แฮ่ะ..ผู้กินกับ เอ้ยผู้กำกับครับ ถ้าบัญชีไม่มีการเบิกล่ะครับ แต่คนมีกะตังขายทองซักกิโลนึง ล้านกว่าๆ ได้เงินสดมาใช้ จะตามกลิ่นยังไงครับ อิอิ
นายสมชายคุยต่อแบบคนชอบดูหนังบู๊นะครับ... นักสืบตัวจริงกำลังนั่งหัวเราะอยู่หลังจอ... ฮา...
ตามข่าวว่าจ่ายเงินแค่ 6 แสนบาท สำหรับคนทั่วไปถือว่าแยะ เพราะรถเก๋งญี่ปุ่นได้ 1 คัน แต่สำหรับหมอในธุรกิจความงามแบบหมอนิ่มที่เล่นหุ้นด้วย(รู้จักกับผู้ติดต่อเอเจ็นต์มือปืนเพราะ ผู้ต้องหาเป็นมาร์เก็ตติ้งของโบรคเกอร์ แล้วไปเป็นลูกค้าหมอนิ่มฯ)... หมอในธุรกิจความงามที่มือไม่แย่ น่าจะมีรายได้ระหว่าง 2 - 3 แสนบาท/เดือน, ดังนั้นเงินแค่ 6 แสนนั้นใน บ/ช. ไม่กระเพื่อมครับ ยิ่งหากเล่นหุ้นพอร์ตโตเสียด้วย แค่เงินซื้อ/ขายหุ้นวันเดียวมันก็เกินนี้หลายเท่า...
ในหนังบู๊เขาก็จะตามดูรายการเงินกระเพื่อมในบุคคลที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลานั้น เพราะหากต้นทางไม่กระเพื่อม มันก็น่าจะไปกระเพื่อมที่ปลายทาง(เช่นซื้อของราคาแพง, จ่ายหนี้ก้อนโต ฯลฯ)... นอกจากเรื่องเงินแล้วก็มีเรื่องอื่น เช่นเดินทางไปผิดสถานที่ เข้า/ออกจากบ้าน(ที่ทำงาน)ผิดช่วงเวลาประจำ หรือพบปะบุคคลใหม่ๆในสถานที่ใหม่ๆ(ดูพิรุธทั่วไปเหมือนเราเปิดฝากระโปรงรถยนต์ตอนเช้าก่อนขี่รถไปทำงาน)...
เรื่องแบบนี้เอามาจากหนังบู๊ฮอลลีวูดไงครับ... แต่ถ้าเป็นหนังไทยฯ บางทีผู้กำกำไม่ได้ตั้งใจหลอกเรา มีพิรุธให้จับผิดจนเต็มจอเลย, หรือไปนั่งจับพิรุธคนโง่ มันจะไม่มี Pattern ให้จับผิด เพราะคนโง่มันจะเหมือนคนหัดขับรถบนถนน ไม่เปิดไฟเลี้ยวก่อนย้ายเลน เลยเดาทางไม่ถูกครับ... ฮา...