ปูติน แฉ รบ.บุช หนุนพวกแยกดินแดนในเชชเนีย-คอเคซัสเหนือ ต้านมอสโกประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เอพี/เอเจนซีส์ - ปูติน ระบุข้อมูลจากการสอดแนมชี้ให้เห็นว่าอเมริกาหนุนหลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่
คอเคซัสเหนือของรัสเซียเมื่อตอนทศวรรษ 2000 เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าจุดยืนของฝ่ายตะวันตกนั้นมุ่งถือหางฝ่ายใด
ก็ตามที่เป็นปฏิปักษ์กับมอสโก นอกจากนั้นประมุขวังเครมลินยังสำทับไม่รู้สึกผิดที่เข้าผนวกแหลมไครเมีย อีกทั้งเชื่อ
มาตรการแซงก์ชันของตะวันตกมีเป้าหมายบ่อนทำลายการพัฒนาของรัสเซีย มากกว่ามุ่งลงโทษต่อการที่หมีขาวเข้า
แทรกแซงยูเครน
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 เม.ย.) สถานีโทรทัศน์ รอสสิยา-1 ของทางการรัสเซีย ได้ออกอากาศสารคดีความยาว
2 ชั่วโมง ที่จัดทำขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ 15 ปีแห่งการครองอำนาจของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน สารคดีชุดนี้
มุ่งเน้นถึงความสำเร็จและปัญหาท้าทายในการบริหารประเทศของผู้นำวังเครมลินผู้นี้ โดยทั้งโปรดิวเซอร์และปูตินต่าง
ระบุว่าเรื่องท้าทายสำคัญที่สุดคือการเข้ามาแทรกแซงของฝ่ายตะวันตก
ปูตินได้รับเลือกตั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2000 หลังจากรักษาการประธานาธิบดี
นาน 3 เดือน และสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2000
ผลสำรวจล่าสุดโดยสำนักจัดทำโพลอิสระ เลวาดา ระบุว่า คะแนนนิยมที่มีต่อปูติน ซึ่งวาระการบริหารประเทศ
สมัยที่สามจะสิ้นสุดลงในปี 2018 นั้น ยังสูงลิบลิ่วอยู่ที่ 86% ในเดือนนี้
ในสารคดีทางทีวีเรื่องนี้ ปูตินให้สัมภาษณ์ว่า หน่วยข่าวกรองรัสเซียสามารถดักฟังการติดต่อกันโดยตรงหลายๆ ครั้ง
ระหว่างขบวนการแบ่งแยกดินแดน กับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอเมริกันซึ่งตั้งฐานอยู่ในอาเซอร์ไบจานในช่วงต้นทศวรรษ 2000
จึงเป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าวอชิงตันให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ
ทั้งนี้ หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย และพวกแบ่งแยกดินแดนชาวเชชเนียในคอเคซัสเหนือประกาศเอกราช
ทำให้เกิดสงครามรุนแรงในตอนต้นทศวรรษ 1990 ก่อนที่รัสเซียจะเป็นฝ่ายถอย จากนั้นเมื่อถึงกลางทศวรรษเดียวกัน
นั้นเอง รัสเซียเปิดศึกอีกครั้งกับกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ในเชชเนียตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียงในดินแดนคอเคซัสเหนือ
ปูตินบอกว่า พวกเขา หน่วยข่าวกรองอเมริกัน กำลังช่วยเหลือพวกเขา (กลุ่มนักรบแบ่งแยกดินแดนอิสลามิสต์)
อยู่จริงๆ แม้กระทั่งในเรื่องการลำเลียงขนส่ง
ปูตินเล่าต่อว่า ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น และประมุข
ทำเนียบขาวรับปากจะเล่นงานพวกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอเมริกันซึ่งต้องสงสัยว่ากระทำการดังกล่าว แต่สุดท้าย เอฟเอสบี
หน่วยข่าวกรองของรัสเซียกลับได้รับแจ้งจากหน่วยข่าวกรองอเมริกันว่า สหรัฐฯ มีสิทธิ์สนับสนุนกองกำลังฝ่ายตรงข้าม
ทั้งหมดในรัสเซีย ซึ่งรวมถึงขบวนการแบ่งแยกดินแดนอิสลามิสต์ในคอเคซัส
ประมุขแดนหมีขาววัย 62 ปี สำทับว่า การให้การสนับสนุนนักรบอิสลามิสต์มีเหตุจูงใจเดียวคือ หน่วยข่าวกรอง
ตะวันตกต้องการเป็นพันธมิตรกับกลุ่มใดๆ ก็ตามที่เป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย
ผู้นำรัสเซียยังแสดงความกังวลว่า ตะวันตกต้องการให้รัสเซียล่มสลาย โดยเล่าว่าในช่วงที่ความขัดแย้งปะทุขึ้นใน
คอเคซัสรอบสอง ผู้นำโลกบางคนบอกว่าไม่รู้สึกอะไรถ้ารัสเซียจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
คู่เจรจาของผมซึ่งประกอบด้วยประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีหลายต่อหลายคน ได้บอกกับผมในเวลาต่อมาว่า
ในตอนนั้นพวกเขาได้ตัดสินไปด้วยตัวพวกเขาเองแล้วว่ารัสเซียจะไม่อาจอยู่รอดได้ด้วยรูปแบบที่เป็นอยู่ในเวลานั้น
เขากล่าว โดยอ้างอิงถึงช่วงเวลาที่เกิดสงครามเชชเนียครั้งที่ 2 คำถามมีเพียงว่ามัน (การแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ของรัสเซีย)
จะเกิดขึ้นเมื่อใด และจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องกันต่อไปอย่างไรเท่านั้น
การให้สัมภาษณ์ของปูตินคราวนี้สะท้อนให้เห็นว่าเขาผิดหวังอย่างรุนแรงกับตะวันตก
ประมุขวังเครมลินบอกว่า ตะวันตกจะญาติดีด้วย ต่อเมื่อรัสเซียประสบปัญหาหนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่รัสเซียเฟื่องฟู
ทางเศรษฐกิจและการเมือง ตะวันตกจะเริ่มงัดมาตรการลงโทษมาใช้
ปูตินมองว่า การแซงก์ชันของตะวันตกในขณะนี้เป็นความพยายามบ่อนทำลายพัฒนาการของรัสเซียมากกว่า
การลงโทษต่อกรณีการเข้าผนวกไครเมียเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากการลงโทษคว่ำบาตรเป็นนโยบายที่ตะวันตกใช้กับ
แดนหมีขาวมาหลายศตวรรษ
ผู้นำรัสเซียยังกล่าวว่า ไม่เสียใจเลยกับการเข้าผนวกไครเมีย เพราะเป็นการฟื้นความชอบธรรมในประวัติศาสตร์
เขายังอธิบายเหตุจูงใจในการดำเนินการดังกล่าวว่า เพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีต จากการที่นิกิตา ครุชเชฟ
อดีตผู้นำโซเวียต ยกไครเมียให้ยูเครนในปี 1954 ซึ่งความจริงแล้วเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจาก
ทั้งไครเมียและยูเครนเวลานั้นต่างรวมอยู่ในสหภาพโซเวียต
ปูตินยังยืนยันว่า รัสเซียไม่ได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศจากบทบาทในยูเครน เนื่องจากไม่ได้ให้การสนับสนุน
กลุ่มแบ่งแยกดินแดนโปรมอสโกในยูเครนตามที่ตะวันตกกล่าวหา
http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000048139