โห... นายโง่เอ๊ย...
โง่หลายอย่าง ยิ่งคุยก็ยิ่งรู้ว่าโง่, ที่บอกว่าโง่ ก็เพราะไม่เคยศึกษาข้อมูลก่อนจะเอามาคุย... อ่านยังไงหว่า ที่ว่าปรี๊ดแตก, ลองอ่านให้ดีจะรู้ว่ารำคาญน่ะมันพัลวัลพัลเก เพราะมันก็เรื่องเดิมๆทั้งนั้น ไม่รู้จักอ่านให้ดีก่อนเอามาเถียงฯ...
เอาทีละเรื่อง เรื่องหาเมียน่ะ ลองนั่งพิจารณาให้ดีก็รู้เรื่องไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่คนโง่มันพยายามนึกไม่ออก เพราะสมองมันโง่ พยายามหาข้อเถียงให้ได้ ตามประสาคนโง่มีทิษฐิ... ประเด็นคือไม่มีใครเขาอยากให้ลูกสาวเขาต้องมาทุกข์ระทม ลำเค็ญ เอากับคนที่ไม่มีปัญญาสร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงหรอก ยกเว้นว่ามันมีเงื่อนไขอื่นที่เลือกไม่ได้(เช่นไม่มีใครมาจีบเอาเสียเลย), นี่คือหลักทั่วไปพื้นฐาน แต่ทำไมนายชงโคถึงได้ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลยกับไอ้เรื่องแบบนี้ คำตอบคือมันโง่...
เรื่องตำรานี่ก็เหมือนกัน อธิบายให้ท่านอื่นที่หลงเขามาอ่าน จะได้ไม่โดนตรรกะบิดเบี้ยวของคนโง่มันบังตา... ตำราคอมพิวเตอร์ที่ขายดี จะไม่ใช่ตำราที่พิมพ์ขายในมหาลัย แล้วบังคับให้นักศึกษาใช้เรียนประกอบการสอนฯ เพราะยอดขายมันน้อย เท่าจำนวนนักเรียนที่ลงทะเบียนเรียนนั่นแหละ(ยกเว้น ม.รามฯ) สาเหตุก็คือแต่ละมหาลัย เขาก็พยายามให้นักศึกษาใช้ตำราของอาจารย์ผู้สอนของ ม.ของตนเอง เพราะต้องการขายหนังสือให้คุ้มทุนที่อุตส่าห์พิมพ์จำนวนแยะ เพื่อให้เข้าเงื่อนไขขอตำแหน่งทางวิชาการ(เช่น ผศ.)...
แต่ตำราที่ขายดี จะเป็นของสำนักพิมพ์ที่มีร้านหนังสือเป็นเครือข่ายของตนเอง ซึ่งในประเทศไทย หันไปหันมาก็จะพบว่าเบอร์หนึ่งคิอซี-เอ็ดฯ, แต่รายได้จากการขายตำราจะไม่ได้มากมายอะไรนัก ต้องใช้วิธีแต่งหลายเล่ม ซึ่งก็ยังไม่มากอยู่ดี, หากแต่งเองจะได้เป็นค่าลิขสิทธิ์จากยอดขาย และหากแปล/เรียบเรียง จะได้ครั้งเดียว และลิขสิทธิ์พิมพ์ขายจะเป็นของสำนักพิมพ์... เรื่องแต่งตำรากับสำนักพิมพ์ใหญ่แล้ววางแผงในร้านได้ นี่ไม่ใช่ว่า อ.มหาลัยทุกคนจะทำได้ เพราะไม่ใช่ใครทุกคนจะเขียนหนังสือแล้วคนอ่านเข้าใจได้ง่าย (เพราะไม่มีโอกาสอธิบายซ้ำที่หน้าชั้นเรียนฯ เหมือนตำรา In House)...
เดี๋ยวมาต่อเรื่องหุ้นฯ... แต่รับรองว่าไม่ใช่แบบที่นายชงโคโง่นั่นบอกหรอก...
เรื่องหุ้นนี่ อธิบายให้ท่านอื่นที่หลงเอามาอ่านฯ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งไม่เหมือนที่นายชงโคบิดเบือนตามประสาคนโง่อวดฉลาดฯ...
คนเล่นหุ้นในตลาดหุ้นจะมีอยู่ 2 ประเภท(ไม่นับขามั่ว) คือพวก 1) เล่นพื้นฐานฯ พวกนี้จะดูพื้นฐานกิจการ สภาพเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยมีสมมติฐานว่าเศรษฐกิจดีหุ้นขึ้น เศรษฐกิจไม่ดี บริษัทไม่มีกำไร ราคาหุ้นจะลด พวกนี้เรียกว่า VI และถือครองหุ้นนาน บางคนถือข้ามปีก็มี... และ 2) คือเล่นหุ้นด้วยกราฟ เรียกว่าเทคนิคัลฯ พวกนี้มีสมมติฐานว่าคนกลุ่มแรกนั่นแหละฉลาดไม่เท่ากัน รู้ข้อมูลข่าวสารไม่เท่ากัน, คนที่ได้ข้อมูลอย่างเดียวกัน บางคนให้คุณค่าไม่เท่ากัน บางคนบอกดี บางคนบอกดีน้อยหน่อย หรือบางคนบอกว่าไม่ดี...
พวกเล่นด้วยกราฟก็เลยรอให้คนกลุ่มที่ 1 นั่นแหละ ซื้อ/ขาย สู้กันให้หมดแรง แล้วฝ่ายไหนชนะก็ตามน้ำฝ่ายนั้น... หากพวกขายชนะกราฟก็ลง หากพวกซื้อชนะ กราฟก็ขึ้น, พวกเล่นกราฟเลยไม่สนใจอะไรรอให้ขึ้นก็ซื้อ แล้วรอให้กราฟบอกลงก็ขายทิ้ง, ไม่ถือเก็บหุ้นเอาไว้นานเหมือนพวกกลุ่มแรก พวกนี้ถือหุ้นเหมือนทุ่นลอยปริ่มน้ำตลอดเวลาไม่ว่าน้ำจะขึ้นหรือลงก็อยู่ผิวน้ำ...
แต่คนคนส่วนใหญ่เป็น VI ไม่ได้ เพราะโดนข่าวโน้นข่าวนี้เข้าก็มึนละ เอ้าขายก่อนดีไหม เดี๋ยวค่อยไปซื้อคืน, หรือว่าจะรอทุกอย่างชัดเจนก่อนดีกว่าค่อยซื้อ พอชัดเจนได้ไม่ถึงเดือน ข่าวใหม่มาอีกแล้ว กลายเป็นว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาของ VI, หากเข้าซื้อตอนนี้เดียวลงไป800 ขาดทุนเยอะแน่เลย ดังนั้นเล่นรอบดีกว่า... มีเหตุผลมากมายครับ ที่ทำให้คนเป็นVI ไม่ได้ สู้เก็งกำไรเร็วกว่าเยอะ ได้เสียไปเลย ไม่ต้องรอ แต่ต้องเก่งด้วย เพราะหากพลาดแล้วก็เสียเร็วเหมือนกัน...
คีย์เวิร์ดคือคำถามว่า"รู้ล่วงหน้าในระยะสั้นๆ เช่น 5 วัน 7 วัน ได้หรือไม่ว่าเมื่อไหร่หุ้นจะขึ้น เมื่อไหร่หุ้นจะลง", หากไม่สามารถรู้ได้ล่วงหน้าในระยะสั้น ก็มีอยู่ 3 วิธีคือ... 1) ย้ายไปเล่นแนว VI, 2) ศึกษาให้รู้ หรือ 3) ไม่ต้องเล่นหุ้นเลย...
ทีนี้ทอดตาทั่วแผ่นดินไทย คนที่รู้ล่วงหน้าว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงมีแค่ 3 กลุ่ม... 1) พวกเฮ็ดจ์ฟันด์(รวมถึงพวกบริหารพอร์ตของ บ. กองทุนด้วย) 2) รายย่อยที่รู้เรื่องเทคนิค(เช่นกลุ่มลุงโฉลก - บางคนไม่ใช่ทั้งหมด เพราะลุงโฉลกเองก็กั๊กวิชาฯ) และ 3) คือรายใหญ่ เช่นเสี่ยยักษ์ ฯลฯ ...
ส่วนพวกแต่งตำราหุ้น หรือตำราเศรษฐศาสตร์ หรือนักวิเคราะห์ฯ ของ บ.โบรคเกอร์ ทั้งหลายนั่น, บอกได้เลยว่าไม่มีใครรู้จริงเลยสักคน(หรือรู้จริง แต่ไม่เคยพูดสิ่งที่ตนเองรู้ - กั๊กเอาไว้)... ตรรกะดูง่ายๆ ก็เช่นพวกนี้ทำไมยังรับเงินเดือนอยู่ ในเมื่อเล่นหุ้นพอร์ต 1 แสนบาท กำไรต่อเดือน 20 เปอร์เซ็นต์ ทบต้นเข้าไปเมื่อสิ้นปีมันได้ 8.9 เท่า!!!, และยังไม่นับที่พวกนักวิเคราะห์มักเฉลยสาเหตุหุ้นขึ้นหรือลง เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว(เหมือนใบ้หวยเมื่อหวยออกแล้ว ยังไงก็ถูก)...
หนึ่งปีได้เงิน 8.9 เท่า!!!, แล้วจะทำบ้าไปนั่งทำงานรับเงินเดือนทำไม?... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องพิจารณาความสามารถตนเองเรื่องการควบคุมจิตใจตนเองไม่ให้เต้นด้วย, เพราะเมื่อขนาดพอร์ตโตขึ้น การตัดสินใจจะไม่เหมือนเดิม...
เรื่องการรู้ได้ล่วงหน้าว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงนี่เป็นเรื่องเกินความคาดหมายของผู้คนส่วนใหญ่ของทั้งโลก แต่เรื่องนี้มีอยู่จริง เพียงแต่ไม่มีใครเขาเอามาพูดกัน เพราะผู้คนส่วนใหญ่จะคิดเอาว่าเรื่องนี้เกินความสามารถของมนุษย์... แต่ลองดูในกระทู้หุ้นใน เว็บ อวป. นี่แหละ, อย่าว่าแต่ตัวเลขหุ้นเลย แม้แต่ดัชนี Set เองก็ยังสามารถบอกได้ล่วงหน้าคลาดเคลื่อนไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะเมื่อดัชนี Set กำลังจะผ่านแนวรับ/แนวต้าน...
กระทู้หุ้นรอนแรมมาได้นานปีแล้วครับ พิสูจน์ตัวเองมาได้จนไม่รู้จะพิสูจน์อย่างไรแล้ว... และที่สำคัญในนั้นบอกวิธีการอ่านกราฟไว้แล้ว ใครก็สามารถนั่งศึกษาได้เลย โดยเปิดกราฟหุ้นของจริงเทียบวันเวลากับกระทู้ด้วย จะเห็นว่ารู้ล่วงหน้าทั้งนั้น ถึงแม้ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่แค่ 80 เปอร์เซ็นต์มันก็ทำกำไรได้เกินพอครับ...
ในกระทู้หุ้นนั่นแหละ ศึกษาให้ดี เล่นให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือนมันอยู่ในวิสัยครับ... ท่านใดอ่านในกระทู้นั้นแล้วสงสัยเรื่องใดก็ถามนายสมชายได้ครับ(แต่ทราบข้อมูลแล้วต้องตัดสินใจด้วยตนเอง), นายสมชายจะไม่บอกว่า"จะสอนให้นะ" เพราะนั่นคือวลีคนโง่ครับ แต่เรามาสนทนากันเรื่องหุ้น ต่างหากฯ...
สำหรับนายชงโคนี่, ขอบอกเลยว่าโลกแคบมาก(และโง่) แล้วก็คิดไปว่าฉันนี้มันเก่งเต็มที่แล้ว อะไรที่ตนเองทำไม่ได้ก็นึกว่าคนอื่นทำไม่ได้(เหมือนกบในกะลา)... เรื่องเล่นหุ้นกินเงินปันผลน่ะ สำหรับคนที่ไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้ตามกราฟเขาใช้กัน ก็ปันผลอย่างมากก็ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์/ปี, แต่เล่นกราฟเดือนเดียวได้ 20 เปอร์เซ็นต์...
คีย์เวิร์ดคือ"รู้ล่วงหน้าได้หรือไม่"... หากอยากรู้ ก็ต้องไปอ่านกระทู้หุ้น...
ยกนี้เข้ามาอ่านเฉยๆครับ ยังไม่อยากคอมเม้นอะไรนัก
แต่
เรื่องโง่ นายสมชายควรจะห่วงตัวเองมากกว่า ไม่ต้องมาห่วงผมหรอกครับ จุ๊บๆๆ.