อำนาจของกลุ่มอิลูมิเนติ คือ เงิน และพวกเขาก็ใช้เงินของเขาเพื่อขยายการควบคุมพื้นที่ทางสังคมทั้งหมดคือ
ศาสนา, การเมือง, เศรษฐกิจ, การศึกษา, การแพทย์, การทหาร, และสังคม และในระหว่างการปฏิวัติของรัสเซีย
"Russian Revolution," มันอยู่ภายใต้ชื่อ บอลเชวิก "Bolshevism" นั่นคือกลุ่มอิลูมิเนติ ได้แทรกซึมเข้าไป
ในพื้นที่ด้านต่างๆ เหล่านี้ ด้วยสาเหตุที่ว่าต้องการล้มล้าง ระบอบซาร์แห่งรัสเซีย (Czarism in Russia)เดส กริฟฟิน (Des Griffin) เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ "Fourth Reich of the Rich,"
ได้มีการวบรวมความจริงที่สำคัญๆ ไว้มากมายเกี่ยวกับว่า ใครทำงานอยู่เบื้องหลังฉากในการปฏิวัติของรัสเซีย
หลังจากที่ออกจากฝรั่งเศสและสเปน ลีออง ทรอตสกี้ (Leon Trotsky)
และครอบครัวของเขาได้โดยสารเรือกลไฟมาถึงนิวยอร์กในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1917
แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าจะต้องหางานทำได้อย่างไร ทรอตสกี้ ก็ยังอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนท์ที่หรูหราและท่องเที่ยวไปรอบๆ
ด้วยรถลิมูซีน บางครั้งไม่มีใครรู้แหล่งที่มาของทรัพย์สมบัติเหล่านี้
World Revolution and World WarUnited states of America History and international bankers historyLenin, Trotsky and the Bolshevik Revolutionทรอตสกี้ ได้ออกจากนิวยอร์กโดยเรือ S.S. Kristianiafjord ไปสู่ เปโตรกราด
ซึ่งเกี่ยวพันกับการจัดการองค์กรบอลเชวิกในช่วงการปฏิวัติของรัสเซีย เมื่อเรือเทียบท่าที่ Halifax, Nova Scotia
ในวันที่ 3 เมษายน 1917 ทรอตสกี้และพรรคพวกได้ถูกกักตัวเอาไว้โดยเจ้าหน้าที่ภายใต้คำสั่ง
ของพลเรือเอกของอังกฤษในลอนดอน
โดยเสียเวลาไปหลายชั่วโมง, ด้วยแรงกดดันอย่างมากจากความเชื่องช้าของเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูง
ทั้งทางฝั่งวอชิงตันและลอนดอน ได้แจ้งการเดินทางที่เป็นความลับต่อรัฐบาลให้ใหม่ โดยแสดงให้เจ้าหน้าที่นั้นรู้ว่า
กลุ่มของทรอตสกี้ เป็นกลุ่มสังคมนิยมที่อาศัยอยู่ในอเมริกามีจุดประสงค์เพื่อไปเริ่มต้นการปฏิวัติต่อสู้กับรัฐบาลรัสเซีย
(Wall Street and the Bolshevik Revolution, by Antony G. Sutton, Arlington House publishers 1974, p. 28).
ทรอตสกี้และพรรคพวกของเขาก็ได้รับการปล่อยผ่านอย่างรวดเร็ว
" The Fourth Reich of the Rich, Emissary Publications. 1979, p. 89.
เดส กริฟฟิน ได้แสดงให้เห็นว่าเงินทุนนั้นมาจากไหน! ในการปฏิวัติของรัสเซีย
"ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (ข้อสันนิษฐานว่าภายใต้คำสั่งจาก 'Col. House and his backers') ผู้ซึ่งอนุญาตให้
หนังสือเดินทางอเมริกันกับทรอตสกี้ ให้กลับไปรัสเซียเพื่อเดินหน้าการปฏิวัติต่อไป หนังสือเดินทางอเมริกันนี้
ได้ถูกรับรองอนุญาติให้เข้ารัสเซียและผ่านทางด้วยวีซ่าของอังกฤษ" Jennings C. Wise ให้ความเห็นว่า
"ประวัติศาสตร์จะจารึก วูดโรว์ วิลสัน เอาไว้ว่าแม้จะมีความขัดข้องกับทางตำรวจอังกฤษ มันก็ทำอะไรที่เป็นไปไม่ได้
ให้เป็นไปได้ด้วยการอนุญาติให้ ลีออง ทรอตสกี้เข้ารัสเซีย ด้วยหนังสือเดินทางอเมริกัน (Sutton, p. 25)""ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 เลนิน และพรรคพวกนักปฏิวัติชาวรัสเซีย 32 คน โดยพวกบอลเชวิกส่วนมากจะเดินทาง
โดยทางรถไฟจากสวิตเซอร์แลนด์ข้าม เยอรมนี ผ่านเข้าสวีเดน สู่เปโตรกราดของรัสเซีย พวกเขาเข้าร่วมกับ
ทรอตสกี้ เพื่อทำการปฏิวัตให้เสร็จสิ้น การเดินทางผ่านทางเยอรมนีของพวกเขาถูกอนุมัติ อำนวยความสะดวก
และสนับสนุนการเงินโดย General Staff" ซึ่ง General Staff ชื่อว่า แมกซ์ วอร์เบิร์ต (Max Warburg)
(พี่น้องของ พอล และเฟลิกซ์ วอร์เบิร์ก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าระบบธนาคารกลางของอเมริกันเป็นองค์กรสายลับระดับสูง)
โดยแมกซ์เป็นหัวหน้าธนาคาร Rothschild/Warburg ในแฟรงค์เฟิร์ต มีใครสงสัยมั๊ยว่า
ใครอยู่เบื้องหลังในการมีบทบาทของนายธนาคารข้ามชาติทั้งหมด"
Fourth Reich of the Rich." Griffin, Emissary Publications, 1979, pp. 89-91
คนที่อยู่เบื้องหลังได้ถูกยืนยันโดย New York Journal American ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1949 ว่า
จาคอบ ชิฟฟ์ ได้ให้ทองจำนวน 20 ล้านเหรียญเพื่อช่วยเหลือให้ได้ชัยชนะขั้นสุดท้ายในการปฏิวัติของพวกบอลเชวิกในรัสเซีย
ตอนนี้ให้มองลึกเข้าไปในการเมืองอเมริกันและเรียนรู้แผนการของซาตานนี้มีความน่ากลัวอย่างไร
และมีการทำงานเบื้องหลังฉากในสหรัฐฯ อย่างไร เหมือนกับที่พวกเขาทำสำเร็จกับประชาชนชาวรัสเซีย
จาคอบ ชิฟฟ์ ทำหน้าที่ตามคำสั่งของ the House of Rothschild อีกครั้ง การวางแผนในองค์กรจะคล้ายกับ
จาโคแบงส์ คลับ (เป็นกลุ่มปฏิวัติในฝรั่งเศส) และบอลเชวิกในรัสเซีย
โดยพวกนี้ก็คือ
กลุ่มก่อการร้ายของชนชั้นสูง ที่แทรกซึมเข้าสู่การเมืองอเมริกัน เหมือนกับที่พีน้องของเขา
ทำสำเร็จไว้ก่อนแล้วใน ฝรั่งเศส และ รัสเซีย วูดโรว์ วิลสัน เป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวของ จาคอบ ชิฟฟ์
และ เจ พี มอร์แกน และนายธนาคารข้ามชาติอื่นๆ แต่ยังมีบุรุษคนหนึ่งอันซึ่งเป็นคนดำเนินการเรื่องต่างๆ ในทำเนียบขาว
อย่างลับๆ ก็คือ
"Col." Edward Mandel House ระหว่างการดำรงตำแหน่งของ วิลสัน
พลเอก เอ็ดวาร์ด เฮาส์ จบการศึกษามาจากอังกฤษเป็นบุตรชายของผู้แทนรักษาผลประโยชน์ทางการเงิน
ของอังกฤษในอเมริกาใต้ ได้เขียนหนังสือที่เกี่ยวกับการปฏิวัติ อันซึ่งทำให้เขาได้รับการยอมรับในเวลาต่อมา
นั่นคือได้เปิดเผยความจริงของแผนการล้มล้างรัฐบาลของอเมริกา หนังสือมีชื่อว่า
Philip Dru Administratorและมันเป็นการเขียนบอกเป็นนัยแสดงถึงรายละเอียดของแผนการสำหรับการสร้าง
รัฐบาลรวบอำนาจรัฐบาลเดียวของโลก (One World Totalitarian Government)
เฮาส์และเหล่านายธนาคารข้ามชาติ เป็นผู้ที่สนับสนุน วิลสัน ให้เป็นตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
วูดโรว์ วิลสัน ผู้ซึ่งได้เป็นประธานาธิบดีถึงสองสมัยนับจาก 4 มีนาคม 1913 ถึง 4 มีนาคม 1921
แต่เป็น เฮาส์ ที่ได้ชักจูง วิลสัน ให้ยอมรับ กฏเกณฑ์ในการมีศูนย์กลางของระบบการเงินสหรัฐฯ
และเฮาส์ก็มีส่วนในการสนับสนุนตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt อีกด้วย
ซึ่งเป็นผู้ที่ยอมให้ เยอรมนีตะวันออกและยุโรปตะวันออกกลายเป็นคอมมิวนิสต์
และเป็น เอ็ดวาร์ด แมนเดล เฮาส์ ภายใต้การควบคุมของ จาคอบ ชิฟฟ์ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมด้วย
หัวหน้าผู้ที่ร่วมสมคบคิดชาวต่างชาติ (the House of Rothschild of London and Paris)
ได้ก่อตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นในปี ค.ศ. 1921 เป็นอะไรที่เหมือนกับเหล่าสหายของเขาได้ก่อตั้งขึ้นก่อนหน้านั้น
เพื่อล้มล้างรัฐบาล ฝรั่งเศส และ รัสเซีย ที่เรียกว่า กลุ่มจาโคแบง คลับ ในฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18
การเคลื่อนไหวในการปฏิวัติของกลุ่มชนชั้นสูงในอเมริกาวันนี้คือองค์กร ที่ถูกเรียกว่า
สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (THE COUNCIL ON FOREIGN RELATIONS, INC.)และที่แตกแขนงสาขาออกไปอีกเป็นคณะกรรมาธิการชื่อ
TRILATERAL COMMISSIONสภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือกลุ่มอิลูมิเนติ ที่เคลื่อนไหวทางด้านการเมืองในวันนี้ พวกเขามีทั้ง
สมาชิกสภาล่าง, สมาชิกวุฒิสภา, และแม้แต่ตัวประธานาธิบดีเอง นั่นคือพวกเขาใช้งานคนเหล่านี้
เพื่อผ่านกฏหมาย ซึ่งมีกฏหมายเพียงเล็กน้อยมากที่จะนำอเมริกาให้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลง
ให้เป็นประเทศสังคมนิยม (ไม่เหมือนกับที่ทำในรัสเซีย)
คณะกรรมาธิการ Trilateral Commission เป็นองค์กรข้ามชาติก่อตั้งโดย
เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ (David Rockefeller)ผู้ที่ซึ่งมีส่วนในการก่อตั้ง สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเป็นประธานกรรมการของคณะกรรมาธิการนี้ด้วย
คณะกรรมาธิการนี้เป็นความพยายามของกลุ่มอิลูมิเนติ ที่จะเข้ารวมกับ ตลาดร่วมของยุโรปตะวันตก, ญี่ปุ่น, แคนาดา
และสหรัฐฯ นำไปสู่ความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจและการเมือง ถ้าอะไรที่เขาไม่สามารถกระทำผ่านทางด้านการเมืองได้
ของกลุ่มอิลูมิเนติ (สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) พวกเขาก็จะพยายามโดยทันทีที่จะเข้าหาทางเศรษฐกิจ
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ในความพยายามเริ่มแรกในศตวรรษที่ 20 เพื่อรวบรวมโลกทั้งหมดไปสู่
การมีเพียงหน่วยรับใช้ซาตานหน่วยเดียวของโลก ความพยายามในประวัติศาสตร์โดยเหล่าผู้สมคบคิดที่ร่ำรวยที่สุด
ตอนใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในวันที่ 8 มกราคม 1918 ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้ร่างแผน 14 ข้อ
เข้าสู่สภาสำหรับสันติภาพที่ถาวร ภายในแพ็คเกทสันติภาพของโลกนี้ ได้ซ่อนแผนเอาไว้อย่างเหมาะเจาะ
สำหรับเหล่าผู้สมคบคิดเพื่อให้ชนชาติทั้งหมดในโลกยกความเป็นเอกราชขึ้นมาเรียกร้อง มันถูกติดป้ายว่า
สันนิบาตแห่งชาติ ("The League of Nations.")
ผู้ค้าเงินตราสมัยใหม่ ใช้สงครามโลกครั้งที่ 1 ในการทำเงินมหาศาล และเป็นเครื่องมือสร้างความน่ากลัวให้กับ
ประชาชนผู้ที่เสียหายจากสงครามของโลก ณ.ตอนนั้นให้มีความหวัง ถ้ารัฐบาลทั้งหมดของโลกจะรวมกันเป็น
รัฐบาลเดียวของโลก สิ่งนี้จะทำให้หยุดสงครามระหว่างชนชาติ และจะบรรลุถึง สันติภาพและมีความปลอดภัย
สำนักงานใหญ่ สันนิบาตแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
และมันอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 นั่นคือ ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ในปี ค.ศ. 1918
ได้เริ่มต้นร่างการเป็นเจ้าของสัญชาติอเมริกันขึ้น ร่วมด้วยส่วนอื่นๆ ของโลก ไปสู่การยอมรับการตบตาอันนี้
ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของ พลเอก เอ็ดวาร์ด แมนเดล เฮาส์ มี 63 ชาติที่เข้าร่วมสันนิบาต
แม้ว่าในการประชุมแต่ละครั้งจะมีสมาชิกเข้าร่วประชุมไม่เกิน 58 ชาติ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี วิลสัน
ไม่เคยกล่าวถึง เมื่อเขาไม่สามารถทำให้ได้รับเสียงโหวต สองในสาม ในสภาสูงของสหรัฐฯ
สำหรับการลงสัตยาบันในสนธิสัญญานี้ และสหรัฐฯ ก็ไม่เคยเข้าร่วมประชุมกับ สันนิบาตแห่งชาติเลย
นี่คือการเปิดเผยตัวเต็มที่ของเหล่าผู้สมคบคิดเพราะมั่นใจว่าจะเป็นที่ยอมรับ
พวกเขาคิดว่าสหรัฐฯ ล้มเหลวจากการตบตานี้ เป็นเพราะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ที่ซึ่งสนับสนุนมันทำล้มเหลว
โดยทันที เมื่อกลุ่มผู้สมคบคิดมองเห็นว่า รัฐบาลเดียวของโลก (One World Government)
ไม่สามารถบรรลุความสำเร็จโดยใช้ชื่อ สันนิบาตแห่งชาติ พลเอกเฮาส์ ภายใต้คำสั่งของ จาคอบ ชิฟฟ์
ได้ก่อตั้งองค์รกรลับของชนชั้นสูง ที่เรียกว่า สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สมาคมลับส่วนบุคคลนี้ ก็คือการสร้าง สมาชิกสภาล่าง, สมาชิกวุฒิสภา และผู้ว่าการรัฐ และอื่นๆ ขึ้นมาเอง
จากนั้นความพยายามขั้นต่อไปที่จะรวมสหรัฐฯ ไปสู่รัฐบาลเดียวของโลก จะไม่มีความผิดพลาดอีก
เพราะว่าอำนาจของเสียงโหวตที่พวกเขามีอยู่ แต่ผู้อ่านต้องไม่ลืมว่า ไม่ใช่รัฐบาลสหรัฐฯ ที่เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง
ดูได้จากรายงานประจำปี ค.ศ. 1979-1980 ของสภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ถูกตีพิมพ์ออกมา
อันซึ่งถูกควบคุมโดย เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ หาอ่านได้ที่หน้า 5 มีใจความว่า
"The Twenty-one Americans, who, together with British counterparts, founded in Paris in 1919
'The Institute of International Affairs,' were a diverse group that included Col. Edward M. House,
Herbert Hoover, Gen. Tasker Bliss, Christian Herter, and such scholars as Charles Seymour,
later president of Yale, Professors Archibald Cary Coolidge of Harvard and James T. Shotwell of Columbia.
In 1921 their American branch of the Institute
MERGED WITH A LARGER,
EXISTING GROUP OF NEW YORK BUSINESS AND PROFESSIONAL MEN
TO FORM THE COUNCIL ON FOREIGN RELATIONS, INC."ในวันนี้เราอยู่ระหว่างความพยายามขั้นที่สอง สำหรับคำขวัญที่ว่า NOVUS ORDO SECLORUM, หรือ
การจัดระเบียบโลกใหม่ สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นแค่ส่วนหน้าของกลุ่มอิลูมิเนติในสหรัฐฯ เท่านั้น
สำหรับการตั้งรัฐบาลโลก ยังมีพี่น้องของเขาอยู่ในอังกฤษด้วยเช่นกัน ใช้ชื่อว่า
The Institute of International Affairsกลุ่มมหาเศรษฐีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ลัทธิข้ามชาติ อันซึ่งถูกรับรองโดย IRS ก็คือ องค์กรที่เรียกกันว่าเป็นองค์กรการกุศล
ใช้ชื่อว่า The American Friends of Bilderbergers
การเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ เหมือนกับกลุ่มปฏิวัติ จาโคแบง คลับ ในฝรั่งเศส พวกเขาเลือกใช้ชื่อนี้
จากชื่อสถานที่ที่ใช้พบปะกันครั้งแรก ในกรณีนี้คือ โรงแรมบิลเดอร์เบิร์ก ประเทศฮอลแลนด์ ในปี ค.ศ. 1954
(the Bilderberg Hotel in Oosterbeek, Holland in May of 1954)เหมือนกับกลุ่ม จาโคแบง คลับ, บอลเชวิก และ สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
กลุ่มบิลเดอร์เบิร์กเป็นสมาคมลับของชนชั้นสูง สำหรับเหล่ามหาเศรษฐี มันถูกสร้างขึ้นจาก
โลกแห่งการทำธุรกิจธนาคารข้ามชาติ, วงจรการเมือง และธุรกิจ และรวมถึงประชาชนทั่วไปที่เป็นมืออาชีพ
พวกเขายึดถือการพบปะกันเป็นประจำให้เป็นความลับสูงสุด เพื่อสนับสนุนลัทธิข้ามชาติ
ประธานของสมาคมลับชั้นสูงนี้คือ
Prince Bernard of the Netherlands(เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2004) royal consort of Queen Juliana,
ผู้ที่ซึ่งมีรายงานว่า เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ราชินีจูเลียน่า (Queen Juliana)
และ
ลอร์ด รอทช์ไชล์(Lord Rothschild) เป็นผู้ที่ถือหุ้นของบริษัท
เชลล์ ออยล์ (Shell Oil Company)ขณะที่ตระกูล ร็อกกี้เฟลเลอร์ ควบคุม
สแตนดาร์ด ออยล์ (Standard Oil)กลุ่มบิลเดอร์เบิร์ก รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า "The 500." เดส กริฟฟิน ระบุชื่อบางคนที่ถูกเชิญเป็นแขก
ในการพบปะกันประจำปีของกลุ่มบิลเดอร์เบิร์ก ในหนังสือของเขา Fourth Reich of the Rich, หน้า 118
"A lot can be learned from noting the names of the people who attend these clandestine annual meetings:
David and Nelson Rockefeller,
Emilio Collado, ประธานบริหารของ Exxon Corporation,
Ciovanni Agnelli, เจ้าของ the Fiat car company,
Robert Strange McNamara, ประธานของ World bank ขณะนั้น,
Heinz (Henry) Kissinger, Gerald Ford, Senator Mathias,
นายกรัฐมนตรีของอังกฤษขณะนั้น James Callaghan AND his "conservative" counterpart Margaret Thatcher,
ประธานาธิบดีหุ่นเชิดของกลุ่มรอทช์ไชลด์ Valery Giscard D'Estang of France,
และผู้คนที่มีตำแหน่งเทียบเท่าจากอีกหลายๆ ชาติ"
ในขณะเดียวกันตามรายงานประจำปีของสภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศปี ค.ศ. 1979-1980, มีรายชื่อดังนี้
Kissinger, Mathias and a host of other political American figures are members of the Council.
Howard Baker, George Ball, Harold Brown, Ellsworth Bunker, Donald Bush, Hodding Carter,
Douglas Dillon, Arthur Goldberg, Alexander Haig, Jacob Javits, David LIttle, Henry Cabot Lodge,
George McGovern, Robert McNamara, Walter Mondale, Donald Began, Dean Rusk,
Adlai Stevenson III, and Andrew Young ซึ่งเป็นเพียงรายชื่อจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่มีชื่ออยู่ในสมาคมลับนี้
ย้อนกลับไปตอนที่ วิลสัน ตั้งสำนักงานใหญ่สำหรับ สันนิบาตแห่งชาติ ในการจัดระเบียบโลกใหม่นานาชาตินี้
ในวันนี้ ผลงานชิ้นเอกในการหลอกชาติต่างๆ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น สหประชาชาติ (United Nations)
ชาติเดิมๆ มากมายที่ถูกต้มโดยเหล่าผู้นำให้เข้าสู่ สันนิบาตแห่งชาติ ก็ได้ถูกต้มอีกครั้งหนึ่งให้เข้าร่วมกับ สหประชาชาติ