แค่เอาความคิดของข้าราชการมียาง ๒๐๐ ไร่ มาพูดก็ผิดแล้ว
ลองเอาชาวบ้านธรรมดามียางแค่ ๗ - ๑๐ ไร่ มาพูดบ้างสิ กับราคายาง กก.ละ ๕๕ บาท จะอยู่ได้มั้ย ?
ขอมาก็....จัดไป....... อะไรมันจะหรอยเท่าแหลงเรื่องเพื่อน
บ้านหลังหนึ่ง พ่อ-แม่ ลูก 2 คน หญิงทั้งคู่ แต่งงาน(หนีตามกันมา)เมื่อปี 2541 แม่ยายตามมาทันเลยแต่งกันฉุกละหุก
เพราะฝ่ายสาวเจ้านั้น คอนดิชั่น1 ....ลูกอยู่ใน..!!
สร้างหนำกระต๊อบอยู่หยาบ ๆ พื้นกระดานหลังคาสังกะสีในสวนยางใกล้บ้านฝ่ายชาย
แม่ฝ่ายชายยกสวนให้ 1 ขนัด ที่ดิน 10 ไร่เศษ แต่
เป็นยางเพียง 7 ไร่ ที่เหลือเป็นสวนลูกเนียง สะตอ จำปาดะ ฯลฯ
ปลายปี 41 เกิดลูกคนแรก ปลายปี 42 ลูกคนที่สอง...
รุ่นนั้น ...ฉีกผ้าถุงทำผ้าอ้อม เกิดกะพยาบาลที่อนามัยในตลาดนิ...ไม่ได้ฝากพิส่งพิเศษอะไรหรอก
----ตอนนั้น น้ำมันรถเครื่อง 15 บาท/ลิตร หมู 50 - 55 บาท/กิโล ยางแผ่น กิโลละ 24 บาทผัวกรีดยาง วันละ 15 - 20 ผืน น้ำหนักเฉลี่ยผืนละประมาณ 1.2 ก.ก. เฉลี่ยเดือนละ 18 วัน (ตัด2เว้น1)
รายได้ ณ ขณะนั้น ประมาณ 9,000 บาท/เดือน รายจ่าย ก็ราว ๆ นั้น มีสะสมจากสัจจะและจากแชร์
ทรัพย์สิน มีรถฮอนด้าเวฟ110 ใหม่ ๆ 1 คัน ฮอนด้า90คัสต้อม สภาพหายไปไม่เสียดายมากอีก 1 คัน
ตู้เย็น ทีวี 14 นิ้ว นกกรงหัวจุกราคาห้าพัน 1 ตัว (มันตั้งราคาของมันเอง..
) สร้อยทอง 2 สลึง
อื่น ๆ อีกจิปาถะ ....มันอาจจะมีของมันอีกนะ แต่เท่าที่เข้านอกออกใน มันมีเท่าที่ว่ามา...
......อยู่ ๆ มาร่วมสิบปี... สร้างบ้านก่ออิฐถือปูนขนาด 60 - 70 ตารางเมตร ในงบพอสมฐานะหลังหนึ่ง
ลูกก็โตขึ้นจนจบประถม ไม่ต้องประคบประหงม ก็ให้ขับรถเครื่องไปขึ้นสองแถวกันเอง
ก็เลยไปเอายางของญาติอีกสวนหนึ่งมาตัดแบ่ง 50-50 อีกเช้าละ 30 ผืน
ราคายางก็สูงขึ้น รายได้ของสองคนนี้ มากพอที่จะซื้อโทรศัพท์เครื่องละครึ่งหมื่นให้ลูกคนละเครื่อง
มากพอที่จะกล้าให้ลูกเข้าเรียนโครงการ EP ของโรงเรียนมัธยมดังในเมืองทั้ง 2 คน
มากพอที่จะกล้าเล่นแชร์มือละสองพันถึง 4 มือจาก 2 ท้าว
มากพอที่จะกล้าดาวน์ดีแม็กซ์รุ่นแรก มือสองจากเต๊นท์มาผ่อนเดือนละหกพัน
....เท่าไหร่ต่อเดือนเข้าไปแล้วล่ะ....
ลูก วันละ150/คน 2 คน 300 ต่อวัน เสาร์อาทิตย์เรียนพิเศษตามสมัยนิยม เดือนละ 1,500/คน
ค่าเทอม EP. 25,000/เทอม/คน
ผ่อนรถยนต์ 6,000/เดือน แชร์ 8,000/เดือน
ค่ากินค่าอยู่ ค่าโน่นนี่นั่น มาจากยางสองสวน ซึ่ง
ตอนนั้น รายได้อยู่ที่ เดือนละ 50,000 (ถัวเอาตัวเลขกลม ๆ ที่ยางกิโลละ 75 บาท)จุดเปลี่ยน คงจะเป็นตอนปลายปี 53 ที่ขายดีแม็กซ์ตอนครึ่ง ไปดาวน์ ดีแม็กซ์ 4 ประตู โฟร์วีล ออโต้ เครื่องสามพัน ตัวท็อป ราคาสดร่วมล้านปี 54 ยางพรวดขึ้นไปถึงเกือบ 200 บาท/ก.ก. สองคนนี้มีรายได้เดือนละแสนกว่า...
ปลายมีนาคมปีเดียวกัน ยางกำลังผลัดใบ สองคนนี้กรีดผ่าใบอ่อน (ถึงจะกรีดเช้าเว้นสองก็เหอะ)
.....ฝนหลงฤดูถล่มนบพิตำ.... ตกอยู่ 12 วันต่อเนื่อง
สวนทั้งสองแปลงไม่ได้โดนน้ำท่วม แต่โดนไอ้ที่ร้ายกว่าน้ำท่วมแทน.....
ยางใบอ่อนฉ่ำน้ำ ปุบปับแล้งพรวดพราด ยางโดนเชื้อราถล่มทั้งสวน เกือบทุกสวนที่ใบยังอ่อน ๆ โดนถ้วนหน้า
ผลจากโรคราครั้งนั้น ยางที่ไปกรีดของญาติถูกสั่งหยุด....ยางตัวเองแค่นกรีดฝืนกรีดผ่าโรคก็ได้แค่เช้าละ 5 - 6 ผืน
ราคายางก็ขาลง รายได้เหลือเดือนละ"สองหมื่น"
ณ วันนี้ สวนยางสิบกว่าไร่นั้น โฉนดอยู่ที่ ธกส. เพื่อเอาเงินมาปิดไฟแนนท์ดีแม็กซ์ (ผมเขียนโครงการขอกู้ให้)
ตอนนี้ ใกล้หมดเวลาพักชำระหนี้แล้วด้วย แต่สามปีที่พักชำระ ไม่ได้ส่งสักบาท ฌาปนกิจก็ไม่ไปจ่าย
ลูกสาวคนโต เรียน ม.4 หลักสูตรธรรมดา คนเล็ก ม.3 EP ไม่เรียนพิเศษอีกแล้ว
แต่คนพี่ ขอ IPhon 4s แลกกับการไม่ได้เรียนวิทย์เข้มข้น ซึ่งก็ได้ไปโดยบัตรอิออนของแม่
ตอนนี้เขากรีดยางขายน้ำยางให้กับสหกรณ์โรงรม กรีดของคนอื่นสองสวน ได้วันละราว 100 กิโลน้ำยาง
ของตัวเองทำยางก้อนถ้วย คือขี้ยางนั่นแหละ
ลองนึกภาพว่า สภาพนี้ เขาจะอยู่ได้ไหมที่ราคาน้ำยาง 55 บาท ??