ทะเลไทยไม่ใช่เพิ่งวิกฤตครับมันวิกฤตมานานแล้ว
ข้อมูลบางส่วนจากเรือ เรือเอสเพอรันซา ที่มาเยือนอ่าวไทย
ในปี พ.ศ. 2538 ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้สูงสุดมีมากถึง 2,844,409 เมตริกตัน และลดลงหลังจากนั้นเป็นต้นมา
การประมงเชิงพาณิชย์มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 90 ส่วนประมงพื้นบ้านขนาดเล็กมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 10
ทั้งในทะเลอ่าวไทยและอันดามัน
สัตว์น้ำที่จับได้ลดลงจาก 300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2503-2512
เป็นน้อยกว่า 25 กิโลกรัมต่อชั่วโมงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอ่านข้อมูลเต็มๆ จากที่นี่
http://www.greenpeace.org/seasia/th/press/releases/esperanza-sea-patrol-report/ สิ่งที่ผมได้ยินประจำเวลาพูดถึงปัญหาการทำประมงในอ่าวไทยคือ การห้ามใช้อวนตาถี่ การห้ามจับปลาในฤดูวางไข่ การกำหนดอาณาเขตห้ามจับสัตว์น้ำชายฝั่ง
ผมฟังข้อมูลเหล่านี้แล้ว ผมขัดใจ ประหลาดใจทุกครั้งว่า ดูเหมือนภาครัฐจะเข้าใจปัญหาดี รู้หมด แต่ทำไม ไม่ขุดคุ้ยต้นตอของปัญหาให้ลึกลงไปอีก
ทำไม่ไม่ถามเพิ่มขึ้นว่า
- แล้วเรือประมงเหล่านั้นจับปลาตัวเล็กที่ยังไม่ถึงเวลาจะเป็นอาหารของคนขึ้นมาทำไม
- ในเมื่อมีการจับแสดงว่า มันขายได้ ขายให้ใคร ซื้อปลาตัวเล็กไปทำไม
- ในเมื่อมีคนซื้อ มันก็ต้องมีคนขาย มีคนจับ ไม่มีใครจับเพราะนึกสนุกหรอก
- อยากหยุดทำลายล้างอ่าวไทย มันต้องหยุดที่ต้นตอครับ
ถ้าเราหยุดทำลายสัตว์น้ำ ผมเชื่อว่าธรรมชาติมันจะรักษาตัวเองได้ครับสัก 3-5 หรือ 7 ปี เรารอได้ครับ
อย่าให้ลูกหลานกินปลากะพงตัวละ 1500 บาทเลย ตอนนี้จานหนึ่งปลาตัวเดียวก็ 350 บาทเข้าไปแล้ว