http://www.prachatai.com/journal/2013/09/48573สาระ+ภาพ ราคายางในตลาดโลก-ไทย ย้อนหลัง 10 ปี
ภาพ: วศิน ปฐมหยก
การลดลงของราคายางเป็นสาเหตุที่ประชาชนในหลายจังหวัดภาคใต้
ชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไข และแพร่ขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ
ที่ปลูกยาง ในภาคตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ
ที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องในประเด็นเดียวกัน
ในทางหนึ่ง นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
ราคายางที่เคยสูงขึ้นไปถึงกิโลกรัมละร้อยปลายๆ เฉียดสองร้อยช่วงปี 2552-2554 นั้น
ต้องถือว่าเป็นลาภลอยเนื่องจากราคายางขึ้นกับราคาน้ำมันในตลาดโลก เศรษฐกิจโลก
และการขยายพื้นที่ปลูกยางพาราในประเทศใกล้เคียง
สิ่งนี้ทำให้เกษตรกรคาดหวังว่าราคาจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่พอราคาตกลงมาก็อาจจะรู้สึกแย่
ถ้าจะทำระบบในการรักษาเสถียรภาพราคายางก็ต้องคำนึงด้วยว่า ราคาที่เกิน 100 บาท
หรือใกล้ๆ 100 บาท เป็นราคาที่ไม่สามารถคาดหวังได้ในระยะยาว
แม้มีระบบที่รัฐจะช่วยในเวลาราคาตกต่ำก็ต้องพิจารณาให้ดี
ผมถือว่าราคา ณ วันนี้ไม่ถือว่าเป็นราคาตกต่ำ เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
เขาระบุว่าด้วยปัจจัยภายนอกสามประการนี้
การแทรกแซงราคายางพาราจึงไม่ใช่ทางออก
แต่การเลือกแทรกแซงหรือไม่แทรกแซงราคายางนั้น ก็นำมาซึ่งข้อวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่า
เลือกปฏิบัติอุ้มชาวนามากกว่าชาวสวนยางพารานั้น ซึ่งดร. วิโรจน์กล่าวว่า
ไม่แปลกใจที่เกษตรกรจำนวนหนึ่งจะรู้สึกอย่างนั้น แต่หากจำกันได้
ปีที่แล้วรัฐบาลนี้มีมาตรการแทรกแซงตลาดยาง โดยการซื้อยางเข้ามา
จนตอนนี้เรามีสต๊อกยางอยู่ที่ 200,000 กว่าตัน โดยซื้อกันที่กิโลกรัมละ 100-120 บาท
อย่างไรก็ตาม 200,000 ตันอาจฟังดูน้อยเมื่อเทียบกับสต๊อกข้าว
แต่อย่าลืมว่าราคายาง 1 กก.เท่ากับเกือบ 10 กก.ของข้าว
ปีที่แล้วรัฐบาลใส่เงินเข้าไป 15,00-20,000 ล้านบาทก็หายวับไปชั่วพริบตา
ตอนหลังใส่เข้าไปอีกรอบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
รัฐบาลไม่กล้าเอามาขาย เพราะกลัวว่าเอามาขายแล้วราคายางจะตกลงไป
ฉะนั้นรัฐบาลก็ได้พยายามทำ และเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองสู้กับตลาดไม่ได้
ทั้งเรื่องข้าวและเรื่องยาง แต่เรื่องข้าว ผมว่ารัฐบาลก็พยายามหาทางลง
ส่วนหนึ่งก็พยายามเจรจากับชาวนาอยู่
แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องเห็นใจชาวนาด้วยว่า
เมื่อมีโครงการของชาวนามันดึงให้ต้นทุนของชาวนาสูงขึ้นจริง
ดังนั้น เวลาลง การปรับตัวก็ยากพอสมควร
และเชื่อว่าเมื่อมีเรื่องข้าวที่กำลังหาทางลงแล้วมามีเรื่องยางขึ้นมาอีก
ทำให้รัฐบาลลังเลมากขึ้นในการที่จะเข้าไปทำแบบเดียวกับข้าว วิโรจน์กล่าว
เขากล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ยางพารานั้นต่างจากข้าวอย่างหนึ่ง
คือ สำหรับข้าว เราพูดว่าเราเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก
แต่ผลผลิตเราคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 7 ของผลผลิตโลก
แต่ยางพาราเราเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 แล้วเรายังเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 ด้วย
จึงทำให้เห็นว่าแม้เราจะเป็นอันดับ 1 แต่เราไม่สามารถเป็นผู้กำหนดราคาตลาดโลกได้จริง
ผลผลิตยางของ 3 ประเทศรวมกันมีผลผลิตปริมาณถึงร้อยละ 70
แต่เวลามีประเทศอื่นผลิตออกมาก็มีผลกระทบ 3 ประเทศหลัก
(ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย) เองก็ไม่สามารถคุมราคาในตลาดโลกได้
ประชาไทย้อนกลับไปดูราคายางในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
โดยใช้ข้อมูลราคายางในตลาดโลกจาก IndexMundi โดยใช้ค่าเฉลี่ย 12 เดือน
เปรียบเทียบจากหน่วยดอลลาร์เป็นบาท โดยใช้ค่าเฉลี่ย 12 เดือนในแต่ละปี
ข้อมูลราคายางของไทยย้อนหลัง 10 ปี จาก สมาคมยางพาราไทย
โดยอ้างอิงจากราคายางแผ่นรมควันชั้น 3