไปกว่าองค์ความรู้
ในด้านเทคโนโลยีชีวภาพจะสามารถรองรับสภาวะเช่นนี้ได้

โลกที่องค์ความรู้ด้านการแพทย์ก้าวไปถึงระดับ "ปฏิวัติทางการแพทย์" จนโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
สามารถขจัดลงไปได้ด้วย "การป้องกัน" แทน "การรักษา" จนเหลือโรคแค่ 3 อย่าง คือ
ความอยาก ความไม่อยาก และความแก่ ตามที่จินตนาการในโลกพระศรีอาริย์ว่าไว้

เทคโนโลยีการสื่อสารที่สามารถทำให้เราเกิดความเข้าใจและใกล้ชิดกันในแบบ
"คามนิคมราชธานีที่ไก่บินถึง" จินตนาการอันสวยสดงดงามเหล่านี้จะเป็นไปได้หรือไม่?
หรือจะกลับกลายเป็น ตรงกันข้าม มันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ เราจะใช้วิทยาการ
และองค์ความรู้ต่างๆ ไปในทิศทางใด?

และการนำเอาวิทยาการและองค์ความรู้เหล่านี้ไปใช้ในทิศทางที่จะทำให้เราหลุดออกไปจาก
วงจรอันซ้ำซากของกระบวนการวิวัฒนาการที่ผ่านมาในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ
การออกแบบระบบเศรษฐกิจ การเมืองใดๆ แต่มันขึ้นอยู่กับ "วิวัฒนาการทางจิตใจ" หรือการ
"ยกระดับจิตใจ" ของผู้คนเท่านั้น ถึงจะเปลี่ยนเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์ออกไป
จากวงจรเดิมๆได้

ปราชญ์ทางพุทธศาสนาของไทยรายหนึ่ง คือ "ท่านพุทธทาสภิกขุ" เคยกล่าวเอาไว้ว่าจินตนาการ
เกี่ยวกับ "โลกพระศรีอาริย์" นั้น อันที่จริง "อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก" ของเราทั้งหลายนี่เอง

เพียงแต่หากเราสามารถ "ยกระดับจิตใจ" ของเราทั้งหลายให้วิวัฒนาการไปแค่ถึงระดับ
"ศีลธรรมอันแรกสุดของศาสนาทุกศาสนา" ในมุมมองของพุทธทาสภิกขุ ท่านเชื่อว่า
"ศีลธรรมขั้นพื้นฐาน" ของทุกศาสนา วางเอาไว้บนระดับจิตใจที่มนุษย์จะสามารถ
"รักผู้อื่นได้ไม่น้อยกว่ารักตัวเอง"

และสิ่งๆ นี้นี่แหละที่จะนำไปสู่ "การเปลี่ยนเส้นทางวิวัฒนาการ" ของมนุษย์ที่หมุนวนซ้ำๆ ซากๆ
มานานนับพันๆ ปี นำไปสู่จินตนาการความฝันนานาชนิดที่มนุษย์โลกได้เคยฝันเอาไว้ในบทกวี
ดนตรี และบทสรรเสริญสันติภาพทุกชนิด นำไปสู่โลกพระศรีอาริย์และยูโธเปีย

ด้วยระดับจิตใจเช่นนี้ เราสามารถใช้วิทยาการและองค์ความรู้ต่างๆ นำไปสู่ความสุขสมบูรณ์
ที่เท่าเทียมกันโดยปราศจากความขาดแคลน โดยไม่จำเป็นจะต้องค้นหา "ระบบเศรษฐกิจ"
ที่ยุ่งยากซับซ้อนยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อสร้างการแบ่งปันให้ลงตัว เพียงแต่หากสามารถยกระดับจิตใจ
ของมนุษย์ให้วิวัฒนาการไปสู่ระดับนี้ได้ เราก็จะสร้างการแบ่งปันที่เกิดจากความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ที่กว้างขวางยิ่งกว่าการแบ่งปันโดยระบบเศรษฐกิจใดๆ เราสามารถสร้างความสุขสมบูรณ์ให้กับ
มนุษย์ไม่ใช่แค่ด้านกายภาพ ซึ่งมันมักสร้าง "ความต้องการที่ไม่สิ้นสุด" ให้ขยายตัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
แต่มันจะประกอบไปด้วยความสุขด้านจิตใจที่จะทำให้เกิด
"ขอบเขตแห่งความพอเพียง" ได้ง่ายขึ้น

ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่า "ถ้าไม่มีความรักผู้อื่นเป็นตัวรองรับเอาไว้แล้ว
ระบบเศรษฐกิจใดๆ ก็ตามจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด และจะเป็นภัยกับมนุษย์มากที่สุด
และการเมืองจะกลายเป็นสิ่งเสนียดจัญไรที่สุด และถ้าหากปราศจากความรักผู้อื่น
ระบบทุกชนิดและองค์ความรู้ทุกชนิดก็จะนำไปสู่ การทำลายล้าง..."


แต่อะไรล่ะ ที่จะทำให้คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ เหล่านี้เป็นจริง เพราะอันที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็น "สิ่งใหม่"
แต่อย่างใดเลย มันเป็นสิ่งที่เคยพูดถึงแบบซ้ำๆ ซากๆ มานานแล้ว ถูกใช้เป็นศีลธรรมลำดับแรกสุด
ในศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้

ถูกนำไปใช้ในบทกวีเพื่อสันติภาพนับหมื่นๆ แสนๆ บท ถูกนำไปแต่งเป็นเนื้อร้องใน
บทเพลงนานาชนิด ถูกนำไปขยายเป็นวรรณกรรมแทบทุกภาษา ฯลฯ แต่มันก็ไม่สามารถทำให้
เส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์เปลี่ยนไปจากอดีตที่ผ่านมานับพันๆ ปี เรายังก้าวสู่โลกอนาคตภายใต้
เส้นทางวิวัฒนาการที่ซ้ำซากเช่นเดิม โดยปราศจากการนำเอาถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ว่านี้ไปบรรจุใน
บทวิเคราะห์ทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือในหนังสือพยากรณ์อนาคต ของบรรดานักโลกานิมิตยุคใหม่
แม้แต่บรรทัดเดียว
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #79 เมื่อ: กันยายน 06, 2006, 06:32:25 PM »

วันสิ้นยุคจุดเปลี่ยนแห่งวิวัฒนาการ?

เคยมีนักวิทยาศาสตร์บางราย ที่พยายามหาทางอธิบาย "ปมสัญชาตญาณลึกๆ"
ที่ทำให้มนุษย์จำนวนมากมีความหวั่นกลัวต่อการปรากฏตัวของ "ดาวหาง" มานับหมื่นๆปี
ด้วยการตั้ง "ทฤษฏีพิลึกกึกกือ" และฟังดูน่ากระอักกระอ่วนพอสมควร นั่นก็คือ การตั้งสมมุติฐาน
ขึ้นมาว่า ในขณะที่ต้นตระกูลมนุษย์ยังมีรูปร่างลักษณะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรูปร่างคล้าย "หนู"
ที่เรียกกันว่า "ไพรเมท" ได้เกิด "วันมหาวินาศของโลก" เมื่อดาวหางดวงหนึ่งพุ่งเข้าชนโลก
เมื่อประมาณ 65 ล้านปีที่แล้ว หรือในยุค "ครีเตซัส"

นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ตั้งคำถามเอาไว้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าบรรดาต้นตระกูลมนุษย์
ที่เป็น "ไพรเมท" อยู่ในขณะนั้น แล้วสามารถ "วิวัฒนาการ" เหลือรอดต่อมาได้
จะสามารถนำเอาเหตุการณ์วิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดฝังเอาไว้ใน "สัญชาตญาณส่วนลึกที่สุด"
และสัญชาตญาณเหล่านั้น สามารถส่งต่อมาถึงลูกหลาน "โฮมินิด" ที่กลายเป็นมนุษย์ในทุกวันนี้
ทฤษฏีนี้ อาจจะน่าหัวเราะมากกว่าจะเก็บมาคิดถึงความเป็นไปได้

แต่อย่างไรก็ตาม เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ทั้งหมดว่า "การเปลี่ยนแปลงระดับจิตใจของมนุษย์" นั้น
นอกเหนือไปจากการใช้ "เหตุผล" และ "ปัญญา" แล้ว "วุฒิภาวะ" จำนวนไม่น้อยของมนุษย์
ก็สามารถก่อเกิดขึ้นมาจากการผ่านประสบการณ์ที่หนักหนาสากรรจ์ได้เช่นกัน

นักปรัชญาชาวกรีกอย่าง "เพลโต" ก็เคยตั้งทฤษฏีชนิดหนึ่งขึ้น มาอธิบายพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์
เอาไว้ในลักษณะไม่ต่างจากกันมากนัก คือเขาเชื่อว่า พฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่เกิดมาในโลก
น่าจะเกี่ยวข้องกับ "ความทรงจำ" ในส่วนลึก ที่จำได้คลับคล้ายคลับคลามาจากสถานที่ไหนซักแห่ง
ที่มันสืบเนื่องต่อกันมาจากอดีต และเขาพยายามเรียกโลกแห่งความทรงจำที่ฝังอยู่ในสัญชาตญาณ
ส่วนลึกเหล่านั้นว่า "โลกแห่งแม่พิมพ์สมบูรณ์แบบ"

โลกเหล่านี้ จะมีอยู่จริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่

แต่มันก็เป็นเรื่องแปลก ที่ในยุคอดีตอันไกลโพ้นในขณะที่ "สงคราม" ยังไม่ได้ทวีความรุนแรง เหี้ยมโหด
น่าสยดสยองเท่ากับยุคหลังๆ มนุษย์ยุคโบราณจำนวนมากที่เป็นผู้ "ค้นพบวิทยาการความรู้" นานาชนิด
ไม่ว่าชาวอียิปต์ ชาวฮิบรู ชาวบาบิโลเนีย ชาวเปอร์เซีย ชาวอินเดีย ฯลฯ ต่างพยายามนำเอาวิทยาการ
ความรู้ไม่ว่าในด้าน คณิตศาสตร์ วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ดาราศาสตร์ ฯลฯ ไปใช้เพื่อ
"ค้นหาพระเจ้า" หรือ "ค้นหาความหมายในชีวิต" แทนที่จะนำมาใช้เพื่อความสุขสมบูรณ์ในชีวิตโลก

ชาวอินเดียจำนวนมากตั้งแต่กษัตริย์ พราหมณ์ ถึงชนชั้นผู้ยากไร้ ที่มี "สัญชาตญาณเบื้องลึก"
ทำให้เชื่อว่า "โลกนี้เป็นเพียงเวทีหรือสถานศึกษา...หาใช่ที่พำนักอันถาวรไม่" จึงได้สลัด
ความสุขสมบูรณ์ที่ตนเองมีอยู่ กลับไปค้นหาความรู้ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการสะสมแย่งชิง
หรือเบียดเบียนใครๆ ความพยายามค้นหาความรู้ในลักษณะนี้ ปราชญ์ทางพุทธศาสนาอย่าง
"ท่านพุทธทาสภิกขุ" เรียกว่า "วิทยาศาสตร์ในฝ่ายจิต" หรือกระบวนการค้นหาความรู้
เพื่อค้นหาความหมายในชีวิต

ในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านพุทธทาสที่ได้เผยแพร่เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
ชื่อว่า "นิพพาน" ท่านอธิบายเอาไว้ว่า
"เมื่อใดที่การค้นหาความรู้หนักไปทางฝ่ายวัตถุ ก็จะถึงจุดหมายปลายทางของฝ่ายวัตถุ
เช่นที่เห็นอยู่ในวิทยาศาสตร์แผนปัจจุบัน ซึ่งกำลังก้าวพรวดๆ ไป และเมื่อใดโลกพากัน
ค้นหาความรู้ในฝ่ายจิต ก็จะพากันบรรลุถึงจุดหมายปลายทางของฝ่ายจิต เช่นเดียวกับ
ยุคๆ หนึ่งที่ก่อเกิด พระอรหันต์ ซึ่งผ่านพ้นมาแล้ว แต่อย่างไรก็ดี แม้โลกนี้จะเป็นเด็กดื้อ
ดันทุรังไปสู่ฝ่ายวัตถุ เมื่อ เข็ดฟัน ก็จะย่อมหมุนกลับไปสู่ฝ่ายจิตในที่สุด"


แต่ในกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ต่อเนื่องมาในเส้นทางเดียวกันนับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว
ผ่านสงครามนานาชนิดที่รุนแรง ฉกาจฉกรรจ์ จนน่าจะเกิดอาการ "เข็ดฟัน" อย่างที่
ท่านพุทธทาสท่านนิยามเอาไว้มานานแล้ว แต่มันก็กลับไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น

พื้นฐานจิตใจในระดับที่ "สามารถรักผู้อื่นได้เหมือนกับรักตัวเอง" อันถือกันว่าเป็น
ระดับจิตใจขั้นพื้นฐานที่สุดของศีลธรรมในศาสนาทุกศาสนา มันไม่ได้เกิดการยกระดับได้อย่างทั่วถึง
มันยังไม่สามารถ "ฝังลึก" ลงไปในสัญชาตญาณได้เหมือนกับข้อสันนิษฐานพิลึกๆ ของนักวิทยาศาสตร์
บางรายในเรื่องความกลัวของมนุษย์ต่อการปรากฏตัวของดาวหาง หรือยิ่งนานวัน "ความทรงจำต่อโลก
แห่งแม่พิมพ์สมบูรณ์แบบ" มันก็ได้เลือนรางลงไปเรื่อยๆ

"การนองเลือดครั้งร้ายแรงที่สุด" ตามจินตนาการของนักโลกานิมิตยุคใหม่ อันเนื่องมาจาก
การก้าวกระโดดของโลกไปสู่ยุคอนาคต จะทำให้ "ผู้ที่ไม่ได้ถูกทำลายราบคาบลงไปทั้งหมด"
เป็นใคร? นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญมากนัก แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ
บรรดาผู้ที่เหลือรอดทั้งหลายเหล่านี้จะสามารถสร้าง "ความทรงจำในส่วนลึก"
จนเกิดระดับจิตใจแบบไหน? หรือจะไม่เกิดความทรงจำใดๆ ขึ้นมาเลย?

แต่สำหรับนักโลกานิมิตในฝ่ายศาสนานั้น นอกจากจะจินตนาการถึงโลกอนาคตที่สดใสยิ่งกว่า
นักโลกานิมิตยุคใหม่หลายเท่าแล้ว พวกเขายังมองว่า ก่อนความสดใสของโลกอนาคตจะบังเกิดขึ้น
"ระดับจิตใจ" ของมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ในโลกอนาคตจะถูกยกระดับขึ้นมาด้วย "ความทรงจำ"
ที่อาจจะมีพลังฝังลงไปในสัญชาตญาณได้ลึกที่สุด ก่อนจะเกิดยุค "โลกพระศรีอาริย์" นั้น
ในคัมภีร์พระไตรปิฏกได้กล่าวถึงช่วงเวลาช่วงหนึ่งที่ถูกเรียกว่า "สัตถันตรกัลปป์" หรือช่วงเวลาที่
มนุษย์จะถึงกาลพินาศด้วย "อาวุธ" หรือด้วย "ศัสตรา" พระไตรปิฏกเขียนไว้ว่า

"จะเกิดมีสัตถันตรกัลปป์ คือกัลปป์ที่อยู่ในระหว่างศัสตรา 7 วัน คนทั้งหลายจะมีความสำคัญ
ในกันและกันว่าเป็นเนื้อ(มิคสัญญี) จะมีศัสตราอันคมเกิดขึ้นในมือ ฆ่ากันและกันด้วยสำคัญว่าเป็นเนื้อ"

ในศาสนาฮินดูนั้น เมื่อถึง "กัลกียุค" พระวิษณุซึ่งอวตารลงมาเป็น "กัลกี" จะถือดาบในมือขวาและ
จะแกว่งดาบแห่งการทำลายล้างบรรดามนุษย์ที่เกิดความตกต่ำทางจิตใจในระดับที่ "สามานย์ที่สุด"

ในศาสนาคริสต์ ก่อนพระ "เมซิอาห์" จะเสด็จลงมา สงครามครั้งร้ายแรงที่สุดในโลกมนุษย์
จะเป็นสงครามในระดับที่เรียกกันว่า "วันสิ้นยุค" เมื่อปวงบรรดากษัตริย์มาชุมนุมทำสงครามกันที่
พื้นที่แห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า "อาร์มาเกดดอน"

จินตนาการของนักโลกานิมิตในศาสนา ถือเอา "สงครามครั้งที่ร้ายแรงที่สุด" หรือสงครามระดับ
"สงครามล้างโลก" นี่แหละ กลายเป็น "จุดเปลี่ยนแห่งวิวัฒนาการ" พระไตรปิฏกนั้นระบุไว้ว่า
หลังจากช่วง "สัตถันตรกัลปป์" ผ่านไปแล้ว "มีบุคคลบางคนหลบไปอยู่ในป่าดงพงชัฏ กินเหง้าไม้
ผลไม้ในป่า เมื่อพ้น 7 วันแล้ว ออกมาดีใจร่าเริงที่รอดชีวิต จึงตั้งใจทำกุศลกรรมละเว้นการฆ่าสัตว์
และบำเพ็ญกุศลกรรมละเว้นอกุศลกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"

ความเจริญมั่งคั่งทางวัตถุและจิตใจหลังจากนั้น กลายเป็นสภาพแวดล้อมที่รองรับการเสด็จมาของ
"พระผู้มีพระภาคผู้ทรงนามว่า เมตไตรย"

คำถามมีอยู่ว่า หรือเราจะต้องผ่านวิบัติการณ์ครั้งมหาวินาศอย่างถึงที่สุดจริงๆ หรือ?
เราถึงจะสามารถยกระดับจิตใจของเราได้ขึ้นสู่ระดับพื้นฐานขั้นแรกของศีลธรรมในศาสนา

หรือเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการวิวัฒนาการของเรา
เปลี่ยนวิธีในการใช้องค์ความรู้นานาชนิด ได้ด้วย "ปัญญา" และ "เหตุผล"
ด้วยการย้อนกลับไปทบทวนอดีต นำมาใช้เป็นบทเรียนในปัจจุบัน และวาดภาพอนาคต
ที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง แน่นอน มันจะเป็นแบบไหนก็ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับ "ระดับจิตใจ"
ของเราในขณะนี้นี่แหละ
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #80 เมื่อ: กันยายน 07, 2006, 11:28:02 AM »

ลิงค์ดาวน์โหลดวิดิโอ ทฤษฏีสมคบคิด 911 และ การสร้างรัฐตำรวจ

>>>Alex Jones - Martial Law 911 Full Documentary<<<

ดาวน์โหลดภายในวันที่ 21 กันยายน 2549 และ ต้องใช้ ADSL เท่านั้น

>>>Loose Change 2nd Edition<<<

Loose Change 2nd Edition เป็นวิดิโอวิเคราะห์เกี่ยวกับ 11 กันยายน 2001 ว่า

1. ไม่มีเครื่องบินชนตึกเพนตากอน แต่เป็นการระเบิดเพราะโดนขีปนาวุธร่อนของอเมริกาเอง เช่น โทมาฮอว์ค
2. เที่ยวบินที่ 93 ที่ตกแถบเพนซิลวาเนียก็ไม่มีการตกจริง แต่เป็นการยิงขีปนาวุธไปตกเหมือนกัน
3. เครื่องบิน 2 ลำที่ชนตึกเวิล์ดเทรดถูกบังคับด้วยรีโมทให้ชนตึก
4. ตึกเวิล์ดเทรดไม่ได้ถล่มลงมาเพราะน้ำมันจากเครื่องบินเจ็ท แต่มีการฝังระเบิดไว้ที่โครงสร้างของตึก
เพื่อให้ถล่มลงมาตรงๆ เหมือนกับที่ บริษัทรับทำลายตึกเพื่อสร้างใหม่ในอเมริกาใช้กัน
5. ตึกหมายเลข 7 ในกลุ่มตึกของเวิล์ดเทรดก็เหมือนกับข้อ 4 เพราะเป็นที่เก็บเอกสารของหน่วยงานลับของรัฐบาล
6. ผู้โดยสารบนเครื่องอาจจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนจริงก็ได้ ถ้ามีตัวตนจริงบนเครื่องบินที่ชนตึกเวิร์ดเทรด
ก็อาจจะบินไปลงที่แคนาดาและกักตัวให้อยู่ที่นั่นถาวรเพราะตอนเกิดเหตุแคนาดาเปิดน่านฟ้าให้เครืองบินอเมริกาไปลง


เหตุผล(อาจจะมีมากกว่านี้เยอะ)คือ

1. อเมริกากำลังมีปัญหาเรื่องการล่มสลายของค่าเงินดอลลาร์
2. เพื่อผลักดันให้สภาและชาวอเมริกัน ยอมรับในการส่งกองกำลังไปรุกรานอัฟกานิสถานและอิรักได้ง่าย
โดยอ้างเรื่องการก่อการร้ายเพื่อควบคุมแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง
รวมทั้งแทรกแซงประเทศอื่นโดยใช้ข้ออ้างการก่อการร้ายด้วยเช่นกัน
3. การถล่มของตึกเวิล์ดเทรดและตึก 7 เพราะต้องการเคลียร์พื้นที่ให้กลุ่ม SILVERSTIEN ทำสัญญา 99 ปี
ในการเช่าทำประโยชน์ (เหมือนกับไทยที่พยายามออกกฏหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีระยะเวลาเช่า 99 ปี)
ฯลฯ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2006, 10:29:03 AM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #81 เมื่อ: กันยายน 08, 2006, 10:25:40 AM »

26 TOP ANOMALIES SURROUNDING THE EVENTS OF 9/11
- Powerpoint Notes


Do you think the Bush administration was telling the truth about 9/11?
If so, how do you explain the following anomalies?
by Ian Woods, Publisher/Editor - Global OutlookTM - Contact: editor@globaloutlook.ca

THE DAY OF SEPTEMBER 11, 2001
01. Bush’s Puzzling Reaction
- Why did Bush just sit there in the 2nd grade classroom reading for 25 minutes?
02. No Immediate Jet Scramble
- Why was Flight 77 not intercepted after 1 hr 45 minutes of flying off course?
03. Collapse of the Twin Towers
- Could this be the first time ever that a steel skyscraper has collapsed due to fire?
04. Collapse of the Twin Towers
- How can the ‘Pancake Theory’ account for lower floors resistance at 10.4 seconds?
05. Collapse of the Twin Towers
- Why does the thermal data indicate ‘hot spots’ weeks after their collapse?
06. Mysterious Collapse of Building 7
- Why did Building 7 come down if no airplane hit it, nor any debris fell on it?
07. Attack on the Pentagon - Flight 77
– Why was there so little damage done and such a small amount of debris?
08. Attack on the Pentagon - Flight 77
- Why has the Pentagon only released 5 frames out of all the video tapes?
09. Flight 93 Crashed in Pennsylvania
- Why was crash debris so small and spread out over a 5 mile swath?


THE BACKGROUND
10. Intelligence Warnings
- Why did Bush ignore an unprecedented # of intelligence warnings 3 months prior to 9/11?
11. Intelligence Warnings
- Why did the FBI & CIA ignore Agents C. Rowley, Kenneth Williams & Robert Wright?
12. Precedents - the 1993 WTC Car Bombing
- Why did the FBI Agent John Anticev pay Edam Salem $1.5M?
13. 9/11 and the War Agenda
- What is the Project for a New American Century? (www.newamericancentury.org)
14. History of War-triggering Deceptions
- Why was Bush Sr. not incarcerated for the 1991 Incubator Baby Scam?
15. History of War-triggering Deceptions
- Why did FDR knowingly let the Japanese attack Pearl Harbor (1941)?
16. History of War-triggering Deceptions
- Has the military been planning another Operation Northwoods (1962)?
17. Al Qaeda and the Intelligence Ploy
- Why didn’t CIA arrest bin Laden in Dubai (July) & Rawalpindi (Sep 10)?
18. Al Qaeda and the Intelligence Ploy
- Why was J. Michael Springmann issuing US visas to Saudi terrorists?
19. Al Qaeda and the Intelligence Ploy
- Why did Pakistan’s ISI air-lift Al Qaeda to safety Nov 2001 - Jan 02?
20. Al Qaeda and the Intelligence Ploy
- Why was the 9/11 Money Man (Gen. Mahmoud) visiting DC on Sep 4-13?
21. The Bush and Bin Laden Family Ties
- Why was Bush Sr. meeting bin Laden’s brother at the Ritz on 9/11?


THE AFTERMATH
22. Manufacturing Terror
- How did anthrax produced at an American weapon’s lab end up on T. Daschle’s desk?
23. Installing a Police State
- Why would they pass the PATRIOT Act before everyone had a chance to read it?
24. The Coverup
- Why was key evidence for the WTC site and Pentagon destroyed by the US Government?
25. Investigative Commissions
- Why did it take 411 days to form the 9/11 Commission when others took 7 days?
26. The Motives - Profits of Death: Financial Scams
- Why was there1200% more ‘puts’ on UA & AA on 9/11?
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #82 เมื่อ: กันยายน 08, 2006, 01:21:53 PM »

ดาวน์โหลดภายในวันที่ 21 กันยายน 2549 และ ต้องใช้ ADSL เท่านั้น

David Kay - The Big Lie - 911 and the Government's Complicity in Mass Murder

>>>David Kay - The Big Lie - 911 and the Government's Complicity in Mass Murder<<<

PNAC - Project for the New American Century

>>>PNAC - Project for the New American Century<<<

Photo Archive

>>>Photo Archive<<<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 09, 2006, 10:08:02 AM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #83 เมื่อ: กันยายน 08, 2006, 10:43:27 PM »

ฐานทัพใต้มหาสมุทร

ทุกคนต่างก็สงสัยว่าอะไรที่ทำให้เบอร์มิวดากลายเป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง?
และ "เรา" ไม่ใช่คนเพียงกลุ่มเดียวที่สนใจในความลึกลับของมัน ที่ก้นบึ้งของมหาสมุทรบริเวณนี้
มี "ฐานทัพ" ขนาดใหญ่มหึมาซ่อนอยู่ อยากจะรู้ไหมล่ะครับว่า พวกเขาเป็นใคร? และกำลังทำอะไรกัน?

พื้นที่ 51 แห่งคาริบเบียน

เราก็คงจะทราบกันดีอีกเช่นกันว่า พื้นที่ 51 (AREA 51) นั้นเป็นฐานทัพทหารของกองทัพสหรัฐฯ
ที่สร้างขึ้นมาโดย CIA เพื่อทำการทดลองเครื่องบินจารกรรม (Stealth Plane) และยิ่งไปกว่านั้น
มันยังเป็นสถานที่ใช้ศึกษาและวิจัยยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ถ้าพื้นที่ 51 เป็นพื้นที่ที่มีระบบ
รักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด และลึกลับที่สุดบนพื้นโลกแล้วละก็ คงจะไม่ผิดนักถ้าเราจะเรียก
พื้นที่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาว่า (พื้นที่ 51 แห่งแคริบเบียน)

ฐานทัพใต้ทะเลแห่งนี้มีชื่อจริงที่พ่อ-แม่ตั้งให้ว่า
The Atlantic Undersea Test and Evaluation Center หรือศูนย์ทดลองและพัฒนาใต้ทะเลแอตแลนติก

ส่วนชื่อเล่นก็คือ AUTEC หรือ ออเทค มันถูกสร้างขึ้นบน เกาะแอนดรอส

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะบาฮามาส์ ในทะเลแคริบเบียน เมื่อราว 30 ปีก่อน สิ่งที่ ออเทค
ทดลองและพัฒนาก็คือ อาวุธสงคราม

ที่ ออเทค มาตั้งฐานทัพที่นี่ก็เพราะว่าเกาะแอนดรอส อยู่ใกล้กับ "ลิ้นของมหาสมุทร"
(The Tongue of the Ocean) หรือที่มีชื่อย่อว่า "โตโต" (TOTO)

โตโต เป็นแอ่งน้ำที่มีความลึกมาก ที่แห่งนี้มีขนาดยาวประมาณ 110 ไมล์ทะเล (204 กิโลเมตร)
กว้าง 20 ไมล์ทะเล (37 กิโลเมตร) และลึกราว 700-1,100 ฟาทัม (1,280-2,012 กิโลเมตร)

จริงอยู่ที่ ออเทค เป็นศูนย์บัญชาการที่มีขนาดเพียงแค่ 1 ตารางไมล์เท่านั้นเองจากที่เราเห็น
บนเกาะแอนดรอส แต่อย่าลืมว่ามันถูกล้อมรอบด้วย "ลิ้นของมหาสมุทร" ที่เรามองไม่เห็นซึ่งมีพื้นที่
ทั้งหมดถึง 1,670 ตารางไมล์ และมีข่าวลือกันอย่างหนาหูว่า ออเทค มีการรักษาความปลอดภัย
อย่างเข้มงวดไม่แพ้ "พื้นที่ 51" ตัวจริงที่อยู่ในรัฐเนวาดา นี่ขนาดตั้งอยู่กลางมหาสมุทร
ยังมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ผมว่ามันก็ไม่ธรรมดาซะแล้วละ ในปี ค.ศ. 1997
มีพรานล่านกเป็ดน้ำหลงเข้าไปใน "เขตหวงห้าม" ระหว่างนั้นเองพวกเขาก็เจอกำแพงต้นไม้
ที่หนาแน่นผิดปกติ ทันใดนั้นเองพวกเขาก็ถูก "อัด" ที่ท้องและถูกบังคับให้นอนราบลงกับพื้น!

เหล่านายพรานที่โชคร้าย รู้แทบในทันทีว่าเจ้ากำแพงต้นไม้ที่พวกเขาพบนั้นเป็น ต้นไม้ปลอม
ที่ใช้พรางค่ายทหาร ทหารอีกกลุ่มหนึ่ง "แหวก" กำแพงต้นไม้ออกมา "หิ้ว" พวกเขาเข้าไปในค่าย
จากนั้นพวกเขาก็ถูกจับเข้ากรงขัง หลายชั่วโมงต่อมาก็มีทหารมาไขกุญแจห้องขังให้และบอกว่า
พวกเขาเชื่อว่า พวกนายพรานไม่มีเจตนาที่จะบุกรุกเข้ามาในเขตหวงห้าม จึงปล่อยตัวพวกเขาไป

มีหลายคนอ้างว่า ได้เห็นวัตถุบินลึกลับบินอยู่บริเวณเกาะแอนดรอสบ่อยครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งที่พบนั้น
มันจะโชว์ลีลาการบินที่คุณจะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันสามารถหักเลี้ยวเป็นมุมแคบแบบเฉียบพลัน
ได้โดยทันทีทันใดดั่งใจนึก ครั้งหนึ่งขณะที่นักธุรกิจชาวเวียดนามคนหนึ่งกำลังแล่นเรือยอชท์
อยู่บริเวณชายฝั่งของเกาะแอนดรอส เขาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างซึ่งเขาคิดว่าเป็นปลาวาฬ
อยู่ห่างจากเขาไปราว 2 ไมล์

แต่เมื่อเขาแล่นเรือเข้าไปใกล้ราวครึ่งไมล์ เขาก็พบว่ามันไม่ใช่ปลาวาฬ แต่กลับเป็น "สิ่งประดิษฐ์"
บางอย่างที่มีรูปร่างลักษณะที่ล้ำสมัยมาก ทันใดนั้นเองมันก็ออกตัวไปด้วยความเร็วชนิดที่เรียกว่า
"เร็วchipหาย" ไปบนผิวน้ำฝ่าคลื่นลูกใหญ่และหายวับไปต่อหน้าต่อตา

รูหนอน

ดร. ไมเคิล ไพรซิงเกอร์ (Dr. Michael Preisinger) นักประวัติศาสตร์และนักประดาน้ำชาวเยอรมัน
ได้ถูกบริษัทที่เขาทำงานอยู่ส่งตัวมาทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนการดำน้ำให้กับลูกค้าที่เมือง นาส์ซอ
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของบาฮามาส์ ดร.ไมเคิล และครอบครัวได้เดินทางมาที่บาฮามาส์ในปี ค.ศ. 1995

ลูกค้าของ ดร.ไมเคิล ก็คือ เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่ของสายการบินต่างๆ ของประเทศเยอรมัน พวกเขามาฝึก
การดำน้ำแบบสกูบา (Scuba Diving) เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาโปรแกรมท่องเที่ยวของสายการบิน
ระหว่างที่ ดร.ไมเคิล พาลูกค้าของเขานั่งเรือไปยังจุดที่จะทำการฝึกสอนลูกค้าหลายคนได้บอกว่า
เข็มทิศของพวกเขามีปัญหา มันชี้มั่วไปหมดจนไม่รู้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ด้วยความเป็นนักประวัติศาสตร์
ดร.ไมเคิล ก็ได้ทำการจดบันทึกตำแหน่งของเรือตอนที่เข็มทิศมีอาการผิดปกติ โดยหวังว่าวันหนึ่ง
เขาจะกลับมาหาข้อพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้


ดร.ไมเคิล ก็กลับมาที่นั่นจริงๆ เขาพบว่าเข็มทิศของเขาชี้มั่วเหมือนกับที่ลูกค้าเขาบอก
ดร.ไมเคิลไม่เข้าใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเข็มทิศ และอะไรเป็นสาเหตุให้มันเป็นเช่นนั้น
เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ จนกระทั่งหลายเดือนต่อมาเขาได้นำปัญหานี้ไปปรึกษากับ
นักฟิสิกส์หลายคนทั่วโลกและก็มีนักฟิสิกส์ท่านหนึ่งได้ให้ข้อสังเกตว่า สิ่งเดียวที่สามารถทำให้
เข็มทิศผิดปกติได้คือ "รูหนอน" (Wormhole)


"รูหนอน" นี้ก็เหมือนกับ "หลุมดำ" (Black hole)


คือ มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับสลายไป แล้วก็เกิดใหม่ แล้วก็ดับไป เวียนว่ายไปไม่มีที่สิ้นสุด
ผมจะขอธิบายการทำงานของ "รูหนอน" แบบง่ายๆ โดยให้คุณนำกระดาษมาหนึ่งแผ่น
ซึ่งสมมุติว่าเป็นพื้นโลก จากนั้นให้คุณวาดจุดลงบนปลายกระดาษด้านบนหนึ่งจุด และด้านล่างหนึ่งจุด
โดยให้ชื่อว่าจุด A และจุด B เสร็จแล้วให้งอกระดาษเป็นรูปตัวยู (U) เอาละครับทีนี้สมมุติว่า
เราจะเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B เราก็ต้องเดินทางไปตามผิวโลก(แผ่นกระดาษ) แต่ถ้าหาก
ระหว่างจุด A และจุด B เกิดปรากฏการณ์ "รูหนอน" เราก็สามารถที่จะเดินทางผ่าน "รูหนอน"
จากจุด A มายังจุด B ได้โดยที่ใช้เวลาน้อยกว่ามาก

ทฤษฏีหลุมฟ้า

ร็อบ พลาเมอร์ (Rob Palmer) นักประดาน้ำระดับโลกชาวอังกฤษ

ผู้อำนวยการมูลนิธิหลุมฟ้า (The Blue Holes Foundation)


ได้ศึกษาเรื่องถ้ำประหลาดที่เขาพบใต้มหาสมุทร ร็อบเชื่อว่าถ้ำประหลาดเหล่านั้นเป็นทางเชื่อมต่อ
ระหว่างมิติที่พวกมนุษย์ต่างดาวใช้ในการเดินทาง ร็อบกล่าวว่า บริเวณหมู่เกาะบาฮามาส์ นี้
เต็มไปด้วยหินปูนขนาดใหญ่ ซึ่งหินปูนนี้เองที่เป็นตัวการในการก่อกำเนิดถ้ำ และจากการที่ไม่มี
แม่น้ำไหลผ่านบนเกาะจึงทำให้บรรดาหินปูนก่อตัวกันขึ้นเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ และยาวขึ้นเรื่อยๆ
จนบางครั้งมันกินเนื้อที่ลงไปในใต้น้ำเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร

การขาดแคลนน้ำจืดบนหมู่เกาะบาฮามาส์ ทำให้ถ้ำเหล่านี้ก่อตัวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จนบางครั้งมันถึงกับพังครืนลงมาเพราะรากฐานของถ้ำไม่สามารถรับน้ำหนักของมันได้
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่น้ำในมหาสมุทรมีระดับต่ำมากเช่น ในช่วง ยุคน้ำแข็ง (Ice age)
บางครั้งการถล่มของถ้ำได้เกิดต่อเนื่องขึ้นมาจนถึงตัวถ้ำที่อยู่บนพื้นเกาะ และในช่วงนี้เอง
ที่ทางเข้าถ้ำใต้พิภพได้ก่อตัวขึ้น

เมื่อน้ำในมหาสมุทรมีปริมาณมากขึ้น บรรดาถ้ำเหล่านี้ก็จมอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ปากถ้ำส่วนใหญ่
จะจมอยู่ใต้ทะเลสาบบนเกาะหรือไม่ก็จมอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า แนวปะการังรอบๆ เกาะ (Barrier Reef)
ปากทางเข้าถ้ำใต้พื้นน้ำนี่เองที่ร็อบเรียกมันว่า "หลุมฟ้า"

"หลุมฟ้า" มีอยู่เป็นจำนวนมากรอบๆ หมู่เกาะบาฮามาส์ โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นลิ้นของมหาสมุทร

"หลุมฟ้า" เหล่านี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อราวปลายทศวรรษที่ 1950 โดย จอร์จ เบนจามิน
(George Benjamin) นักประดาน้ำชาวแคนาดา ได้มาดำน้ำสำรวจถ้ำใต้น้ำเหล่านี้ รอบๆ เกาะแอนดรอส
ซึ่งทำให้ผู้คนก็เริ่มรู้จักถ้ำประหลาดใต้น้ำ และเรียกมันว่า "หลุมฟ้าของเบนจามิน" (Benjamin's Blue Hole)

ภายในถ้ำยังมีช่องเล็กช่องน้อยนำเข้าไปสู่ถ้ำอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ในถ้ำใหญ่ จอร์จได้ดำน้ำสำรวจถ้ำใต้น้ำเหล่านี้
ไปจนกระทั่งที่ระดับความลึก 300 ฟุต และจากภาพยนตร์ที่เขาได้บันทึกเอาไว้ ทำให้ผู้คนเริ่มรู้จัก
ถ้ำใต้น้ำในบาฮามาส์ แต่การสำรวจของจอร์จได้สิ้นสุดลงในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970
เนื่องจากเพื่อนที่ร่วมเดินทางสำรวจถ้ำคนหนึ่งเสียชีวิตภายในถ้ำใต้น้ำบริเวณ "ลิ้นของมหาสมุทร"
ที่พวกเขากำลังสำรวจอยู่นั่นเอง



ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ก็มีนักประดาน้ำชาวอเมริกันชื่อ เช็ก เอ็กซ์เลย์ (Sheck Exley)
ได้พบถ้ำใต้น้ำที่มีความยาวถึง 8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นถ้ำใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลก และอีก 10 ปีต่อมา
มันก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "อุทยานแห่งชาติลูคายัน" (Lucayan National Park)
ส่วน ร็อบ พลาเมอร์ ได้เริ่มมาสำรวจถ้ำใต้น้ำเมื่อปี ค.ศ. 1981 เขาได้พบถ้ำใต้น้ำอีกจำนวนมาก
อีกทั้งเขายังพบสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่บรรดานักวิทยาศาสตร์คิดว่ามันสูญพันธ์ไปแล้วเมื่อ 150 ล้านปีก่อน



วันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 ร็อบและเพื่อนร่วมทีมอีก 3 คน เดินทางไปสำรวจถ้ำใต้น้ำ
ในทะเลแดงที่ประเทศ อียิปต์

เมื่อเรือแล่นไปถึงจุดที่ร็อบจะดำสำรวจถ้ำใต้น้ำ เขาก็ทิ้งตัวลงจากเรือดำดิ่งไต่ความลึกลง
ตรงไปยังถ้ำใต้น้ำทันที เพื่อนร่วมทีมของเขาประหลาดใจที่ ร็อบ ทำเช่นนั้น เพราะโดยปรกติแล้ว
นักประดาน้ำจะว่ายน้ำจากเรือไปยังตำแหน่งของถ้ำใต้น้ำเรียกว่า "กำแพง" แล้วจึงค่อยดำลงไป

ทั้งๆ ที่ยังแปลกใจไม่หาย เพื่อนร่วมทีมทั้ง 3 คนก็รีบดำน้ำตาม ร็อบ ลงไป หนึ่งในนั้นตามไปถึง
แค่เพียงระดับความลึก 64 เมตรก็กลับ ส่วนอีก 2 คนที่เหลือยังคงดำน้ำตาม ร็อบ ไปจนถึงที่
ระดับความลึก 99 เมตรก็ยังไม่สามารถตามร็อบไปได้ทัน ทั้ง 2 คนจึงตัดสินใจกลับสู่ผิวน้ำ
ส่วนร็อบก็ยังคงดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ

เพื่อนๆ ได้รอคอยการกลับมาของ ร็อบ อยู่บนเรือเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่เขาก็ไม่ได้กลับขึ้นมาอีกเลย
อะไรเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของ ร็อบ นั้นยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่มีใครตอบได้ว่า
ทำไมร็อบจึงตัดสินใจดำน้ำดิ่งตรงจากเรือ แทนที่จะค่อยๆ ว่ายน้ำไปยังจุดที่ต้องการก่อน

ดร.ไมเคิล เชื่อว่า ร็อบ พลาเมอร์ ถูก "สั่งเก็บ" โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะว่า
เขาเป็นอันตรายต่อความลับใต้ท้องมหาสมุทรในบาฮามาส์ ที่รัฐบาลพยายามปกปิด
เขาอาจโดนสะกดจิตให้ทำในสิ่งที่ต้องคร่าชีวิตเขาเอง หรือไม่ก็มีการปรับแต่ง
อุปกรณ์ประดาน้ำของเขา เนื่องจาก ดร.ไมเคิล เชื่อว่า "หลุมฟ้า" ที่ ร็อบ ทำการสำรวจนั้น
เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการเกิด-ดับของ "รูหนอน"

มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะหาข้อมูลของ "ออเทค" หรือ "พื้นที่ 51 แห่งแคริบเบียน"
เนื่องจากมันตั้งอยู่กลางมหาสมุทร แถมทั้งยังกินพื้นที่ลงไปใต้พื้นมหาสมุทรอีกด้วย
แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ทำไมฐานทัพสหรัฐฯ จึงมักจะไปตั้งอยู่ในบริเวณที่ลับหูลับตาผู้คน
และมักจะมีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับในบริเวณฐานทัพเหล่านั้นเสมอ
บันทึกการเข้า
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #84 เมื่อ: กันยายน 08, 2006, 11:18:07 PM »

   อ่านแล้วสะดุด..." ร็อบ พลาเมอร์ " โดนสะกดจิต..ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง "พลังจิต " ที่ทั้ง สหภาพโซเวียตฯ (ชื่อสมัยนั่น ) และ อเมริกา ได้ค้นคว้า ซึ่งตอนที่ผมอ่าน มิติที่ 4 พอได้อ่านมาบ้างแต่ไม่เจาะลึกเท่าข้อมูลต่างๆที่  คุณ narongt นำมาเสนอ...ถ้ามีโอกาส ..คงต้องขอรบกวนด้วยครับ.. ขอบคุณมากครับ.. Smiley Smiley

  หมายเหตุ : ผมเก็บหัวข้อนี้ ไว้ใน Favoritesด้วยครับ...เผื่อนานๆไปอยู่หน้าอื่น จะได้ไม่ต้องตามหาครับ.. Wink
บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
M 60 - 7 รักในหลวง
๗๗๖๙ "จับตาทุกความเคลื่อนไหว เฝ้าฟังทุกคำพูดของผู้คิดร้ายทำลายชาติ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1562
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2569



« ตอบ #85 เมื่อ: กันยายน 09, 2006, 01:24:55 AM »

ตอนแรกอ่านชื่อกระทู้เป็นทฤษฎีคบสมคิด น่ะครับ
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #86 เมื่อ: กันยายน 09, 2006, 10:10:57 AM »

   อ่านแล้วสะดุด..." ร็อบ พลาเมอร์ " โดนสะกดจิต..ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง "พลังจิต " ที่ทั้ง สหภาพโซเวียตฯ (ชื่อสมัยนั่น ) และ อเมริกา ได้ค้นคว้า ซึ่งตอนที่ผมอ่าน มิติที่ 4 พอได้อ่านมาบ้างแต่ไม่เจาะลึกเท่าข้อมูลต่างๆที่  คุณ narongt นำมาเสนอ...ถ้ามีโอกาส ..คงต้องขอรบกวนด้วยครับ.. ขอบคุณมากครับ.. Smiley Smiley

  หมายเหตุ : ผมเก็บหัวข้อนี้ ไว้ใน Favoritesด้วยครับ...เผื่อนานๆไปอยู่หน้าอื่น จะได้ไม่ต้องตามหาครับ.. Wink

ได้ตามคำขอครับ แต่อาจจะมีข้อมูลไม่เยอะเท่าไหร่!

เก็บได้ตามสบายเลยครับ และอย่าลืมดาวน์โหลดไฟล์ไปดูนะครับน่าสนใจมั่กๆ
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #87 เมื่อ: กันยายน 09, 2006, 10:11:59 AM »

ตอนแรกอ่านชื่อกระทู้เป็นทฤษฎีคบสมคิด น่ะครับ

ทักษินเลิกคบไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ! อิ อิ
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #88 เมื่อ: กันยายน 10, 2006, 03:28:55 PM »

Bohemian Grove (ลัทธิซาตาน)


Bohemian Grove เป็นที่ตั้งค่ายพักแรมกลางป่ามีเนื้อที่ขนาด 2700-เอเคอร์ (11 ตารางกิโลเมตร)
อยู่ที่ 20601 Bohemian Ave, Monte Rio, California 95462 เป็นส่วนหนึ่งของที่ตั้ง
คลับศิลปะลับๆของกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งในซานฟรานซิสโกที่รู้จักกันในนาม Bohemian Club
http://sociology.ucsc.edu/whorulesamerica/power/bohemian_grove.html

http://maps.google.com/maps?ie=UTF8&z=15&ll=38.467753,-123.00175&spn=0.01633,0.028925&om=1
ทุกๆปี (นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899) Bohemian Grove จะถูกใช้เป็นที่พักประมาณ 2-3 สัปดาห์
เริ่มต้นในกลางเดือนกรกฏาคม ของกลุ่มผู้ชายบางกลุ่มที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก



สมาชิกของ The Bohemian Club มีทั้ง ศิลปิน, นักดนตรีระดับโลก, ผู้นำทางธุรกิจอันดับต้นๆของโลก,
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล (รวมทั้งประธานาธิบดีบางคน), และผู้บริหารธุรกิจสื่อสารมวลชนอาวุโส
เงื่อนไขในการรับสมาชิกของคลับ มีการรายงานว่า มีคนที่รอคอยการพิจารณาอยู่ในลิสต์เพื่อสมัครสมาชิก
นานถึง 15-20 ปี คิดว่าเร็วที่สุดที่เป็นไปได้ในกระบวนการสมัครสมาชิกก็น่าจะประมาณ 3 ปี
ผู้ที่หวังจะได้เป็นสมาชิกใหม่ต้องได้รับการรับรองจากผู้ที่เป็นสมาชิกอยู่แล้วจำนวน 2 คน
มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษา

หลังจากที่เป็นสมาชิก 40 ปี ผู้ชายจะได้รับสถานะ "Old Guard" (เทียบเท่าราชองครักษ์หรือรัฐบุรุษ)
ซึ่งจะได้รับอภิสิทธิ์จัดที่นั่งให้เป็นพิเศษในการพูดคุยอย่างสง่าผ่าเผยในทุกๆ วัน สมาชิกอาจจะเชิญแขก
ส่วนตัวเข้ามาในกลุ่มได้ จะเป็นใครก็ได้แต่มีกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มงวดกวดขัน แขกรับเชิญมาจาก
ทั้งในอเมริกาและต่างประเทศ

คำขวัญของกลุ่มคือ "Weaving Spiders Come Not Here" อันซึ่งบอกเป็นนัยว่า
เกี่ยวกับเรื่องภายนอกและการตกลงกันทางธุรกิจให้ปล่อยทิ้งไว้ข้างนอก อย่างไรก็ตามมีหลักฐานที่ยืนยันว่า
การตกลงกันทางการเมืองและธุรกิจ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นจาก ณ. ที่แห่งนี้ ที่นี่ยังเคยเป็นที่วางแผนโครงการ
ที่มีชื่อเสียงมากโครงการหนึ่งนั่นก็คือ โครงการแมนฮัตตัน ในเดือนกันยายน 1942 อันซึ่งนำไปสู่การสร้าง
ระเบิดนิวเคลียร์ ในภายหลัง

โครงการนี้ผู้ที่รับผิดชอบนอกจาก เออร์เนสท์ ลอว์เรนซ์ (Ernest Lawrence) และเจ้าหน้าที่ทางการทหารแล้ว

ยังรวมถึง ประธานของมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด และ ผู้แทนของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมัน และ กลุ่ม จีอี

พิจารณาจากอดีตที่ผ่านมา

The Bohemian Club เป็นคลับที่เป็นความลับ สมาชิกของคลับเท่านั้น(เรียกกันว่า "Bohos")
และ แขกรับเชิญของพวกเขาที่อาจจะได้เข้ามาในคลับนี้ แขกเหล่านี้เท่าที่เคยรู้มีทั้ง นักการเมือง,
คนที่มีชื่อเสียงจากภายนอกประเทศอเมริกา ระหว่างกลางฤดูร้อนที่มีการเข้ามาพัก จำนวนของ
แขกรับเชิญถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ด้วยข้อจำกัดของสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีจำนวนไม่มาก
แต่กระนั้น ก็เคยมีรายงานว่ามี สมาชิกและแขกรับเชิญถึง 1,500 คนที่เข้ามาพักในการประชุมประจำปี

รายชื่อ สมาชิกและแขกรับเชิญ ในการประชุมประจำปีของคลับ ถูกเก็บเป็นความลับ
แต่นักค้นหาได้อุทิศเวลาในการค้นหาโดยเข้าไปถึงคนบางคนในกลุ่มนี้
(ดูที่ Peter Martin Phillips' Dissertation,
http://libweb.sonoma.edu/regional/faculty/phillips/bohemianindex.html
Kerry Richardson
http://www.sonic.net/~kerry/bohemian/
and Joel van der Reijden's
http://home.planet.nl/~reijd050/organisations/Bohemian_Grove.htm
comprehensive Membership List เพื่ออ้างอิงต่อรายชื่อเหล่านี้)
จากข้อมูลแหล่งต่างๆ, การรายงาน, พิจารณาจากอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งปัจจุบัน
โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้ที่ได้เคยเข้าไปร่วมประชุม

ผู้ดำเนินการปัจจุบัน:
George W. Bush


Dick Cheney


Donald Rumsfeld


Karl Rove


อดีตประธานาธิบดีอเมริกัน:
George Herbert Walker Bush


Bill Clinton


Ronald Reagan


Jimmy Carter


Gerald Ford


Richard Nixon


Dwight D. Eisenhower


Harry S. Truman


Herbert Hoover


Calvin Coolidge


William Howard Taft


Theodore Roosevelt


พร้อมด้วยบุคคลเหล่านี้:
Jeb Bush


Henry Kissinger


George P. Shultz


Earl Warren


Robert F. Kennedy


David Rockefeller

David Rockefeller, Jr.

Nelson Rockefeller


James Wolfensohn


Alan Greenspan


Paul Volcker

Colin Powell


Jack Welch


David Packard

Riley P. Bechtel

Henry Ford II


Prince Philip, Duke of Edinburgh


John Major


Helmut Schmidt


Lee Kuan Yew


James Baker


Newt Gingrich


Arnold Schwarzenegger


Robert Novak

Malcolm Forbes

David S. Broder

Neil Armstrong


Mark Twain


Francis Ford Coppola


Charlton Heston


Clint Eastwood


Walter Cronkite
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 11, 2006, 12:45:16 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #89 เมื่อ: กันยายน 11, 2006, 02:40:54 PM »

สายลับพลังจิต

ซีไอเอ มักจะมี "อาวุธลับ" ประหลาดๆ อยู่เสมอ "สายลับพลังจิต" ก็เป็นหนึ่งในอาวุธลับที่ "ซีไอเอ"
แอบซ่อนไว้ใช้งานเวลาที่เข้าตาจนไม่สามารถที่จะใช้วิธีการตามแบบปรกติได้ "สายลับพลังจิต"
เป็นใครและพวกเขาทำงานกันอย่างไร

คาดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มศึกษาเรื่องการติดต่อสื่อสารโดยพลังจิตหรือที่เรานิยมเรียกกันย่อๆ ว่า
อีเอสพี (ESP - Extra-sensory perception) อย่างเป็นจริงเป็นจังก็ในราวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อมีข่าวกรองระบุว่า จอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้วางแผนการรบโดยอาศัยคำแนะนำของ
นักไสยศาสตร์ และนายแพทย์ทัศนา(หมอดู) ด้วยความกลัวว่าจะตกเป็นรองเยอรมันในการทำสงคราม
สหรัฐฯ จึงได้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นเพื่อการศึกษาและวิจัยการใช้พลังจิต

เริ่มโครงการ

ในปี ค.ศ. 1952 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้รับรายงานว่า มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเอา "พลังจิต"
มาใช้เป็นอาวุธสงคราม ทำให้มีการศึกษา ค้นคว้ากันมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1962
มีรายงานการวิจัยฉบับหนึ่งไปเตะตาหัวหน้าหน่วยให้บริการทางเทคโนโลยีของซีไอเอ เข้าให้จังเบ้อเร่อ
เขาก็เลยติดต่อไปยัง สตีเฟ่น ไอ แอบรัมส์ (Stephen I.Abrams) ผู้อำนวยการห้องทดลองค้นคว้าพลังจิต
ของมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ในประเทศอังกฤษ สตีเฟ่นจึงได้ทดลองเรื่องการใช้พลังจิตภายใต้การอุปถัมภ์
ของโครงการ อัลทรา (ULTRA) ซึ่งเป็นโครงการลับโครงการหนึ่งของซีไอเอ ที่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับ
เรื่องพลังจิต

ซีไอเอ ได้เคยทำการทดลองใช้สารเสพติด เพื่อควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ การทดลองนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง
ของโครงการอัลทรา ที่มีชื่อเรียกว่า โครงการเอ็มเคอัลทรา (MKULTRA) โครงการอัลทรา ได้ถูกซอยย่อย
ออกไปอีกหลายแขนงซึ่งแต่ละโครงการก็จะมีชื่อรหัสเรียกเฉพาะแตกต่างกันไป

ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านไป สตีเฟนก็ได้ทดลองและจดบันทึก เขาไม่สามารถที่จะควบคุมและหาคำตอบ
เรื่องการใช้พลังจิตได้ ทำให้ดูเหมือนว่า โครงการวิจัยเรื่องปรากฏการณ์พลังจิตเหนือธรรมชาตินี้จะล้มเหลว
จนกระทั่งมีนักฟิสิกส์มือดี 2 คนมาปลุกผีโครงการนี้ขึ้นอีกครั้งในต้นทศวรรษที่ 1970

ดร. รัสเซลล์ ทาร์ก (Dr. Russell Targ) และ ดร. ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์ (Harold E. Puthoff)
มีความสนใจในเรื่องพลังจิตเป็นอย่างมาก ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1972 ดร. ฮาโรลด์
ได้แนะนำชายคนหนึ่งกับเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ โดยกล่าวว่า ชายคนนั้นมีหลักฐานการทดลองเรื่อง
การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ (Psychokinesis) ของรัสเซียอยู่ในมือ หลังจากที่ซีไอเอได้เห็นหลักฐาน
ที่เป็นภาพยนตร์ก็เกิดความสนใจและตกลงให้ ดร. ฮาร์โรลด์ และ ดร. รัสเซลล์ ทำการค้นคว้า
http://youtube.com/watch?v=WyRwrBtlh-0
http://youtube.com/watch?v=_oudvOV3hy0
http://youtube.com/watch?v=GcoNGkcTSZE

พบผู้ที่มีความสามารถ

และนั่นก็คือที่มาของโครงการลับ สแกนเอท (Scanate) ซึ่งมาจากคำว่า Scan by Coordinate
เป็นโครงการที่ทำการค้นคว้าเรื่องปรากฏการณ์พลังจิตเหนือธรรมชาติ การทดลองได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1972 ชายที่อ้างว่าตนมีพลังจิตคนหนึ่ง ได้ถูกทดสอบโดยให้บรรยายลักษณะ
ของวัตถุที่ถูกซ่อนอยู่โดยเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ และเขาก็บอกรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ

ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1973 ซีไอเอ ได้ทำการทดลอง การมองระยะไกลโดยอาศัยพลังจิต (Remote Viewing)
Remote Viewing Timeline
พวกเขาได้ฝึกนักพลังจิตชื่อ แพท ไพรซ์ (Pat Price) โดยพวกเขาได้บอกเพียงตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง
ชนิดหนึ่งให้แพททำการเพ่งกระแสจิตไปโดยไม่ใช้แผนที่ ซึ่งเป้าหมายนั้นเป็นบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่ง
ในฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ แล้วให้บอกทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่แพทกลับบรรยายลักษณะ
ของสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับฐานทัพทหาร

เพื่อเป็นการพิสูจน์ผลการทดสอบ เจ้าหน้าที่ซีไอเอ ได้ขับรถไปยังบ้านพักตากอากาศแห่งนั้น
แต่เขาเองกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าห่างจากบ้านพักตากอากาศไปเพียงไม่กี่ไมล์
มีอาคารของทางราชการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตั้งอยู่ เขาจึงรีบขับรถกลับมา
เพื่อขอให้แพท ระบุรายละเอียดของอาคารนั้นอีกครั้ง

แพทสามารถระบุรายละเอียด รูปร่างของอาคารได้อย่างถูกต้อง ซึ่งก็ทำให้ ซีไอเอพอใจในการทดลอง
ครั้งนี้เป็นอย่างมาก จนได้มีการพัฒนาการทดลองในวิธีการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเสริมสร้าง
พลังจิตให้กับนักพลังจิต อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลที่ได้ ก่อนที่จะนำ
มันมาใช้งานจริง

ใช้พลังจิตข้ามทวีป

สายลับพลังจิต แพท ไพรซ์(คนกลาง) และ ดร. ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์(ริมขวา)
ยืนถ่ายภาพร่วมกันหลังจากเสร็จการทดลองการมองระยะไกล

การทดลองมองระยะไกลที่ได้ผลลัพธ์น่าทึ่งที่สุดก็คือ การทดลองให้แพท บรรยายถึง
เมืองเซมิพาลาทินส์ก (Semipalatinsk) ที่อยู่ในประเทศคาซักสถาน

มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีข้อมูลซึ่งยังต้องรอการสำรวจที่ ซีไอเอ ใช้รหัสเรียกว่า
URDF-3 (Unidentified Research and Development Facility - 3)

แพท ระบุว่าเขาเห็นปั้นจั่นขนาดใหญ่มากอันหนึ่ง มันใหญ่ขนาดเขาเห็นคนสูงเพียงแค่เพลาล้อของมัน

ซึ่งมันก็มีอยู่ที่นั่นจริงๆ แม้ว่าข้อมูลของแพทยังไม่ละเอียดนัก เพราะว่ายังมีแท่นขุดเจาะที่แพทไม่ได้กล่าวถึง
แต่ก็มากพอที่จะทำให้ ดร. เคนเน็ท เอ เครสส์ (Kenneth A. Kress) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านปรากฏการณ์
เหนือธรรมชาติของซีไอเอ ทึ่งในความสามารถของแพท จนเขาต้องเดินทางมาสัมภาษณ์แพทด้วยตัวเอง

เมื่อ ดร. รัสเซลล์ และ ดร. ฮาโรลด์ มาแพทมาพบกับ ดร. เคนเน็ท
ดร. เคนเน็ทต้องการทดสอบความสามารถของแพท โดยถามแพทว่า รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร
แพทตอบอย่างไม่ลังเลว่า "รู้" ดร. เคนเน็ท จึงถามต่อว่าแล้วรู้จักชื่อของเขาไหม แพทก็ตอบว่า
"เคน เครสส์" แล้วอาชีพของเขาล่ะ แพทตอบอย่างมั่นใจว่า "ทำงานให้กับ ซีไอเอ"

การที่ แพทตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ เพราะ ดร. เคนเน็ท
เป็นเจ้าหน้าที่ลับของซีไอเอ เขาไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ดร. เคนเน็ท
ตัดสินใจยอมรับ แพท ไพรซ์ เข้าเป็น "สายลับพลังจิต" ของซีไอเอ จากนั้น ดร. เคนเน็ท
ก็หยิบภาพใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วถามแพทว่าเคยเห็นสถานที่นี้ไหม? แพทก็ตอบว่า
"แน่นอน เขาเคยเห็น" ดร. เคนเน็ท จึงถามต่อ ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาไม่ระบุถึงแท่นขุดเจาะ
4 แท่นนี้ ตอนที่เขาถูกทดสอบ? แพทตอบว่า "รอเดี๋ยว ขอให้ได้ตรวจสอบอีกที"

แพทหลับตาลง แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาใส่ซึ่งเขาบอกว่ามันทำให้เขา "เห็น" ได้ชัดเจนขึ้น
เพียงแค่ไม่กี่วินาที แพทก็ตอบว่าที่เขาไม่เห็นแท่นขุดเจาะก็เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น
หลังจากนั้นมาอีก 2-3 สัปดาห์ก็มีการตรวจเช็คกลับไปที่ URDF-3 ก็พบว่าแท่นขุดเจาะ 2 แท่น
ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว แต่ก็ยังพอมีร่องรอยของแท่นขุดเจาะเหลืออยู่ ทำให้พอจะสรุปได้ว่า
ข้อมูลที่ได้จากการมองระยะไกลของแพทนั้นมีทั้งส่วนที่เชื่อถือได้ และส่วนที่เชื่อถือไม่ได้

นำมาใช้งานจริง

ปลายปี ค.ศ. 1974 แพทได้ถูกสั่งให้ใช้พลังจิตของเขาตรวจสอบที่ซ่อนของฐานกำลังของกองทัพใต้ดิน
ในประเทศลิเบีย แพทได้ชี้จุดที่คาดว่าเป็นที่ซ่อนของสถานีทดลองขีปนาวุธ SA-5 ซึ่งก็ตรงกับที่ข่าวกรอง
ที่กองทัพลิเบียได้รับแจ้ง และแพทยังได้ระบุถึงสถานที่ที่พวกกองทัพใต้ดินได้ใช้เป็นที่ฝึกการก่อวินาศกรรม
ตรงกับที่แหล่งข่าวของลิเบียแจ้งเช่นกัน

กองทัพลิเบียได้ขอให้แพท ช่วยบอกรายละเอียดว่าในสถานที่ซ่อนของพวกกองทัพใต้ดินนั้น
มีการเคลื่อนไหวเป็นอย่างไรบ้าง คำถามต่างๆ ที่ลิเบียอยากรู้เกี่ยวกับพวกกองทัพใต้ดินได้ถูกเขียนส่งไป
ให้กับแพท แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แพทได้เสียชีวิตเพราะหัวใจวายเสียก่อน ปฏิบัติการครั้งนั้นจึงถูกยกเลิก
และไม่มีการส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากซีไอเอ ให้กับลิเบียอีก

กองทัพสหรัฐฯ ได้นำการมองระยะไกลมาใช้ในสงครามเวียดนาม โดยให้นักพลังจิตเป็น "ผู้นำทาง" (Point Man)
ทำหน้าที่นำกองทหารระหว่างที่อยู่ในเขตของข้าศึก เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักและการซุ่มโจมตี ซึ่งมันมีผลเป็นอย่างมาก
ต่อขวัญและกำลังใจของพวกทหารที่ตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นทางจิตใจในขณะที่อยู่ในสนามรบ

มองผ่านผู้อื่น

แต่บางครั้ง "สายลับพลังจิต" ก็ต้องการผู้นำทางเช่นกัน ผู้นำทางนี้ใช้รหัสเรียกว่า "บีคอน" (Beacon) เขามีหน้าที่
ในการท่องไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำหน้าที่เป็น "ตา" ให้กับสายลับพลังจิตที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยหลายพันไมล์
สายลับพลังจิตจะมองผ่านตาของผู้นำทาง แล้วบรรยายลักษณะของสถานที่นั้นๆ อาจเป็นการบอกเล่าไปเรื่อยๆ
แล้วให้คนคอยจดบันทึก แต่ส่วนใหญ่แล้ว สายลับพลังจิตจะวาดภาพร่างของสถานที่นั้นๆ เอง

ตัวอย่างเช่นการทดสอบพลังจิตของ ดร. เอ็ดวิน ซี เมย์ (Dr. Edwin C. May) ในปี ค.ศ. 1987

"สายลับพลังจิต" โจเซฟ แมคมอนอีเกิล (Joseph McMoneagle)

ได้ถูกสั่งให้ติดตาม "ผู้นำทาง" คนหนึ่ง เขาได้รับคำบอกกล่าวเพียงแค่ว่า ผู้นำทางอยู่ห่างจากศูนย์ทดลอง
เป็นรัศมีราว 100 ไมล์ และข้อมูลส่วนตัวของผู้นำทางก็มีเพียงแค่หมายเลขบัตรประกันสังคมและ
กำลังขับรถอะไรแค่นั้น

ดร. เอ็ดวิน สั่งให้โจเซฟ บรรยายถึงสิ่งที่ "ผู้นำทาง" เห็นในเวลา 16:00 น. โจเซฟได้วาดภาพนั้นออกมา
และบอกว่าเขาเห็นการเคลื่อนไหวของกระแสไฟฟ้าเป็นเหมือนตะแกรงและเห็นรัศมีบางอย่างบนยอดเสา
ที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และเมื่อนำภาพถ่ายที่ "ผู้นำทาง" บันทึกไว้ตอนเวลา 16:00 น.
มาเปรียบเทียบกับภาพร่างของโจเซฟ เราจะพบว่ามันมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก



การมองระยะไกลเป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันประเทศภายใต้ชื่อรหัส "สตาร์เกท" (Stargate Project)
ซึ่งเป้าหมายหลักของโครงการนี้แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ
"การปฏิบัติการ" (Operations) เป็นการใช้การมองระยะไกลเพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรองของประเทศต่างๆ
"การวิจัยและพัฒนา" (Research and Development) เป็นการศึกษาภายในห้องทดลองเพื่อหาวิธีการใหม่ๆ
ในการปรับปรุงการมองระยะไกลเพื่อนำมาใช้ในงานสืบราชการลับ
และ "การประเมินต่างประเทศ" (Foreign .sment) เป็นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ
ที่มีการปรับปรุงและพัฒนา การใช้พลังจิตในรูปแบบใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ (สหรัฐฯ)

อดีตสายลับแฉ

หลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อ เดวิด มอร์เฮาส์ (David Morehouse)

เดวิดเป็นสายลับพลังจิตของซีไอเอ ที่ออกมาตีแผ่ความลับของโครงการ สตาร์เกท ผ่านรายการสารคดี
ดิสคัฟเวอรีแชนแนล (Discovery Channel) เมื่อหลายปีก่อน เดวิดได้รับมอบหมายให้สืบหาข้อมูล
การทำจารกรรมในอดีตที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงมืดแปดด้านไม่รู้จะหาข้อมูลจากที่ไหนได้นอกจากการใช้
"สายลับพลังจิต" ย้อนอดีตกลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ เช่น คดีที่เครื่องบินรบของรัสเซียเข้าโจมตี
เครื่องบินพาณิชย์เที่ยวบิน 007 ของสายการบินเกาหลีว่า เป็นการบินที่จงใจล่วงล้ำเข้าไป
ในน่านฟ้าของรัสเซียเพื่อทำจารกรรมตามข้อกล่าวหาหรือไม่

หรือคดีที่ทหารอิรักเข้าลอบวางเพลิงบ่อน้ำมันในคูเวต ก่อนที่จะพ่ายแพ้ถอนทัพกลับเพื่อดูว่า
เป็นการลอบวางเพลิงเพียงอย่างเดียวหรือเป็นการอำพรางเพื่อแอบปล่อยก๊าซพิษชนิดอื่น
ปะปนเข้าไปในบรรยากาศ

ก่อนที่เดวิด จะมาเป็นสายลับพลังจิต เขาก็เป็นเพียงแค่ทหารพรานที่มีผลงานดีเด่นคนหนึ่ง
แต่จากการซ้อมรบร่วมกับทหารพรานของจอร์แดน ในกลางปี ค.ศ. 1980 เขาก็ประสบอุบัติเหตุ
ถูกยิงเข้าที่ศรีษะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เนื่องจากกระสุนปืนไม่สามารถเจาะผ่าน
หมวกเหล็กที่เขาสวมใส่อยู่ขณะนั้นได้ แต่แรงกระแทกก็ทำให้เขาสลบไปนานพอดู
ขณะที่เขาสลบไสลอยู่นั้น เขาเห็นอะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่า เทวดา หรือ ปีศาจ ดี
แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่มนุษย์และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกว่า มีบางอย่างผิดปรกติเกิดขึ้นกับเขา

หลังจากนั้นมาเขาก็เริ่มเห็นภาพแปลกๆ ที่เขาเรียกมันว่าฝันร้ายอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว
ต้องไปพบแพทย์ของกองทัพ และเมื่อเขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้กับหมอฟัง เรื่องราวและเหตุการณ์
ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเดวิด ได้ถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ชั้นสูง และในที่สุดเจ้าหน้าที่ของโครงการสตาร์เกท
ก็ให้ความสนใจและนั่นก็คือที่มาของการได้เข้าร่วมกับ โครงการสตาร์เกท ในฐานะ "สายลับพลังจิต"

เรื่องเล่าของเดวิด อาจฟังดูเหมือนนิยาย เช่นเดียวกับความเป็นมาของ โจเซฟ แมคมอนอีเกิล ย้อนกลับไป
ในทศวรรษที่ 1970 โจเซฟพบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรกก็ตอนที่เขาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล
ของกองทัพยุโรป เขาพบกับปรากฏการณ์ "เฉียดตาย" และหลังจากที่เขาถูกรักษาจนหายดี ปรากฏการณ์นั้น
กลับยังคงอยู่และทำให้เขามี "พลังจิต" เหนือคนธรรมดาสามัญทั่วไป

เดวิดทำหน้าที่ "สายลับพลังจิต" นานกว่า 10 ปีก่อนที่เขาจะตัดสินใจถอนตัวออกมา ในปี ค.ศ. 1993
เดวิดได้ละเมิดข้อตกลงในการป้องกันความลับของกองทัพรั่วไหล โดยออกมาเปิดเผยเรื่องราวของเขา
ขณะที่ทำงานให้กับโครงการสตาร์เกท เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งหนังสือพิมพ์,
วิทยุ และโทรทัศน์ เท่านั้นยังไม่พอเขายังเขียนหนังสือ "นักรบพลังจิต" (Psychic Warrior) อีกด้วย


เรื่องราวของ "สายลับพลังจิต" และโครงการสตาร์เกท ไม่ได้เป็นเพียงแค่จินตนาการ
เพราะในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1995 ประธานาธิบดี บิลล์ คลินตัน ได้ลงนามในหนังสือคำสั่งจากเบื้องบน
เลขที่ เอ็นอาร์ 1995-4-17 (Executive Order Nr. 1995-4-17) อนุญาตให้เผยแพร่เอกสาร ข้อมูลของ
โครงการสตาร์เกท ออกสู่สายตาของสาธารณชนได้

และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งที่ ซีไอเอ เคยปฏิเสธนักหนาว่า "ไม่จริง" แต่ท้ายที่สุดก็โผล่หาง
ออกมาให้เห็น แต่เชื่อได้เลยครับว่าสิ่งที่ ซีไอเอ ยอมเปิดเผยออกมานั้นเป็นเพียงแค่ "ปลายจวัก"
ความลับส่วนใหญ่ก็ยังคงถูกซุกซ่อนอยู่ในตึกห้าเหลี่ยมที่ชื่อว่า "เพนตากอน" (The Pentagon)
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.19 วินาที กับ 22 คำสั่ง