กรณีศึกษาบทเรียนจากยูเครนแค่เบี้ยตัวหนึ่งที่สหรัฐและอียูใช้เป็นเครื่องมือปะทะกับรัสเซียและเพื่อนบ้านเท่านั้น
------------
มีบทความหนึ่งที่น่าสนใจจากสำนักข่าว Sputnik ของรัสเซียที่อยากแปลให้แฟนเพจได้อ่านเกี่ยวกับอนาคตของยูเครน ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 25 ก.ค.59 โดยพาดหัวข่าวว่า "(ไม่) รวมแล้วหรือ? 'การรวมเข้ากับอียู' อาจจะนำยูเครนไปสู่การล่มสลาย" ((Dis)Integration? 'EU Integration' Could Lead to Ukraines Breakup)
[ฟังดูเหมือนเป็นคำขู่หรือคำเตือนด้วยความปรารถนาดีจากรัสเซียที่เป็นคู่กรณีหลักในความขัดแย้งกับยูเครน แต่จริงๆ แล้วมันมีแค่เพียงรัสเซียเท่านั้นหรอกหรือ มันมีปัจจัยอื่นอีกหรือไม่จะนำยูเครนไปสู่การล่มสลายหรือแตกเป็นเสี่ยงๆ ในอนาคต? ลองอ่านดูครับ แล้วเราจะพบคำตอบของการเลือกข้างแบบไม่ถ่วงดุลอำนาจว่าจะมีผลเป็นเช่นไรต่อประเทศนั้นๆ - ผู้แปล]
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สภาผู้แทนของราษฎรของโปแลนด์ได้มีมติรับทราบการสังหารหมู่ชาวโปลจำนวน 100,000 กว่าคนที่เมือง Volhynia ระหว่างปี 1943-1945 โดยพวกชาตินิยมชาวยูเครนว่าเป็นการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์" (genocide) หลายคนในยูเครนกลัวว่านี่อาจจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างไปประเทศอื่นๆ ในอียูให้กล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดน (ของยูเครน) ซึ่งที่ตกอยู่ในมือของกรุงเคียฟในศตวรรษที่ 20 เว็บไซต์ Lenta.ru ของรัสเซียเขียน
การประชดประชันทั้งหมดนี้ก็คือการกล่าวอ้างดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นจริงในสมัยปัจจุบันนี้ที่ยูเครนได้ลงนามในข้อตกลงทางการเมือง (Association Agreement) กับสหภาพยุโรป (อียู) และกฎหมายของยุโรปที่ระบุถึงกระบวนการดังกล่าว
[ยูเครนได้ทำข้อตกลง Association Agreement ร่วมกับอียูซึ่งเป็นการบังคับให้ยูเครนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานต่างๆ ของอียูเพื่อยกระดับด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสิทธิมนุษยชนเป็นต้นให้เป็นไปตามที่อียูต้องการ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2014 นั่นไม่ได้หมายความว่ายูเครนจะสามารถเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปได้ทันที ยังมีอีกหลายขั้นตอน เหมือนกับที่ตุรกีได้ยื่นแสดงความจำนงค์และทำข้อตกลงต่างๆ กับอียูมาแล้วถึง 50 กว่าปี แต่อียูก็ยังไม่ตัดสินใจรับตุรกีเข้าเป็นสมาชิกของอียูจนถึงทุกวันนี้ - ผู้แปล]
สถานภาพทางเศรษฐกิจที่น่าเศร้าของยูเครน และการสูญเสียภูมิภาคดอนบาสส์ในภาคตะวันออกอาจจะกระตุ้นให้ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ของยูเครนอยากจะคว้าดินแดนของที่กล่าวอ้างว่าเคยเป็นของตนเองมาก่อนกลับไปเป็นของพวกเขาอีกครั้งก็ได้
แม้ว่าผู้นำของโปแลนด์หลายคนจะปฏิเสธด้วยเสียงที่ราบเรียบต่อความปรารถนาดังกล่าว "Restitution Kresy" ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้วเพื่อจัดการกับการนำทรัพย์สินของชาวโปแลนด์ในยูเครนตะวันตกกลับมา ได้นำเหล่าทายาทของเจ้าของทรัพย์สินในอดีตที่ถูกยึดไปในปี 1939-1940 มารวมตัวกันอีกครั้ง
มีลูกหลาน (ชาวโปแลนด์) ของผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินและถูกยึดไปถูกบังคับให้ย้ายออกไปเกือบ 100,000 คน ซึ่งปัจจุบันนี้กำลังเรียกต้องให้ได้ทรัพย์สินเหล่านั้นคืนมา
- เมืองลวีฟ (Lviv) เป็นเมืองของชาวโปแลนด์หรือไม่?
-----------
กรุงวอร์ซอไม่เคยพลาดโอกาสที่จะเตือนกรุงเคียฟว่าเมืองลวีฟ (Lviv) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศยูเครนครั้งหนึ่งเคยเป็นของโปแลนด์มาก่อน เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองนี้มีรากเหง้ามาจากโปแลนด์ [ชายยูเครนเรียกเมืองนี้ว่า "ลวีฟ" (Lviv) ส่วนพวกโปลเรียกว่า "ลวูฟ" (Lvov) - ผู้แปล]
ในปี 2008 โปแลนด์ได้ออกกฎหมายฉบับหนึ่งชื่อ "Law on the Card of the Pole" (กฎหมายมอบบัตรสิทธิ์พิเศษแก่คนเชื้อสายโปแลนด์ในต่างถิ่น) ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่เคยปกครองโดยโปแลนด์ในอดีตทั้งในประเทศยูเครน เบลารุส และบอลติก บัตรดังกล่าวให้สิทธิ์แก่เจ้าของบัตรได้รับวีซ่าโปแลนด์ฟรีในระยะยาว สามารถทำงาน ประกอบธุรกิจ และศึกษาต่อในประเทศโปแลนด์ได้โดยถูกต้องตามกฎหมายโดยอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกับพลเมืองชาวโปแลนด์
เมื่อปีที่แล้ว สภาเซจ์ม (Sejm) ซึ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎรของโปแลนด์ได้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย Law on the Card of the Pole เพื่ออนุญาตให้เจ้าของบัตรได้เป็นพลเมืองชาวโปแลนด์เต็มตัว (Polish citizenship) หลังจากที่อาศัยอยู่ในประเทศโปแลนด์เพียงหนึ่งปีเท่านั้น
ปัจจุบันนี้มีหลายคนในประเทศยูเครนรู้สึกหวาดกลัวว่า "การบูรณาการเข้ากับอียู" (European integration) นี้อาจจะส่งผลให้เกิดการกระจายหนังสือเดินทางของชาวโปแลนด์ออกไปในวงกว้าง ประชาชนจะเรียกร้องสิทธิ์ในในการปกครองตนเอง (autonomous rights) และชาวโปแลนด์จริงๆ ก็จะย้ายเข้าไป "ปกป้อง" คนเชื้อชาติโปแลนด์ที่อาศัยอยู่ในประเทศยูเครน
[นั่นมันฝันร้ายรอบสองของยูเครนชัดๆ ตามประวัติศาสตร์ของเมืองลวีฟแห่งนี้ เคยอยู่ในการปกครองของราชอาณาจักร GaliciaVolhynia ระหว่างปี 1256-1349 ต่อมาก็ตกเป็นของโปแลนด์ระหว่างปี 1349-1569 และกลายเป็นเมืองขึ้นหรือรัฐในอาณานิคมของโปแลนด์-ลิทัวเนียในปี 1569-1772 อยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิออสเตรียระหว่างปี 1772-1867 ตกเป็นของจักรวรรดิออสโตร-ฮังการี่ระหว่างปี 1867-1918 เป็นของสาธารณรัฐยูเครนตะวันตกในปี 1918 และถูกโปแลนด์ยึดกลับไปอีกครั้งระหว่างปี 1918-1939 ถูกสภาพโซเวียตยึดระหว่างปี 1939-1941 สองปีต่อมานาซีเยอรมันยึดระหว่างปี 1941-1944 โซเวียตในสมัยของโจเซฟ สตาลินยึดคืนจากนาซีเยอรมันในปี 1944-1991 และหลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยูเครนตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองลวีฟในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบันไม่ได้มีเฉพาะชาวยูเครนเชื้อสายโปแลนด์เท่านั้น ยังมีชาวยิวได้อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย กลุ่มแรกอยู่มานานตั้งแต่ปี 1256 ต่อมาก็มีอีกกลุ่มหนึ่งมาสมทบโดยพากันอพยพหนีตายจากการกวาดล้างของนาซีเยอรมันเข้ามาอยู่ที่เมืองนี้เพิ่มอีกราว 100,000 คนในช่วงปี 1941 หลังจากที่เยอรมันยึดครองโปแลนด์และเมืองลวีฟได้ ทหารนาซีเยอรมันก็ทำการกวาดล้างชาวยิวเหล่านั้นอีกรอบ มีชาวยิวถูกขับไล่ออกจากเมืองลวีฟและถูกสังหารราว 65,000 คน และในปี 1943 ก็สังหารเพิ่มอีกหลายพันคน ปัจจุบันนี้เมืองนี้มีประชากรอาศัยอยู่ราว 728,350 คน ลวีฟอยู่ติดกับชายแดนของโปแลนด์ - ผู้แปล]
- ฝันร้ายรอบที่สามของยูเครน: ฮังการี่และสโลวาเกียก็ต้องการพื้นที่บางส่วนจากยูเครนเช่นกัน
-----------
ปัจจุบันนี้มีชาวยูเครนเชื้อสายฮังการีประมาณ 150,000 - 200,000 คนอาศัยอยู่ในเมือง Zakarpattia ทางตะวันตกของยูเครน ชาวยูเครนเชื้อสายฮังการีเหล่านี้ส่วนมากได้ถือพาสปอร์ตของฮังการีด้วย และมีการติดธงชาติทั้งของยูเครนและฮังการีตามอาคารสถานที่ของรัฐบาลหลายแห่งทั่วภูมิภาคนี้
ในปี 2014 คณะผู้แทนของฮังการี่ประจำสมัชชารัฐสภาแห่งสภายุโรป (Parliamentary Assembly of the Council of Europe - PACE) ได้แสดงท่าทีที่โกรธเกรี้ยวต่อกรุงเคียฟโดยกล่าวว่า ยูเครนเป็นเพียงรัฐเทียม (an artificial state) และว่าภูมิภาค Zakarpattia เคยเป็นของฮังการีมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานนัก นาย Viktor Orban นายกรัฐมนตรีของฮังการีก็พูดว่า ชาวเมือง Transcarpathian (เป็นชื่อที่ฮังการีเรียกภูมิภาค Zakarpattia) เชื้อสายฮังการีได้รับสิทธิ์สองสัญชาติ และเป็นเขตปกครองตนเอง
ปีที่แล้่วมีชาวเมือง Transcarpathian ราว 94,000 คนได้รับอนุญาตให้เป็นพลเมืองของฮังการี มีความเป็นไปได้อย่างแท้จริงเกี่ยวกับภูมิภาคแห่งนี้ หรืออย่างน้อยก็บางส่วน มีความต้องการที่จะกลับไปอยู่ใต้การปกครองของฮังการีอีกครั้ง
- ฝันร้ายรอบที่สี่ของยูเครน: โรมาเนียต้องการได้ สาธารณรัฐเบสซาราเบียโรมาเนียคืนจากยูเครน
-----------
ในส่วนของโรมาเนียนั้น โรมาเนียกำลังจ้องไปที่เมือง Bessarabia และพื้นที่ทิศเหนือของเมือง Bukovina ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาค Odessa และ Chernovtsy ของยูเครน ซึ่งเคยอยู่ภายใตการปกครองของกรุง Bucharest (เมืองหลวงของโรมาเนีย) ระหว่างปี 1918-1940 ปัจจุบันนี้โรมาเนียก็กำลังออกพาสปอร์ตของตนเองให้กับประชาชนเชื้อสายโรมาเนียที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเหล่านี้เช่นกัน
[โรมาเนียไม่ได้ต้องการเฉพาะ Bessarabia คืนจากยูเครนเท่านั้น ยังมีความพยายามปลุกกระแสให้รวมประเทศมอลโดวาซึ่งอยู่ระหว่างโรมาเนียกับยูเครนให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของโรมาเนียด้วย ภูมิภาค Bessarabia กินพื้นที่มอลโดวา และพื้นที่บางส่วนของ Odesa ของยูเครนที่ติดกับทะเลดำด้วย - ผู้แปล]
นักวิเคราะห์บางคนมองว่าแนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดน (separatist sentiment) เหล่านี้ทั่วภูมิภาคทั้งหมดของยูเครนอาจจะได้รับการผลัดดันจากการทำประชามติของชาวไคร์เมียในปี 2014 เพื่อผนวกรวมเข้ากับแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียอีกครั้ง
นาย Mykola Malomuzh อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของยูเครนได้เคยเตือนเอาไว้เกี่ยวกับการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนจากเหล่าเพื่อนบ้านชาวยุโรปของยูเครน ซึ่งจะใช้ทุกโอกาสที่จะเรียกร้องส่วนแบ่งของพวกเขาจากดินแดนของยูเครน
"ห้าประเทศที่มีความสนใจในด้านยุทธศาสตร์และการเมืองในยูเครน และกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนของยูเครน หากว่าสิ่งต่างๆ หลุดมือไป คราวนี้ประเทศเหล่านั้นบางประเทศก็จะพร้อมที่จะรุกรานพวกเราภายใต้ข้ออ้างในการปกป้องพลเมืองของพวกเขา" Malomuzh ได้เตือนไว้ในปี 2015
- บทวิแคะจากผู้แปล
-----------
[รัสเซียทำสำเร็จแล้วในกรณีของไคร์เมีย และกำลังจะสำเร็จในกรณีของภูมิภาคดอนบาสส์ (โดเน็ทส์กและลูฮานส์ก) ที่เกิดสงครามกลางเมืองกับฝ่ายรัฐบาลยูเครนเพราะไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลชุดปัจจุบันของยูเครนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของอียู จึงเสนอเขตปกครองตนเองโดยได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย เพราะว่าในพื้นที่เหล่านั้นมีชาวยูเครนเชื้อสายรัสเซียอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากและนิยมพูดและใช้ภาษารัสเซียด้วย
เดิมทียูเครนก็เป็นบ้านพี่เมืองน้องกับรัสเซีย แต่พอถูกฝั่งอียูปั่นหัวคนรุ่นใหม่ให้มีความต้องการที่จะรวมยูเครนเข้ากับอียู แต่รัฐบาลของปธน.วิกเตอร์ ยานูโควิชในสมัยนั้นซึ่งเป็นโปรรัสเซียไม่ยอม สหรัฐและอียูจึงจัดการให้เกิดการทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลของยานูโควิช ได้สำเร็จ ปัจจุบันนี้ยานูโควิชลี้ภัยอยู่ที่รัสเซีย
ชัยชนะของสหรัฐและอียูเกี่ยวกับยูเครนก็คือสามารถทำให้ยูเครนแตกคอกับรัสเซียได้สำเร็จ และนั่นคือการบั่นทอนกำลังพันธมิตรของรัสเซียลงไปเรื่อยๆ แต่รัสเซียก็ไม่ได้โง่ เพราะว่าแม้จะเสียพื้นที่ส่วนใหญ่ของยูเครนให้กับสหรัฐและอียู แต่รัสเซียก็ได้จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในทะเลดำคือไคร์เมียกลับมาสู่อ้อมกอดแผ่นดินแม่อีกครั้ง หลังจากที่เคยทำสงครามมาตั้งหลายครั้งตั้งแต่สมัยพระเจ้าซาร์ สงครามกับอ็อตโตมัน และสงครามกับเยอรมัน ฯลฯ ล้วนเพื่อแย่งชิงไคร์เมียแห่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น และที่สำคัญ รัสเซียกำลังจะได้ดอนบาสส์โดยการยอมรับของอียูในเร็วๆ นี้
ชาวยูเครนถูกปั่นหัวให้มองว่ารัสเซียเป็นศัตรู ต้องหันไปหาหรือไปพึ่งพาสหัฐและยูโรป เพื่อที่จะได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอียู (เขาเคาะกะลาให้หมาดีใจ) จึงได้ทำการประท้วงและนำไปสู่จลาจลและการเผาบ้านเผาเมืองที่ไมดานในที่สุด จากนั้นก็โค่นรัฐบาลเก่า แตกคอกับรัสเซีย หลังจากได้รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของปธน.โปโรเชนโก้คนปัจจุบัน ก็ไม่มีกระแสเรียกร้องให้ยูเครนอยากเป็นสมาชิกของอียูอีก แต่มีกระแสต่อต้านรัสเซียเกิดขึ้นมาแทน พวกที่เคยออกมาประท้วงสมัยก่อน ตอนนี้คงลืมไปแล้วว่าเคยเรียกร้องและต้องการอะไร
หลังจากที่สหรัฐและอียูเห็นว่ายูเครนได้แตกหักกับรัสเซียแล้ว คราวนี้ยูเครนไม่มีที่พึ่งอื่นอีกแล้วนอกจากสหรัฐแลอียู (นาโต้) สถานะของยูเครนในสายตาของนาโต้ในตอนนี้จึงเหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด ซ้ำร้ายเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ของยูเครนที่อยู่รอบยูเครนกลับมีท่าทีที่อยากจะขอแบ่งเค้กจากยูเครนด้วยเช่นกัน ก็เมื่อรัสเซียยังทำสำเร็จมาแล้ว แล้วทำไมอีกสี่ประเทศจะลองบ้างไม่ได้หละ? และที่สำคัญทั้งสี่ประเทศเหล่านี้ก็เป็นสมาชิกของอียูด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะโปแลนด์ที่มีเยอรมันเป็นลูกพี่ใหญ่ และได้ใช้เยอรมันโมเดลที่ผ่านมติยอมรับว่าอาณาจักรอ็อตโตมันในอดีตได้ฆ่าล้างเผ่ามันชาวอาร์เมเนียมาใช้กับยูเครนด้วย
ขวามือ (ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้) ยูเครนถูกหั่นโดยรัสเซีย ซ้ายมือ (ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือลงมาจนถึงทิศใต้ติดกับทะเลดำ) ก็กำลังจะถูกเพื่อนบ้านอีกสี่ประเทศหั่นเช่นกัน แล้วอียูกับสหรัฐไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยยูเครนหรือ? อย่าลืมว่าสหรัฐและอียูก็เป็นลูกพี่ใหญ่ของสี่ประเทศเหล่านั้นด้วยเช่นกัน และถ้าจะให้ช่วยยูเครน มันก็ต้องแลกด้วยบางอย่างที่คุ้มค่าที่จะลงทุนเช่นกัน
หากว่าทั้งโปแลนด์ ฮังการี่ สโลวาเกียว และโรมาเนียเปิดศึกกับยูเครนแบบภุมิภาคดอนบาสส์ คราวนี้ยูเครนก็ต้องรับศึกรอบด้าน ตายอย่างเขียด นั่นคือตัวอย่างของความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบขาดการถ่วงดุลอำนาจ - ผู้แปล]
https://www.facebook.com/fisont/posts/1839941272892671