พลเรือเอก Samuel Locklear เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี -
เวลา 09.00 น. พลเรือเอก Samuel Locklear (แซมมวล เจ. ล็อคเลียร์)
ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐอเมริกาประจำภาคพื้นแปซิฟิก
(United States Command USPACOM)
เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
โดย ลูกชาวนาไทยภาพ ผบ.ทหารสหรัฐภาคพื้นแปซิฟิก
เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร
มันมีนัยยะทางการเมืองมากมาย
เพราะมีสภาพเหมือนเดินฝ่าควันปืนในสงครามกลางเมืองเข้าพบอีกฝ่าย
หากเรามองให้ลึกคือการแสดงภาพเพื่อปรามฝ่ายขวาจัดในไทยไม่ให้ทำรัฐประหาร
เพราะหากไม่ต้องการยุ่งในสถานการณ์ที่ยากลำบากของไทยแล้ว
อเมริกันคงไม่โง่พอที่จะเลือกส่ง ผบ.กองทัพสหรัฐ ชั้นนำแบบนี้เข้ามา เขาคงรอดูมากกว่า
เราเห็นชัดเจนว่ามหาอำนาจหลายประเทศทั้งจีน อเมริกา อียู
แสดงท่าทีทางการเมืองไทยอย่างชัดเจน
แม้เขาจะพูดได้เพียงว่า ต้องการให้เจรจา เพราะทางการทูตย่อมพูดได้แค่นั้น
แต่นัยยะคือ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ โดยการใช้กำลัง
ทุกฝ่ายทราบดีว่า หากเมืองไทยไร้สเถียรภาพทางการเมือง
มันจะกระทบสเถียรภาพทางการเมืองในอาเซียนอย่างแน่นอน
มันจะทำให้ภูมิภาคนี้ไร้เสถียรภาพยิ่งขึ้น
อาเซียนที่กำลังรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
เป็นจุดหนึ่งของโลกที่กำลังเติบโตทั้งการค้าและการลงทุน
ผ่าน "ประชาคมเศรษฐกิจ AEC " ทุกประเทศได้ประโยชน์
แต่มันจะสะดุดทันที หากมีการทำรัฐประหารในไทย
ที่ทุกคนรู้ว่า รัฐประหารครั้งนี้ไม่มีทางจบแบบสันติแน่
การปรามฝ่ายทหารไม่ให้คิดเลยเถิด จึงต้องเกิดขึ้น
เมื่อไม่มีรัฐประหาร การแก้ไขปัญหา การใช้กำลัง นองเลือดจะไม่เกิดขึ้น
สุดท้ายก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย Rule of law ในที่สุด
อันที่จริงหากจะดูท่าทีอเมริกัน เราต้องดูที่ทูตสหรัฐประจำประเทศไทยคือ
ทูตคริสตี้ ที่ย้ายมาจากฟิลิปปินส์ มาประจำประเทศไทย
ทูตคริสตี้เคยมีประสบการณ์ ช่วงความยุ่งยากในฟิลิปปินส์
ที่เธอสามารถช่วย Calm Down สถานการณ์ได้มาก
ดังนั้น เมื่อมีปัญหาในไทยและทูตคนเก่าของสหรัฐที่มีภรรยาเป็นคนไทย
พูดไทยได้ นั้นเลือกข้างฝ่ายชนชั้นนำมากเกินไป
ทำให้ฝ่ายบริหารอเมริกันประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
การส่งทูตคริสตี้มา คือ การเปลี่ยนนโยบาย
เป็น ถอยห่างออกไปจากชนชั้นนำไทย ไปหลายก้าว
แม้จะไม่เลือกข้างชัดเจน แต่อเมริกันก็ยืนตรงกลางมากขึ้น