หน่วยพลีชีพหญิงเคิร์ด อาวุธลับพิชิตไอเอส
เปิดโลกวันอาทิตย์ : หน่วยพลีชีพหญิงเคิร์ด อาวุธลับพิชิตไอเอส : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์
กลายเป็นข่าวใหญ่ฮือฮาไปทั่วโลก จากกรณีนักรบหญิงชาวเคิร์ดในซีเรียยอมพลีชีพด้วยการจุดชนวนระเบิดตัวเองตายพร้อมกับกลุ่มนักรบไอเอสใจเหี้ยมโหด เพื่อปกป้องเมืองโคบานี เมืองชายแดนของซีเรียที่อยู่ติดกับตุรกี ระหว่างการปะทะอย่างดุเดือด ขณะที่นักรบหญิงอีกหลายคนตัดสินใจใช้กระสุนนัดสุดท้ายยิงตัวตายดีกว่าถูกจับเป็นเชลยแล้วถูกข่มขืนก่อนจะถูกตัดหัวประจานเหมือนเช่นที่นักรบหญิงหลายคนโดนมาแล้ว
นับเป็นครั้งแรกที่นักรบชาวเคิร์ดซีเรีย ซึ่งเปิดฉากสู้รบกับนักรบกลุ่มสุดโต่งไอเอสตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่ต่างเป็นมุสลิมสุหนี่ด้วยกัน ใช้ระเบิดพลีชีพเป็นอาวุธลับในการต่อสู้กับไอเอส ซึ่งได้เปรียบทุกด้านในยุทธการชิงเมืองโคบานี และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ที่ชาวเคิร์ด ซึ่งก็เหมือนกับชาวมอญ คือไม่มีแผ่นดินเป็นของตัวเอง ได้งัดไม้ตายใช้หน่วยพลีชีพหญิงมาเป็นอาวุธในการต่อสู้กับไอเอส ซึ่งเท่ากับตอกย้ำว่า หน่วยพลีชีพหญิงมักจะปรากฏตัวในพื้นที่ขัดแย้งต่างๆ ทั่วโลกช่วงที่สถานการณ์ทวีความตึงเครียดมากขึ้น
การพลีชีพของนักรบหญิงชาวเคิร์ดซีเรียมีขึ้นเมื่อ อาริน มีร์ข่าน อันเป็นชื่อจัดตั้งของไดลาร์ กานจ์เซมิส นักรบหญิงตาคม หน้าหวาน มีแต่รอยยิ้มแย้มแจ่มใส คุณแม่ลูก 2 วัยราว 20 ปี ได้จุดชนวนระเบิดตัวเองตายพร้อมกับนักรบไอเอสราว 10 คน ขณะที่ ซีลัน โอซาล์พ นักรบหญิงวัย 19 ปี หรือรู้จักกันดีในชื่อของ ดีเรน ซึ่งแปลว่า ขัดขืน ในภาษาตุรกี ได้ต่อสู้จนกระสุนหมด จึงตัดสินใจใช้กระสุนนัดสุดท้ายปลิดชีพตัวเอง หลังจากเธอได้วิทยุถึงเพื่อนๆ กล่าวอำลาเป็นครั้งสุดท้าย
การฆ่าตัวตายของซีลัน โอซาล์พ ยิ่งสร้างความเศร้าสะเทือนใจมากขึ้นไปอีก เนื่องจากเธอเพิ่งปรากฏตัวเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง ในรายงานพิเศษของบีบีซี ที่กำลังทำสารคดีเกี่ยวกับกองกำลังนักรบหญิงชาวเคิร์ด โดยใช้ชื่อจัดตั้งว่า ดีเรน เธอให้สัมภาษณ์ขณะหลบร้อนในบังเกอร์ใต้ดินแล้วกินอาหารเที่ยงพร้อมเพื่อนนักรบหญิงกล้าตายอีก 3 คน โดยอาหารเที่ยงมื้อนั้นมีขนมปังแผ่นเล็กๆ ชีสและแตงโม ว่า ในสายตาของไอเอสนักรบหญิงเป็น "ฮาราม" หรือคนที่น่ารังเกียจ ที่มีแต่สร้างความรำคาญใจและต้องการกำจัดให้พ้นไปจากสายตา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว " ผู้หญิงเป็นนักรบที่กล้าหาญที่สุด พวกเราไม่เคยกลัวอะไร เราจะสู้จนคนสุดท้าย เราพร้อมจะระเบิดตัวตายแต่ไม่ยอมถูกไอเอสจับตัว"
จากรายงานของมหาวิทยาลัยชิคาโก ระบุว่า ระหว่างปี 2524-2553 มีปฏิบัติการของระเบิดพลีชีพหญิง 125 ครั้ง โดยมือระเบิดพลีชีพหญิงคนแรกเป็นชาวเลบานอนที่กดระเบิดตัวเองใกล้ขบวนรถคอนวอยอิสราเอลเมื่อปี 2528 จากนั้นก็มีการเลียนแบบในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นศรีลังกา รัสเซีย ตุรกี อินเดีย อิรัก อุซเบกิสถาน อิสราเอล และปาเลสไตน์
หนึ่งในกลุ่มพลีชีพหญิงที่ดังที่สุดก็คือ กลุ่มแม่ม่ายดำที่ต่อสู้เพื่อเอกราชของเชเชน พวกเธอ 18 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นแม่ม่ายที่สามีเสียชีวิตระหว่างปะทะกับทหารรัสเซียพร้อมด้วยพรรคพวกอีกกว่า 40 คน ได้บุกยึดโรงละครในกรุงมอสโก เมื่อปี 2543 จับตัวประกัน 700 คน นอกจากนี้ยังแอบซุกระเบิดไว้กับตัวแล้วระเบิดเครื่องบินอีก 2 ลำ มีผู้เสียชีวิต 90 คน
ในรายงานชิ้นนี้ กล่าวว่า ระเบิดพลีชีพหญิงถือเป็นกลยุทธ์หรือเป็นอาวุธใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพที่ใช้ได้ผลในสงครามยุคใหม่ อีกทั้งยากต่อการตรวจตรา ประการแรกก็คือ สามารถเรียกร้องความสนใจจากสื่อมวลชน นับเป็นการส่งสารที่ได้ผลมากกว่ามือระเบิดพลีชีพชาย ประการที่ 2 พวกเธอมักจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากไม่ค่อยตกเป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนเพื่อนๆ จึงผ่านด่านการตรวจเข้มได้ เปิดช่องให้สามารถสังหารศัตรูการเมืองที่เจาะจงเป็นรายตัว รวมไปถึง ราจิฟ คานธี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่เสียชีวิตจากฝีมือของมือระเบิดพลีชีพหญิงพยัคฆ์ทมิฬศรีลังกา
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐที่เผยแพร่เมื่อปี 2554 ระบุว่า แม้หน่วยพลีชีพหญิงจะมีอยู่ราว 15 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มพลีชีพทั่วโลกเท่านั้น แต่ 20 เปอร์เซ็นต์ของพวกเธอก็ประสบความสำเร็จในการลอบสังหารศัตรูถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับระเบิดพลีชีพชายที่ประสบความสำเร็จในการลอบสังหารศัตรูแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ ผลการศึกษายังพบว่า พวกเธอมักจะมีแรงบันดาลใจจากการต้องสูญเสียครอบครัว จึงต้องการแก้แค้นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียนั้น หรือทำให้พวกเธอไม่สามารถมีลูกได้ หรือต้องสูญสิ้นศักดิ์ศรีของความเป็นหญิงจากการตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ หรือไม่เช่นนั้นเป็นพวกรักชาติที่ต้องการต่อสู้เพื่อแผ่นดินบ้านเกิด
ทั้งมีร์ข่าน และโอซาล์พ ล้วนแต่เป็นนักรบหญิงชาวเคิร์ดซีเรีย (วายพีจี) หรือผู้หญิงแถวหน้าหรือหน่วยกล้าตาย ประจำหน่วยคุ้มกันประชาชนชาวเคิร์ดซีเรีย อันเป็นกองกำลังที่แตกหน่อมาจากพรรคกรรมกรเคิร์ดดิสถาน (พีเคเค) กลุ่มติดอาวุธตุรกี-เคิร์ด ซึ่งสหรัฐและยุโรปขึ้นบัญชีดำว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ราว 1 ใน 3 ของหน่วยนี้เป็นผู้หญิงวัยรุ่นที่ผ่านการฝึกอาวุธมานานหลายปีตามค่ายฝึกต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ตามชายแดนที่อยู่ติดอิหร่าน ก่อนจะรวมตัวตั้งเป็นกองพันที่ 2 ซึ่งประกอบด้วยนักรบหญิงล้วน และเป็นกองพันหญิงเพียงหน่วยเดียวของกองทัพแห่งชาติเคิร์ด
แหล่งข่าวหลายกระแสเปิดเผยว่า กองกำลังเคิร์ดในซีเรียมีอาสาสมัครเป็นนักรบหญิงราว 7,000-10,000 คน รู้จักกันว่า เป็น "พี่สาวน้องสาวร่วมรบ" มีความสัมพันธ์กับพีเคเค ซึ่งยึดมั่นในแนวทางมาร์กซิสที่ต่อสู้กับทหารตุรกีมานาน 30 ปี ทำให้คนตายราว 4 หมื่นคน
วายพีเจมีหน้าที่รับผิดชอบการต่อสู้กับไอซิส เพื่อปกป้องผืนมาตุภูมิเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักรบชาย โดยไม่มีการแยกเพศว่าเป็นหญิงหรือชาย มีแค่คำคำเดียวว่า "เคิร์ด" พวกเธอถือเป็นอาวุธลับชั้นยอดที่ไอซิสต่างกลัวเกรงจนหัวหดในความห้าวหาญไม่กลัวตายของพวกเธอ ซึ่งไอเอสเคยประมาทและดูถูกมาก่อนหน้าว่า ผู้หญิงเป็นนักรบไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อมาประจักษ์กับความจริงก็สายเกินการณ์แล้ว ประกอบกับความเชื่อที่ว่า หากพวกเขาตายด้วยฝีมือของผู้หญิงแล้วก็มีแต่ตกนรกลูกเดียว กองกำลังไอเอสจึงระส่ำไปทั่ว
โรซาลีน นักรบหญิงวัย 19 ปีคนหนึ่ง สารภาพว่า ก่อนหน้าที่ชาวเคิร์ดจะเปิดสงครามกับไอเอส เธอไม่เคยจับปืนไม่เคยยิงปืนมาก่อนเหมือนๆ กับอาสาสมัครเป็นนักรบหญิงทุกคน ที่พร้อมก้าวสู่สนามรบภายใต้คำขวัญว่า "ฮาวา" หรือ "มิตรภาพ" "ตอนที่ยิงกระสุนนัดแรก ฉันกลัวมาก แต่ความรักในแผ่นดินเกิดของเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าความกลัวมาก เราไม่กลัวอีกแล้ว เพราะรู้ว่าเรากำลังสู้กับอะไร" โรซาลีน ตัดสินใจหันหลังให้แก่โรงเรียน มาเข้าร่วมกับหน่วยปกป้องประชาชนชาวเคิร์ด ท่ามกลางการสนับสนุนเต็มที่จากครอบครัว "ตอนนี้ฉันพร้อมจะยิงก่อนทันทีที่เห็นการเคลื่อนไหวจากไอเอส"
ดาลิล เดอร์กี ผู้บัญชาการกองพันนักรบหญิง ยอมรับว่า นักรบหญิงเคิร์ดกลายเป็นอาวุธสำคัญในการต่อกรกับไอเอส ซึ่งเชื่อว่าผู้หญิงไม่มีบทบาทในสังคม และยังเชื่ออีกว่าถ้าหากพวกเขาถูกผู้หญิงฆ่าตายก็จะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ มีแต่ลงนรกลูกเดียว เพราะความเชื่อนี้ทำให้นักรบญิฮัดไอเอสราวครึ่งหนึ่งต่างตกนรกหมกไหม้จากฝีมือของนักรบหญิงเคิร์ด โดยส่วนตัวแล้วก็ภูมิใจกับพวกเธอมาก เชื่อว่า "คงจะเป็นตัวอย่างของผู้หญิงทั่วโลก"
ด้านเอเชีย อับดุลลา ประธานร่วมของพรรคสหภาพประชาธิปไตย (พีวายดี) ซึ่งมีอิทธิพลในหมู่ชาวเคิร์ดในซีเรีย เปิดเผยว่า "ตอนที่ไอเอสเห็นผู้หญิงถือปืน พวกเขาต่างกลัวจนตัวสั่น ทั้งๆ ที่ได้สร้างภาพตัวเองว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่พอเห็นพวกเราถือปืน พวกเขาก็วิ่งหนีเลย แม้จะเคยมองเราเหมือนกับฝุ่นธุลีที่ไร้ค่าก็ตาม แต่พวกเราคนหนึ่งยังมีค่ามากกว่าพวกเขาตั้งร้อยคน" อย่างไรก็ดี เธอยอมรับว่า ในการต่อสู้กับไอเอส แม้จะได้รับการสนับสนุนจากชาวเคิร์ ดรวมไปถึงชาวอาหรับกับคริสเตียน แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะต้องได้นับการสนับสนุนจากภายนอกมากกว่านี้ เนื่องจากไอเอสถือเป็นภัยคุกคามต่อตะวันออกกลางทั้งภูมิภาค
ขณะที่นักรบหญิงคนอื่นๆ ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้สงครามจะสิ้นสุดลง พวกเธอก็จะเป็นทหารหญิงต่อไปและจะต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศเคอร์ดิสถาน ซึ่งขณะนี้ไม่มีดินแดนเป็นของตัวเอง มีแต่เขตปกครองตนเองของชาวเคิร์ดในอิรัก อิหร่าน ซีเรียและตุรกีเท่านั้น
http://www.komchadluek.net/detail/20141012/193811.html