ขอถามคุณโร้ดอีกประเด็นนะครับ ในกรณีที่ท่านโร้ดว่ามาคือ ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่ของเขา และให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัย ถ้ากระบวนการต้นทางคือ เจ้าหน้าที่ ตร. ทำคดีรึสำนวนที่บิดเบือน จับผู้ต้องหาโดยไม่รอบครอบหรือจับไม่หมด หรือหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวกับคดีที่นำออกมาแสดงมันขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่เขาสงสัย แล้วปล่อยให้สำนวนรึคดีที่มีเหล่านี้ไปสู่ชั้น อัยการ หรือ ศาล ทีนี้ศาลก็ต้องตัดสินไปตามพยานหลักฐานซึ่งเท่าที่ปรากฏจากหลักฐาน ค่อนข้างจะมัดแน่นในเรื่องผลตรวจDNAอย่างเดียวว่าตรงกับผู้ต้องหาแบบนี้ศาลก็ต้องตัดสินว่าพม่าสองคนนั้นผิดจริงๆ ทั้งๆที่ยังมีข้อเคลือแคลงสงสัยมากมายกับประเด็นต่างที่ยังขัดแย้งกับหลักฐานแบบนี้มันยุติธรรมแล้วรึครับกับผู้ต้องหาที่สงสัยกันว่าเป็นแพะ แล้วปล่อยให้คนที่ทำจริงลอยนวล ผมว่าคดีแบบนี้นี่มันน่าจะจับได้แบบไม่น่ามีอะไรสงสัยเยอะแยะขนาดนี้นะครับ เพราะขนาดคดีที่คนร้ายสวมหมวกกันน็อคปล้นธนาคารเมื่อเร็วๆนี้ยังจับกันได้ทั้งๆที่แทบจะไม่เห็นหน้าคนร้าย เขายังจับกันได้แล้วทำไมคดีเกาะเต่าที่เห็นหน้าผู้ต้องสงสัยในกล้องวงจรปิดแบบนี้ถึงยังไม่คิดที่จะหาความจริงกันครับ ทำไมต้องบิดเบือนข่าวเพราะอะไรครับ
สีแดง เขาไม่เรียกว่าแพะ.. แบบนี้ เขาเรียกว่า ผู้กระทำความผิด ตัวจริง
แพะ คือคนที่ไม่ได้กระทำผิด แล้วจับมาสร้างพยานหลักฐาน มัดตัวเขา
การทำสำนวนคดี เมื่อมาถึง พนักงานอัยการ จะต้อง ตรวจสำนวน ดังที่ ท่านยุทธการ ให้ความเห็นไว้ก่อนหน้า
ถ้า เห็นข้อบกพร่อง จะต้องรวบรวมพยานให้ครบถ้วน แล้วกลั่นกรองข้อกฎหมาย แล้วพิจารณาสั่งคดี
ข้อเท็จจริงในคดี ต้องเลือกแต่ที่เป็นสาระสำคัญ ไม่ใช่ เอาแต่เรื่อง จุกจิก หยุ๋มหยิม ถ้าอยู่ในศาล คู่ความ
อาจถูกศาลติง
การสืบสวนสอบสวน เพื่อติดตามคนร้าย อย่สงกรณีสวมหมวกกันน๊อก ชุดสืบสวนของ ตร.เขางานหนัก ทำอะไร
ไปบ้าง เขาจะไม่มาบอกให้ทราบหรอกครับ ขืนบอก มันจะเสียรูปคดี และตัวเขาอาจถูกเล่นงาน
เราคนดู เพียงได้เห็น ในสิ่งสำเร็จ เท่านั้นเอง.. ที่จริง เรื่องนี้ ถ้านิ่งนักนิด ย่อมต้องคิดได้เอง นะครับ
คุณ sa-ea-ba มีความโน้มเอียงในการคิดเองเออเอง จนเกิดอคติแล้วนะครับ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ย่อมต้องเกิดขึ้น
กับผู้ที่ห่วงใยสังคม แต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ ในการทำงานของกระบวนการยุติธรรม เพียงความห่วงใย
ถ้าไม่ระวัง มันจะเป็นดาบ ๒ คม ได้ ครับ + ๑ ให้แล้วก่อนหน้า ครับ