สายลับพลังจิตซีไอเอ มักจะมี "อาวุธลับ" ประหลาดๆ อยู่เสมอ "สายลับพลังจิต" ก็เป็นหนึ่งในอาวุธลับที่ "ซีไอเอ"
แอบซ่อนไว้ใช้งานเวลาที่เข้าตาจนไม่สามารถที่จะใช้วิธีการตามแบบปรกติได้ "สายลับพลังจิต"
เป็นใครและพวกเขาทำงานกันอย่างไร
คาดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มศึกษาเรื่องการติดต่อสื่อสารโดยพลังจิตหรือที่เรานิยมเรียกกันย่อๆ ว่า
อีเอสพี (ESP - Extra-sensory perception) อย่างเป็นจริงเป็นจังก็ในราวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อมีข่าวกรองระบุว่า จอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้วางแผนการรบโดยอาศัยคำแนะนำของ
นักไสยศาสตร์ และนายแพทย์ทัศนา(หมอดู) ด้วยความกลัวว่าจะตกเป็นรองเยอรมันในการทำสงคราม
สหรัฐฯ จึงได้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นเพื่อการศึกษาและวิจัยการใช้พลังจิต
เริ่มโครงการในปี ค.ศ. 1952 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้รับรายงานว่า มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเอา "พลังจิต"
มาใช้เป็นอาวุธสงคราม ทำให้มีการศึกษา ค้นคว้ากันมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1962
มีรายงานการวิจัยฉบับหนึ่งไปเตะตาหัวหน้าหน่วยให้บริการทางเทคโนโลยีของซีไอเอ เข้าให้จังเบ้อเร่อ
เขาก็เลยติดต่อไปยัง
สตีเฟ่น ไอ แอบรัมส์ (Stephen I.Abrams) ผู้อำนวยการห้องทดลองค้นคว้าพลังจิต
ของมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ในประเทศอังกฤษ สตีเฟ่นจึงได้ทดลองเรื่องการใช้พลังจิตภายใต้การอุปถัมภ์
ของโครงการ อัลทรา (ULTRA) ซึ่งเป็นโครงการลับโครงการหนึ่งของซีไอเอ ที่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับ
เรื่องพลังจิต
ซีไอเอ ได้เคยทำการทดลองใช้สารเสพติด เพื่อควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ การทดลองนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง
ของโครงการอัลทรา ที่มีชื่อเรียกว่า โครงการเอ็มเคอัลทรา (MKULTRA) โครงการอัลทรา ได้ถูกซอยย่อย
ออกไปอีกหลายแขนงซึ่งแต่ละโครงการก็จะมีชื่อรหัสเรียกเฉพาะแตกต่างกันไป
ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านไป สตีเฟนก็ได้ทดลองและจดบันทึก เขาไม่สามารถที่จะควบคุมและหาคำตอบ
เรื่องการใช้พลังจิตได้ ทำให้ดูเหมือนว่า โครงการวิจัยเรื่องปรากฏการณ์พลังจิตเหนือธรรมชาตินี้จะล้มเหลว
จนกระทั่งมีนักฟิสิกส์มือดี 2 คนมาปลุกผีโครงการนี้ขึ้นอีกครั้งในต้นทศวรรษที่ 1970
ดร. รัสเซลล์ ทาร์ก (Dr. Russell Targ) และ
ดร. ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์ (Harold E. Puthoff)มีความสนใจในเรื่องพลังจิตเป็นอย่างมาก ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1972 ดร. ฮาโรลด์
ได้แนะนำชายคนหนึ่งกับเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ โดยกล่าวว่า ชายคนนั้นมีหลักฐานการทดลองเรื่อง
การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ (Psychokinesis) ของรัสเซียอยู่ในมือ หลังจากที่ซีไอเอได้เห็นหลักฐาน
ที่เป็นภาพยนตร์ก็เกิดความสนใจและตกลงให้ ดร. ฮาร์โรลด์ และ ดร. รัสเซลล์ ทำการค้นคว้า
http://youtube.com/watch?v=WyRwrBtlh-0http://youtube.com/watch?v=_oudvOV3hy0http://youtube.com/watch?v=GcoNGkcTSZEพบผู้ที่มีความสามารถและนั่นก็คือที่มาของโครงการลับ
สแกนเอท (Scanate) ซึ่งมาจากคำว่า Scan by Coordinate
เป็นโครงการที่ทำการค้นคว้าเรื่องปรากฏการณ์พลังจิตเหนือธรรมชาติ การทดลองได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1972 ชายที่อ้างว่าตนมีพลังจิตคนหนึ่ง ได้ถูกทดสอบโดยให้บรรยายลักษณะ
ของวัตถุที่ถูกซ่อนอยู่โดยเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ และเขาก็บอกรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ
ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1973 ซีไอเอ ได้ทำการทดลอง
การมองระยะไกลโดยอาศัยพลังจิต (Remote Viewing)Remote Viewing Timelineพวกเขาได้ฝึกนักพลังจิตชื่อ
แพท ไพรซ์ (Pat Price) โดยพวกเขาได้บอกเพียงตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง
ชนิดหนึ่งให้แพททำการเพ่งกระแสจิตไปโดยไม่ใช้แผนที่ ซึ่งเป้าหมายนั้นเป็นบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่ง
ในฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ แล้วให้บอกทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่แพทกลับบรรยายลักษณะ
ของสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับฐานทัพทหาร
เพื่อเป็นการพิสูจน์ผลการทดสอบ เจ้าหน้าที่ซีไอเอ ได้ขับรถไปยังบ้านพักตากอากาศแห่งนั้น
แต่เขาเองกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าห่างจากบ้านพักตากอากาศไปเพียงไม่กี่ไมล์
มีอาคารของทางราชการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตั้งอยู่ เขาจึงรีบขับรถกลับมา
เพื่อขอให้แพท ระบุรายละเอียดของอาคารนั้นอีกครั้ง
แพทสามารถระบุรายละเอียด รูปร่างของอาคารได้อย่างถูกต้อง ซึ่งก็ทำให้ ซีไอเอพอใจในการทดลอง
ครั้งนี้เป็นอย่างมาก จนได้มีการพัฒนาการทดลองในวิธีการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเสริมสร้าง
พลังจิตให้กับนักพลังจิต อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลที่ได้ ก่อนที่จะนำ
มันมาใช้งานจริง
ใช้พลังจิตข้ามทวีปสายลับพลังจิต แพท ไพรซ์(คนกลาง) และ ดร. ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์(ริมขวา)
ยืนถ่ายภาพร่วมกันหลังจากเสร็จการทดลองการมองระยะไกล
การทดลองมองระยะไกลที่ได้ผลลัพธ์น่าทึ่งที่สุดก็คือ การทดลองให้แพท บรรยายถึง
เมืองเซมิพาลาทินส์ก (Semipalatinsk) ที่อยู่ในประเทศคาซักสถาน
มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีข้อมูลซึ่งยังต้องรอการสำรวจที่ ซีไอเอ ใช้รหัสเรียกว่า
URDF-3 (Unidentified Research and Development Facility - 3)แพท ระบุว่าเขาเห็นปั้นจั่นขนาดใหญ่มากอันหนึ่ง มันใหญ่ขนาดเขาเห็นคนสูงเพียงแค่เพลาล้อของมัน
ซึ่งมันก็มีอยู่ที่นั่นจริงๆ แม้ว่าข้อมูลของแพทยังไม่ละเอียดนัก เพราะว่ายังมีแท่นขุดเจาะที่แพทไม่ได้กล่าวถึง
แต่ก็มากพอที่จะทำให้ ดร. เคนเน็ท เอ เครสส์ (Kenneth A. Kress) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านปรากฏการณ์
เหนือธรรมชาติของซีไอเอ ทึ่งในความสามารถของแพท จนเขาต้องเดินทางมาสัมภาษณ์แพทด้วยตัวเอง
เมื่อ ดร. รัสเซลล์ และ ดร. ฮาโรลด์ มาแพทมาพบกับ ดร. เคนเน็ท
ดร. เคนเน็ทต้องการทดสอบความสามารถของแพท โดยถามแพทว่า รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร
แพทตอบอย่างไม่ลังเลว่า "รู้" ดร. เคนเน็ท จึงถามต่อว่าแล้วรู้จักชื่อของเขาไหม แพทก็ตอบว่า
"เคน เครสส์" แล้วอาชีพของเขาล่ะ แพทตอบอย่างมั่นใจว่า "ทำงานให้กับ ซีไอเอ"
การที่ แพทตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ เพราะ ดร. เคนเน็ท
เป็นเจ้าหน้าที่ลับของซีไอเอ เขาไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ดร. เคนเน็ท
ตัดสินใจยอมรับ แพท ไพรซ์ เข้าเป็น "สายลับพลังจิต" ของซีไอเอ จากนั้น ดร. เคนเน็ท
ก็หยิบภาพใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วถามแพทว่าเคยเห็นสถานที่นี้ไหม? แพทก็ตอบว่า
"แน่นอน เขาเคยเห็น" ดร. เคนเน็ท จึงถามต่อ ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาไม่ระบุถึงแท่นขุดเจาะ
4 แท่นนี้ ตอนที่เขาถูกทดสอบ? แพทตอบว่า "รอเดี๋ยว ขอให้ได้ตรวจสอบอีกที"
แพทหลับตาลง แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาใส่ซึ่งเขาบอกว่ามันทำให้เขา "เห็น" ได้ชัดเจนขึ้น
เพียงแค่ไม่กี่วินาที แพทก็ตอบว่าที่เขาไม่เห็นแท่นขุดเจาะก็เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น
หลังจากนั้นมาอีก 2-3 สัปดาห์ก็มีการตรวจเช็คกลับไปที่ URDF-3 ก็พบว่าแท่นขุดเจาะ 2 แท่น
ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว แต่ก็ยังพอมีร่องรอยของแท่นขุดเจาะเหลืออยู่ ทำให้พอจะสรุปได้ว่า
ข้อมูลที่ได้จากการมองระยะไกลของแพทนั้นมีทั้งส่วนที่เชื่อถือได้ และส่วนที่เชื่อถือไม่ได้
นำมาใช้งานจริงปลายปี ค.ศ. 1974 แพทได้ถูกสั่งให้ใช้พลังจิตของเขาตรวจสอบที่ซ่อนของฐานกำลังของกองทัพใต้ดิน
ในประเทศลิเบีย แพทได้ชี้จุดที่คาดว่าเป็นที่ซ่อนของสถานีทดลองขีปนาวุธ SA-5 ซึ่งก็ตรงกับที่ข่าวกรอง
ที่กองทัพลิเบียได้รับแจ้ง และแพทยังได้ระบุถึงสถานที่ที่พวกกองทัพใต้ดินได้ใช้เป็นที่ฝึกการก่อวินาศกรรม
ตรงกับที่แหล่งข่าวของลิเบียแจ้งเช่นกัน
กองทัพลิเบียได้ขอให้แพท ช่วยบอกรายละเอียดว่าในสถานที่ซ่อนของพวกกองทัพใต้ดินนั้น
มีการเคลื่อนไหวเป็นอย่างไรบ้าง คำถามต่างๆ ที่ลิเบียอยากรู้เกี่ยวกับพวกกองทัพใต้ดินได้ถูกเขียนส่งไป
ให้กับแพท แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แพทได้เสียชีวิตเพราะหัวใจวายเสียก่อน ปฏิบัติการครั้งนั้นจึงถูกยกเลิก
และไม่มีการส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากซีไอเอ ให้กับลิเบียอีก
กองทัพสหรัฐฯ ได้นำการมองระยะไกลมาใช้ในสงครามเวียดนาม โดยให้นักพลังจิตเป็น "ผู้นำทาง" (Point Man)
ทำหน้าที่นำกองทหารระหว่างที่อยู่ในเขตของข้าศึก เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักและการซุ่มโจมตี ซึ่งมันมีผลเป็นอย่างมาก
ต่อขวัญและกำลังใจของพวกทหารที่ตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นทางจิตใจในขณะที่อยู่ในสนามรบ
มองผ่านผู้อื่นแต่บางครั้ง "สายลับพลังจิต" ก็ต้องการผู้นำทางเช่นกัน ผู้นำทางนี้ใช้รหัสเรียกว่า "บีคอน" (Beacon) เขามีหน้าที่
ในการท่องไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำหน้าที่เป็น "ตา" ให้กับสายลับพลังจิตที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยหลายพันไมล์
สายลับพลังจิตจะมองผ่านตาของผู้นำทาง แล้วบรรยายลักษณะของสถานที่นั้นๆ อาจเป็นการบอกเล่าไปเรื่อยๆ
แล้วให้คนคอยจดบันทึก แต่ส่วนใหญ่แล้ว สายลับพลังจิตจะวาดภาพร่างของสถานที่นั้นๆ เอง
ตัวอย่างเช่นการทดสอบพลังจิตของ ดร. เอ็ดวิน ซี เมย์ (Dr. Edwin C. May) ในปี ค.ศ. 1987
"สายลับพลังจิต" โจเซฟ แมคมอนอีเกิล (Joseph McMoneagle)
ได้ถูกสั่งให้ติดตาม "ผู้นำทาง" คนหนึ่ง เขาได้รับคำบอกกล่าวเพียงแค่ว่า ผู้นำทางอยู่ห่างจากศูนย์ทดลอง
เป็นรัศมีราว 100 ไมล์ และข้อมูลส่วนตัวของผู้นำทางก็มีเพียงแค่หมายเลขบัตรประกันสังคมและ
กำลังขับรถอะไรแค่นั้น
ดร. เอ็ดวิน สั่งให้โจเซฟ บรรยายถึงสิ่งที่ "ผู้นำทาง" เห็นในเวลา 16:00 น. โจเซฟได้วาดภาพนั้นออกมา
และบอกว่าเขาเห็นการเคลื่อนไหวของกระแสไฟฟ้าเป็นเหมือนตะแกรงและเห็นรัศมีบางอย่างบนยอดเสา
ที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และเมื่อนำภาพถ่ายที่ "ผู้นำทาง" บันทึกไว้ตอนเวลา 16:00 น.
มาเปรียบเทียบกับภาพร่างของโจเซฟ เราจะพบว่ามันมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
การมองระยะไกลเป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันประเทศภายใต้ชื่อรหัส
"สตาร์เกท" (Stargate Project)ซึ่งเป้าหมายหลักของโครงการนี้แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ
"การปฏิบัติการ" (Operations) เป็นการใช้การมองระยะไกลเพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรองของประเทศต่างๆ
"การวิจัยและพัฒนา" (Research and Development) เป็นการศึกษาภายในห้องทดลองเพื่อหาวิธีการใหม่ๆ
ในการปรับปรุงการมองระยะไกลเพื่อนำมาใช้ในงานสืบราชการลับ
และ "การประเมินต่างประเทศ" (Foreign .sment) เป็นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ
ที่มีการปรับปรุงและพัฒนา การใช้พลังจิตในรูปแบบใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ (สหรัฐฯ)
อดีตสายลับแฉหลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อ
เดวิด มอร์เฮาส์ (David Morehouse)เดวิดเป็นสายลับพลังจิตของซีไอเอ ที่ออกมาตีแผ่ความลับของโครงการ สตาร์เกท ผ่านรายการสารคดี
ดิสคัฟเวอรีแชนแนล (Discovery Channel) เมื่อหลายปีก่อน เดวิดได้รับมอบหมายให้สืบหาข้อมูล
การทำจารกรรมในอดีตที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงมืดแปดด้านไม่รู้จะหาข้อมูลจากที่ไหนได้นอกจากการใช้
"สายลับพลังจิต" ย้อนอดีตกลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ เช่น คดีที่เครื่องบินรบของรัสเซียเข้าโจมตี
เครื่องบินพาณิชย์เที่ยวบิน 007 ของสายการบินเกาหลีว่า เป็นการบินที่จงใจล่วงล้ำเข้าไป
ในน่านฟ้าของรัสเซียเพื่อทำจารกรรมตามข้อกล่าวหาหรือไม่
หรือคดีที่ทหารอิรักเข้าลอบวางเพลิงบ่อน้ำมันในคูเวต ก่อนที่จะพ่ายแพ้ถอนทัพกลับเพื่อดูว่า
เป็นการลอบวางเพลิงเพียงอย่างเดียวหรือเป็นการอำพรางเพื่อแอบปล่อยก๊าซพิษชนิดอื่น
ปะปนเข้าไปในบรรยากาศ
ก่อนที่เดวิด จะมาเป็นสายลับพลังจิต เขาก็เป็นเพียงแค่ทหารพรานที่มีผลงานดีเด่นคนหนึ่ง
แต่จากการซ้อมรบร่วมกับทหารพรานของจอร์แดน ในกลางปี ค.ศ. 1980 เขาก็ประสบอุบัติเหตุ
ถูกยิงเข้าที่ศรีษะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เนื่องจากกระสุนปืนไม่สามารถเจาะผ่าน
หมวกเหล็กที่เขาสวมใส่อยู่ขณะนั้นได้ แต่แรงกระแทกก็ทำให้เขาสลบไปนานพอดู
ขณะที่เขาสลบไสลอยู่นั้น เขาเห็นอะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่า เทวดา หรือ ปีศาจ ดี
แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่มนุษย์และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกว่า มีบางอย่างผิดปรกติเกิดขึ้นกับเขา
หลังจากนั้นมาเขาก็เริ่มเห็นภาพแปลกๆ ที่เขาเรียกมันว่าฝันร้ายอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว
ต้องไปพบแพทย์ของกองทัพ และเมื่อเขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้กับหมอฟัง เรื่องราวและเหตุการณ์
ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเดวิด ได้ถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ชั้นสูง และในที่สุดเจ้าหน้าที่ของโครงการสตาร์เกท
ก็ให้ความสนใจและนั่นก็คือที่มาของการได้เข้าร่วมกับ โครงการสตาร์เกท ในฐานะ "สายลับพลังจิต"
เรื่องเล่าของเดวิด อาจฟังดูเหมือนนิยาย เช่นเดียวกับความเป็นมาของ โจเซฟ แมคมอนอีเกิล ย้อนกลับไป
ในทศวรรษที่ 1970 โจเซฟพบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรกก็ตอนที่เขาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล
ของกองทัพยุโรป เขาพบกับปรากฏการณ์ "เฉียดตาย" และหลังจากที่เขาถูกรักษาจนหายดี ปรากฏการณ์นั้น
กลับยังคงอยู่และทำให้เขามี "พลังจิต" เหนือคนธรรมดาสามัญทั่วไป
เดวิดทำหน้าที่ "สายลับพลังจิต" นานกว่า 10 ปีก่อนที่เขาจะตัดสินใจถอนตัวออกมา ในปี ค.ศ. 1993
เดวิดได้ละเมิดข้อตกลงในการป้องกันความลับของกองทัพรั่วไหล โดยออกมาเปิดเผยเรื่องราวของเขา
ขณะที่ทำงานให้กับโครงการสตาร์เกท เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งหนังสือพิมพ์,
วิทยุ และโทรทัศน์ เท่านั้นยังไม่พอเขายังเขียนหนังสือ "นักรบพลังจิต" (Psychic Warrior) อีกด้วย
เรื่องราวของ "สายลับพลังจิต" และโครงการสตาร์เกท ไม่ได้เป็นเพียงแค่จินตนาการ
เพราะในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1995 ประธานาธิบดี บิลล์ คลินตัน ได้ลงนามในหนังสือคำสั่งจากเบื้องบน
เลขที่ เอ็นอาร์ 1995-4-17 (Executive Order Nr. 1995-4-17) อนุญาตให้เผยแพร่เอกสาร ข้อมูลของ
โครงการสตาร์เกท ออกสู่สายตาของสาธารณชนได้
และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งที่ ซีไอเอ เคยปฏิเสธนักหนาว่า "ไม่จริง" แต่ท้ายที่สุดก็โผล่หาง
ออกมาให้เห็น แต่เชื่อได้เลยครับว่าสิ่งที่ ซีไอเอ ยอมเปิดเผยออกมานั้นเป็นเพียงแค่ "ปลายจวัก"
ความลับส่วนใหญ่ก็ยังคงถูกซุกซ่อนอยู่ในตึกห้าเหลี่ยมที่ชื่อว่า "เพนตากอน" (The Pentagon)