น้ำมันรั่วจัง.... แต่ก็แค่ข่าวเล็กๆ ไร้คนสนใจ
ทะเลไทย มีทรัพยากรมากพอที่จะเลี้ยงคนไทยได้ไม่แพ้แผ่นดินไทยนะครับ
ภาพเกาะเสม็ดในวันเก่า
เกาะเสม็ดในวันนี้
จาก
https://www.facebook.com/kookkai.chaisenaจาก
https://www.facebook.com/profile.php?id=100001290412439&hc_location=timelineระยอง
จาก
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.177885322389378.1073741868.133099550201289&type=1สารเคมีไม่ได้ทำให้คราบน้ำมันหายไป มันแค่แปลงมวลน้ำมันดิบผืนใหญ่ให้แตกตัวเป็นก้อนเล็กๆ
ซึ่งเชื่อว่าจะย่อยสลายตามธรรมชาติได้รวดเร็วขึ้น แต่ความจริงมิได้เป็นอย่างนั้น ณ โลกใต้ทะเล
ดร.ซูซานเห็นการทำปฏิกิริยาของสารเคมีกำจัดคราบน้ำมันชัดเจน เธอรู้ทันที มันกำลังปลดปล่อย
สารพัดไฮโดรคาร์บอนในน้ำมันดิบสู่ท้องทะเลในปริมาณมากกว่าที่เกิดขึ้นกับคราบน้ำมันบนผิวน้ำ
เสียอีก ทั้งหมดเป็นพิษต่อทุกอวัยวะของสิ่งมีชีวิต บ้างเข้าข่ายสารก่อมะเร็ง
บีพีพยายามบรรเทาผลกระทบและจำกัดขอบเขตพื้นที่ปนเปื้อนน้ำมันดิบด้วยการดูดคราบน้ำมัน
การจุดไฟเผาน้ำมันทิ้ง และการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดคราบน้ำมัน โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ยอมให้บีพี
ใช้สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันมากถึง 2 ล้านแกลลอน ซึ่งถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์...ปริมาณ
สารเคมีตกค้างย่อมมากขึ้นตามไปอย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังส่งผลกระทบยาวนานและรุนแรงกว่า
การปนเปื้อนคราบน้ำมันล้วนๆ เสียด้วยสิ
ฉันหวังว่าการรั่วไหลของน้ำมันครั้งนี้จะเป็นการปลุกกระแสครั้งใหญ่ให้ทุกฝ่ายตื่นตัวพร้อมรับมือ
แต่เอาเข้าจริงพวกเรายังคงเดินหน้าขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลในระดับที่ลึกลงไปเรื่อยๆ และรอคอย
ให้หายนะครั้งต่อไปเกิดขึ้นซ้ำรอย
ดร.ซูซาน ซอว์ (Susan Shaw) นักพิษวิทยาทางทะเล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ ซึ่งประกอบด้วย
นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้า 14 คน เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์เชิงลึกและประเมินผลกระทบจากการ-
รั่วไหลของน้ำมันดิบ รวมถึงเสนอคำแนะนำในเชิงนโยบาย กรณีแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัท-
บริติช ปิโตรเลียม (บีพี) ในอ่าวเม็กซิโก เกิดระเบิดขึ้นเมื่อ 20 เมษายน 2553
จาก
https://www.facebook.com/bnasae?fref=ts