ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
คะแนน -15856
ออฟไลน์
กระทู้: 13569
No justice No peace
|
|
« ตอบ #255 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 11:56:12 AM » |
|
โพสล่าสุดของทางเพจCSI LA เริ่มพาดพิงถึงบุคคลๆนี้ครับ "ดาบ ตำรวจ อนุเทพ อินทชาติ เพื่อนนายมณตรีวัฒน์ ตำรวจเก็บส่วยพม่าของภาค 8 ทำไมไม่มีใครพูดถึงเขาเลย This guy name is Anutehp Intachart. He is corrupted police from Precinct 8 Southern District. Just job is to collect and extort money from Burmese labors for Precinct 8. He is a good friend of Mon. It's amazing that nobody mentioned about him."
55555 เรื่อง " เกาะเต่า " มันลึก รวมถึงเลอะ จนใกล้เน่า แล้วอ่ะ ฮา 55555 ถึงขนาด " นายกอังกฤษ " เรียกร้อง ขอให้มีการสอบสวนใหม่ หรือที่ยายเรียกว่า ขอให้ " รื้อ " กระบวนการสอบสวน อ่ะ ฮา หลักฐานต่างๆ ที่ CSI LA นำมาเรียบเรียง ฮา ยายเชื่อว่าเขา " ตั้งข้อสังเกตุ " ได้ดี ทีเดียว อ่ะ ฮา ถ้าจะบอกว่า " The Guardian " โนเนมอิน ยูเค ฮา งันยายจะแนะนำให้ ไปอ่าน " The Sun " อะ ฮา 5555555 " มันแปลก " ดีนะ อ่ะ ฮา 555555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัว...ฆรวย
หัวโขนมิวางออก เจ้าหลงครอบไปทุกที่ อ่าองค์ว่าโสภี นฤดีปริ่มเปรมใจ ลืมไปว่าที่ครอบ ต้องวางออกนหทัย สวมครอบตัวตนไว้ ก็แค่ควายใส่ชฎา
|
|
|
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
คะแนน -15856
ออฟไลน์
กระทู้: 13569
No justice No peace
|
|
« ตอบ #256 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 11:59:35 AM » |
|
ยายติดใจตอนสุดท้าย ที่หมอ " ปอน ดริพท์ " อยากจะขอให้ ทดสอบไม้ชี้ผี อ่ะ ฮา ยายจำได้ว่า " อาจารย์ เจษฎา " เขาเป็นคนกระแทก แคะเรื่องนี้เป็นคนแรก อ่ะ ฮา แคะจนโดนอำนาจ " ลี้ลับ " บีบจนกระทั่งต้อง หยุด ตรวจสอบอ่ะ ฮา 5555 ตอนหลัง หมอปอน ดริพท์ " จนแต้ม " อ่ะ ฮา 555555 จำผิดแล้วยาย อาจารย์เจษฎา ไม่ได้โดนบีบจนหยุด ตอนนั้นเขามีการตั้งกรรมการมาตรวจสอบ จนได้ข้อสรุปต่างหาก ยายรู้ทุกเรื่อง ช่วยเฉลยหน่อยสิ ว่าเรื่องนี้นิติวิทยาศาสตร์เขาทำไว้ผิดอย่างไร เอาที่ยายรู้นะ ไม่ใช่อ่านหนังสือพิมพ์ 555555 โถจาน ไอ้เรื่อง " ตั้งกรรมการ ขึ้นมาตรวจสอบ " เนี่ยะ อ่ะ ฮา 5555 มันเกิดตอนหลัง จนเรื่องดัง " ปิดไม่มิด " แล้ว อ่ะ ฮา อ.เจษฎา แกบอก ถ้าซื้อกับแก แกขายแค่ " 99 บาท " แค่นั้นอ่ะ ฮา แกพยายาม พาสื่อ ไปพิสูจน์ ข้อเท็จจริง แต่ถูกทาง " คนซื้อ " เบรค กดดันไปทางคณะ อ่ะ ฮา 55555 จนในที่สุด ต้อง " แกะ ใส้ใน " พิสูจน์ อ่ะ ฮา 55555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัว...ฆรวย
หัวโขนมิวางออก เจ้าหลงครอบไปทุกที่ อ่าองค์ว่าโสภี นฤดีปริ่มเปรมใจ ลืมไปว่าที่ครอบ ต้องวางออกนหทัย สวมครอบตัวตนไว้ ก็แค่ควายใส่ชฎา
|
|
|
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
คะแนน -15856
ออฟไลน์
กระทู้: 13569
No justice No peace
|
|
« ตอบ #257 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 12:05:03 PM » |
|
ยายติดใจตอนสุดท้าย ที่หมอ " ปอน ดริพท์ " อยากจะขอให้ ทดสอบไม้ชี้ผี อ่ะ ฮา ยายจำได้ว่า " อาจารย์ เจษฎา " เขาเป็นคนกระแทก แคะเรื่องนี้เป็นคนแรก อ่ะ ฮา แคะจนโดนอำนาจ " ลี้ลับ " บีบจนกระทั่งต้อง หยุด ตรวจสอบอ่ะ ฮา 5555 ตอนหลัง หมอปอน ดริพท์ " จนแต้ม " อ่ะ ฮา 555555 ยายรู้ทุกเรื่อง ช่วยเฉลยหน่อยสิ ว่าเรื่องนี้นิติวิทยาศาสตร์เขาทำไว้ผิดอย่างไร เอาที่ยายรู้นะ ไม่ใช่อ่านหนังสือพิมพ์ 555555 แหมจาน ได้ดีดรี มาแขนงไหน อ่ะ ฮา 55555 ยายบอกว่า การได้มาซึ่ง " หลักฐานทางคดี หรือ ผล การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ " เนี่ยะ อ่ะ ฮา การดำเนินการตรงนั้น ขั้นตอนก็เป็น " ปกติ " ดีอ่ะ ฮา แต่การจะใส่ " ข้อมูล เบื้องต้น " ลงไป ถ้าข้อมูลนั้นมัน บิดเบี้ยว เป็นเท็จ ฮา ผลมันก็จะออกมา เหมือน " ตั้งธง " เอาไว้นั่นแหละ อ่ะ ฮา 5555555 จริงหรือเปล่า อ่ะ ฮา 555555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัว...ฆรวย
หัวโขนมิวางออก เจ้าหลงครอบไปทุกที่ อ่าองค์ว่าโสภี นฤดีปริ่มเปรมใจ ลืมไปว่าที่ครอบ ต้องวางออกนหทัย สวมครอบตัวตนไว้ ก็แค่ควายใส่ชฎา
|
|
|
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
คะแนน -15856
ออฟไลน์
กระทู้: 13569
No justice No peace
|
|
« ตอบ #258 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 12:25:29 PM » |
|
55555 ทีนี้ย้อนกลับมาดู " กระบวนการสอบสวน " สารขัณฑ์พลาดตรงไหน อ่ะ ฮา 55555 ยายมองว่าพลาดตรง " ปล่อย " ให้พยานสำคัญ เอ้าท์ออฟคอนโทรล หรือ หลุดมือ ไปอ่ะ ฮา ปล่อยให้ " ใคร " เดินทางออกนอกประเทศ พ้นจากราชอาณาจักรไทย ไปอ่ะ ฮา 5555 พอไปถึง " ยูเค " มันพ่น ยำกระบวนการยุติธรรมไทย เละเทะ เลยอ่ะ ฮา 55555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัว...ฆรวย
หัวโขนมิวางออก เจ้าหลงครอบไปทุกที่ อ่าองค์ว่าโสภี นฤดีปริ่มเปรมใจ ลืมไปว่าที่ครอบ ต้องวางออกนหทัย สวมครอบตัวตนไว้ ก็แค่ควายใส่ชฎา
|
|
|
sa-ea-ba-รักในหลวง
FREEDOM
ชาว อวป.
Sr. Member
คะแนน 45
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 977
ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอน
|
|
« ตอบ #259 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 12:37:51 PM » |
|
55555 ทีนี้ย้อนกลับมาดู " กระบวนการสอบสวน " สารขัณฑ์พลาดตรงไหน อ่ะ ฮา 55555 ยายมองว่าพลาดตรง " ปล่อย " ให้พยานสำคัญ เอ้าท์ออฟคอนโทรล หรือ หลุดมือ ไปอ่ะ ฮา ปล่อยให้ " ใคร " เดินทางออกนอกประเทศ พ้นจากราชอาณาจักรไทย ไปอ่ะ ฮา 5555 พอไปถึง " ยูเค " มันพ่น ยำกระบวนการยุติธรรมไทย เละเทะ เลยอ่ะ ฮา 55555 ยายหมายถึงฝรั่ง ที่ชื่อนาย ฌอน ใช่มั๊ยครับ ถ้าใช่ยายคิดว่าเขาตั้งใจปล่อยตัวไปรึว่าสอบสวนแล้วไม่เกี่ยวข้องกับคดีถึงปล่อยไปครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สู้เพื่อความถูกต้อง อย่าหวั่นไหวต่อโชคชะตา อย่าหยาบช้ากับคนรอบตัว
|
|
|
sa-ea-ba-รักในหลวง
FREEDOM
ชาว อวป.
Sr. Member
คะแนน 45
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 977
ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอน
|
|
« ตอบ #260 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 02:26:53 PM » |
|
คดีฆ่าหั่นศพญีปุ่น ช่อง3 สรายุทธ อ่านข่าวละเอียดยิบ อยากทราบไรอยากรู้ อธิบายจนคนกระจางแจ้ง ทำให้คืดว่า ทำไม คดีเกาะเต่า มันถึงไม่เป็นอย่างนี้บาง คดีก็เป็นคนต่างชาติเหมือนกัน คนก็อยากรู้แบบอะเอียดเหมือนกัน แต่นี้จะ2 เดือนแล้ว การเสนอข่าวกับไม่มี ชี้แจงอะไร ก็เงียบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สู้เพื่อความถูกต้อง อย่าหวั่นไหวต่อโชคชะตา อย่าหยาบช้ากับคนรอบตัว
|
|
|
sa-ea-ba-รักในหลวง
FREEDOM
ชาว อวป.
Sr. Member
คะแนน 45
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 977
ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอน
|
|
« ตอบ #261 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 03:08:26 PM » |
|
คดีเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ให้ศึกษาได้อย่างดีครับถึงการทำงานของกระบวนการยุติธรรมของไทยเรา 1 เชอรี่แอนดันแคน 2 ชิปปิงหมู 3 สมชาย นิลละไพจิตร(หายตัว) 4 คุณหนู18ศพ 5 ทายาทกระทิงแดง 6 เอกยุทธ อัญชัญบุตร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สู้เพื่อความถูกต้อง อย่าหวั่นไหวต่อโชคชะตา อย่าหยาบช้ากับคนรอบตัว
|
|
|
kok ksn
Full Member
คะแนน 54
ออฟไลน์
กระทู้: 436
|
|
« ตอบ #262 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 03:20:46 PM » |
|
คดีเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ให้ศึกษาได้อย่างดีครับถึงการทำงานของกระบวนการยุติธรรมของไทยเรา 1 เชอรี่แอนดันแคน 2 ชิปปิงหมู 3 สมชาย นิลละไพจิตร(หายตัว) 4 คุณหนู18ศพ 5 ทายาทกระทิงแดง 6 เอกยุทธ อัญชัญบุตร
....จ่ายิ้ม......ยัดยาบ้าศพ ที่แถว สกลนคร .... ยิงถล่มตู้เย็น ...... เก็บเห็ด ...... ยิงรถนักศึกษาสาว ..... ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 4088
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 20186
1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน
|
|
« ตอบ #263 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 05:21:54 PM » |
|
คดีเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ให้ศึกษาได้อย่างดีครับถึงการทำงานของกระบวนการยุติธรรมของไทยเรา 1 เชอรี่แอนดันแคน 2 ชิปปิงหมู 3 สมชาย นิลละไพจิตร(หายตัว) 4 คุณหนู18ศพ 5 ทายาทกระทิงแดง 6 เอกยุทธ อัญชัญบุตร
เชอรี่แอน ดันแคน ถือเป็นบทเรียนสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องระวัง ส่วนอีก ๕ เรื่อง เป็นเรื่องของ นักการเมืองถ่อยล้วงลูก ลงไปสั่งการ จัดคนลงไปรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวกับการทำงานของ ตร.โดยตรง จักต้องรู้จริง เข้าใจจริง ๆ เพียงตัดแป๊ะ และรับฟังความเห็นที่ชอบ จริต ตนยังไม่พอ ทั้ง ๕ เรื่อง เป็นวางคน สร้างข้อเท็จจริง เพื่อจัดการ เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ ที่นักการเมืองถ่อย มันชงเรื่องเอง ใช้คนเลวมาทำงานให้ มันไม่ใช่กระบวนกา่รยุติธรรมอย่างปรกติ จะมากล่าวหา กระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่ได้หรอกครับ.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายกระจง
Cement For Life.....
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 2938
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 31460
ช่างมันเถอะ
|
|
« ตอบ #264 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 06:29:07 PM » |
|
บวกพี่โร๊ด ๑ แต้มครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดเป็นคนต้องอดทน ไม่อดทนก็อดตาย
|
|
|
sa-ea-ba-รักในหลวง
FREEDOM
ชาว อวป.
Sr. Member
คะแนน 45
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 977
ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอน
|
|
« ตอบ #265 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 06:44:01 PM » |
|
คดีเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ให้ศึกษาได้อย่างดีครับถึงการทำงานของกระบวนการยุติธรรมของไทยเรา 1 เชอรี่แอนดันแคน 2 ชิปปิงหมู 3 สมชาย นิลละไพจิตร(หายตัว) 4 คุณหนู18ศพ 5 ทายาทกระทิงแดง 6 เอกยุทธ อัญชัญบุตร
เชอรี่แอน ดันแคน ถือเป็นบทเรียนสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องระวัง ส่วนอีก ๕ เรื่อง เป็นเรื่องของ นักการเมืองถ่อยล้วงลูก ลงไปสั่งการ จัดคนลงไปรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวกับการทำงานของ ตร.โดยตรง จักต้องรู้จริง เข้าใจจริง ๆ เพียงตัดแป๊ะ และรับฟังความเห็นที่ชอบ จริต ตนยังไม่พอ ทั้ง ๕ เรื่อง เป็นวางคน สร้างข้อเท็จจริง เพื่อจัดการ เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ ที่นักการเมืองถ่อย มันชงเรื่องเอง ใช้คนเลวมาทำงานให้ มันไม่ใช่กระบวนกา่รยุติธรรมอย่างปรกติ จะมากล่าวหา กระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่ได้หรอกครับ. จริงๆแล้วมันมีข้อที่7ด้วยน่ะครับแต่ผมไม่ได้ตัดมาแปะ เพราะข้อ7.เขาบอกว่าจนมาถึงคดีที่เกาะเต่า ผมกลัวเด๋วโดนหาว่าตั้งธงอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สู้เพื่อความถูกต้อง อย่าหวั่นไหวต่อโชคชะตา อย่าหยาบช้ากับคนรอบตัว
|
|
|
sa-ea-ba-รักในหลวง
FREEDOM
ชาว อวป.
Sr. Member
คะแนน 45
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 977
ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอน
|
|
« ตอบ #266 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 07:03:20 PM » |
|
คดีเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ให้ศึกษาได้อย่างดีครับถึงการทำงานของกระบวนการยุติธรรมของไทยเรา 1 เชอรี่แอนดันแคน 2 ชิปปิงหมู 3 สมชาย นิลละไพจิตร(หายตัว) 4 คุณหนู18ศพ 5 ทายาทกระทิงแดง 6 เอกยุทธ อัญชัญบุตร
เชอรี่แอน ดันแคน ถือเป็นบทเรียนสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องระวัง ส่วนอีก ๕ เรื่อง เป็นเรื่องของ นักการเมืองถ่อยล้วงลูก ลงไปสั่งการ จัดคนลงไปรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวกับการทำงานของ ตร.โดยตรง จักต้องรู้จริง เข้าใจจริง ๆ เพียงตัดแป๊ะ และรับฟังความเห็นที่ชอบ จริต ตนยังไม่พอ ทั้ง ๕ เรื่อง เป็นวางคน สร้างข้อเท็จจริง เพื่อจัดการ เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ ที่นักการเมืองถ่อย มันชงเรื่องเอง ใช้คนเลวมาทำงานให้ มันไม่ใช่กระบวนกา่รยุติธรรมอย่างปรกติ จะมากล่าวหา กระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่ได้หรอกครับ. http://www.youtube.com/watch?v=IDhpTvWDEmw...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สู้เพื่อความถูกต้อง อย่าหวั่นไหวต่อโชคชะตา อย่าหยาบช้ากับคนรอบตัว
|
|
|
436
Sr. Member
คะแนน 110
ออฟไลน์
กระทู้: 593
|
|
« ตอบ #267 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 08:25:05 PM » |
|
คดีเชอรี่แอน ตำรวจพลาดและผิดจริง เป็นบทเรียนให้เห็นไว้แล้ว คดีเกาะเต่า ถ้าตำรวจจะทำแบบเดิมอีก ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าปลายทางคืออะไร ทั้งทางการพม่าและอังกฤษ คงไม่ยอมให้ใครมาหลอกคนของเขาได้ง่ายๆแน่ รวมถึงหน่วยงานเรื่องสิทธิมนุษยชนต่างๆของไทยด้วยที่คอยเฝ้าติดตามเรื่องนี้
คดีเชอรรี่แอน มีผู้ต้องหาถูกจับ ๔ คน และทุกคนให้การปฏิเสธหมด แต่ตำรวจปั้นพยานเท็จเข้าปรักปรำ เบิกความจนศาลชั้นต้นเชื่อ และลงประหารชีวิต จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ระหว่างนั่น จำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง และศาลฎีกาพิพากษายืน
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ศาลฎีกา
วันที่ ๘ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖
ความอาญา
พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ โจทก์ นางกลอยใจ ดันแคน โจทก์ร่วม นายรุ่งเฉลิม หรือเฮาดี้ กนกชวาลชัย ที่ ๑ จำเลย นายพิทักษ์ ค้าขาย ที่ ๒ นายกระแสร์ พลอยกลุ่ม ที่ ๓ นายธวัช กิจประยูร ที่ ๔
เรื่อง ความผิดต่อชีวิต
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๒๑ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๕
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้วัตถุอ่อนนุ่มปิดปากกับจมูกนางสาวเชอรี่ แอน ดันแคน ผู้ตาย และใช้กำลังกายรัดลำคอผู้ตายจนผู้ตายไม่สามารถหายใจและโลหิตหมุนเวียนไปเลี้ยงสมองไม่ได้จึงสลบหมดสติ แล้วจำเลยทั้งสี่นำผู้ตายไปทิ้งไว้บริเวณที่มีน้ำขัง โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่แขวงบางจาก เขตพระโขนง แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ต่อเนื่องและเกี่ยวพันกัน จำเลยที่ ๔ เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกในฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๖๖๘/๒๕๒๓ ของศาลอาญา พ้นโทษแล้วภายในเวลาห้าปีกลับมากระทำผิดคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙ (๔), ๘๓, ๙๒ และเพิ่มโทษจำเลยที่ ๔ ตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ ๔ รับว่า เคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นางกลอยใจ ดันแคน มารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔), ๘๓ ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ ที่ขอให้เพิ่มจำเลยที่ ๔ นั้น เนื่องจากศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ ๔ แล้ว จึงมิอาจเพิ่มโทษได้ คำขอส่วนนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่ ๑ ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๑) ศาลอุทธรณ์จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ ๑
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ขณะเกิดเหตุ นางสาวเชอรี่ แอน ดันแคน ผู้ตาย เป็นนักเรียนของโรงเรียนพระกุมารเยซูวิทยา (โฮลี่) ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอย ๑๐๑ ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ผู้ตายไปเรียนหนังสือตามปกติ ครั้นเลิกเรียนเวลาประมาณ ๑๔:๔๕ นาฬิกา ได้ขึ้นรถแท็กซี่ที่รอรับอยู่หน้าโรงเรียนออกจากโรงเรียนแล้วไม่ได้กลับบ้าน ต่อมา วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๙ มีผู้พบศพผู้ตายลอยน้ำอยู่ในร่องน้ำในป่าแสมบางสำราญ ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ผลจากการตรวจศพของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานแพทย์ใหญ่ กรมตำรวจ ลงความเห็นว่า เชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะขาดอากาศหายใจ ขาดโลหิตเลี้ยงสมอง ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันฆ่าผู้ตายหรือไม่ ทางพิจารณา โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า เดิมผู้ตายอาศัยอยู่กับโจทก์ร่วมซึ่งเปิดร้านอาหารอยู่ที่ซอย ๑๙ ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ต่อมา ย้ายไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านยาย แขวงวัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ผู้ตายรักใคร่ได้เสียกับนายวินัย ชัยพานิช ลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่ร้านอาหารโจทก์ร่วม นายวินัยพาผู้ตายไปพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมริเวอร์วิวของนายวินัยที่ตลาดน้อย แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร และเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ผู้ตายศึกษาเล่าเรียน ผู้ตายเคยโต้เถียงกับนายวินัยเรื่องผู้ตายรักใคร่ได้เสียกับนายสมัชชา หรืออ๊อบ โกมลทิส กับเคยมีเรื่องขัดแย้งกับนางสาวสุวิบูล หรือกุ้ง พัฒน์พงษ์พานิช หญิงคนรักของนายวินัย ซึ่งเป็นหุ้นส่วนร่วมประกอบกิจการค้ากับนายวินัย นางสาวสุวิบูลเคยเข้าไปทำลายสิ่งของในห้องพักของผู้ตายจนนายวินัยต้องพาผู้ตายย้ายไปเช่าห้องพักอยู่ที่แกรนด์ทาวเวอร์เกสต์เฮาส์ แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา นายประเมิน โภชพลัด อาชีพขับรถยนต์รับจ้างสามล้อ ขับรถออกไปทางปากซอยสวนพลู เห็นจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กำลังประคองผู้ตายซึ่งหน้าคล้ายฝรั่งและมีอาการคล้ายคนเป็นลมออกมาจากบริเวณสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัดควอลิตี้อาคิเท็คแอนด์เมนเทนแนนซ์ของนายวินัย โดยมีจำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ยืนขนาบอยู่ด้านหลัง นายประเมินจำหน้าผู้ตายและจำเลยทั้งสี่ได้เพราะนายประเมินได้จอดรถสอบถามจำเลยทั้งสี่ว่า ต้องการรถไปโรงพยาบาลหรือไม่ จำเลยที่ ๓ แจ้งว่า มีรถมาเอง นายประเมินจึงขับรถจากไป วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ โจทก์ร่วมแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระโขนงว่า ผู้ตายหายไปจากบ้าน และในวันเดียวกันนั้นเอง นางบัวขาว กิ่งแก้ว พบกระเป๋าหนังสือของผู้ตายลอยอยู่ในคลองตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากจุดที่พบศพผู้ตายประมาณแปดถึงเก้ากิโลเมตร พันตำรวจโท สันติ เพ็ญสูตร พนักงานสอบสวน ร่วมชันสูตรพลิกศพและส่งศพผู้ตายไปชันสูตรยังสถาบันนิติเวชวิทยา กับสืบสวนหาตัวคนร้าย วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๙ นายวินัยประกาศทางหนังสือให้รางวัลแก่ผู้ชี้เบาะแสเกี่ยวกับคนร้ายและการหายไปของผู้ตาย ในวันเดียวกันนี้ นายประดิษฐ์ กิ่งแก้ว สามีนางบัวขาว แจ้งให้นายวิชัยทราบถึงการพบกระเป๋าหนังสือของผู้ตาย นายวินัยดูกระเป๋าหนังสือแล้วจำได้ว่าเป็นของผู้ตาย จึงพาโจทก์ร่วมไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจนเป็นมูลเหตุที่ได้พากันไปตรวจดูศพผู้ตายที่สถาบันนิติเวชวิทยาและยืนยันว่าเป็นศพผู้ตาย วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๙ นายประเมินสนทนากับพวกเกี่ยวกับหญิงสาวลูกครึ่งที่ถูกฆ่า โดยสงสัยว่า จะเป็นบุคคลเดียวกับหญิงที่นายประเมินพบตรงปากซอยสวนพลูหรือไม่ นายประเมินจึงไปสอบถามโจทก์ร่วม ขอดูภาพผู้ตาย และเล่าเหตุการณ์ที่พบเห็นให้ฟัง โจทก์ร่วมจึงแจ้งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ เจ้าหน้าที่ตำรวจพานายประเมินไปสอบถามและให้ตรวจดูภาพถ่ายของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย นายประเมินยืนยันภาพถ่ายของจำเลยทั้งสี่ตามภาพถ่ายหมาย จ. ๒ ว่า เป็นบุคคลที่นายประเมินเห็นอยู่กับผู้ตายในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๙ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจับกุมจำเลยทั้งสี่มาสอบสวนดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดให้นายประเมินชี้ตัวคนร้าย นายประเมินชี้จำเลยทั้งสี่ได้ถูกต้อง ปรากฏตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ. ๔ ถึง จ. ๗
จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ นำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่
พิเคราะห์แล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่า จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันฆ่าผู้ตาย คงมีนายประเมินเป็นพยานแวดล้อมเพียงปากเดียวที่อ้างว่า เห็นจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ อยู่กับผู้ตายก่อนผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่สามารถทราบได้โดยแน่ชัดว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อใด จึงไม่อาจทราบได้ชัดว่า ตามข้ออ้างของนายประเมินนั้น จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ อยู่กับผู้ตายในเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่ผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่นายประเมินเบิกความว่า มีอาชีพขับรถยนต์รับจ้างสามล้อมาสามสิบปี แต่โจทก์และโจทก์ร่วมไม่นำใบอนุญาตขับขี่รถยนต์รับจ้างสามล้อของนายประเมินมาแสดง ทั้งนายประเมินระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์รับจ้างสามล้อคันที่ใช้ขับรับจ้างในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ไว้ในชั้นสอบสวนแตกต่างไปจากที่เบิกความไว้ต่อศาล นอกจากนี้ การที่นายประเมินอ้างว่า อยากรู้ว่าหญิงลูกครึ่งที่ตายเป็นคนเดียวกับหญิงลูกครึ่งที่นายประเมินเคยเห็นที่ปากซอยสวนพลูหรือไม่ หลังจากที่การตายของผู้ตายออกเป็นข่าวไปแล้วเกือบหนึ่งเดือน นับว่า เป็นการอยากรู้ที่ผิดปกติ เพราะเป็นการล่วงเลยเวลาอันสมควรมานานแล้ว ทั้งการที่นายประเมินให้ข้อมูลต่อโจทก์ร่วมและเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นเวลาหลังเกิดเหตุแล้วเป็นเวลานาน ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงไม่ยังไม่ฟังเป็นมั่นคงว่า นายประเมินเห็นจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา ส่วนพยานแวดล้อมอื่น ๆ ที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบ เช่น จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นลูกจ้างของนายวินัย และนายวินัยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายเรื่องผู้ตายมีคนรักใหม่ระหว่างอยู่กินกับนายวินัย หรือการที่ผู้ตายมีเรื่องขัดแย้งกับนางสาวสุวิบูล คนรักของนายวินัยก็ดี มิได้บ่งหรือมีเหตุให้เชื่อว่า จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย ที่โจทก์ร่วมฎีกาอ้างว่า การที่ผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกับนายวินัยและนางสาวสุวิบูลมีความรุนแรงถึงขนาดจ้าง วาน ใช้ให้จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ฆ่าผู้ตายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องมิได้กล่าวถึงสาเหตุที่จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ฆ่าผู้ตาย มิได้กล่าวถึงผู้ที่ใช้ จ้าง วานให้จำเลยดังกล่าวฆ่าผู้ตาย และมิได้ฟ้องผู้ใช้ จ้าง วานมาด้วย ทั้งทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้ จ้าง วานให้จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ฆ่าผู้ตาย ข้อฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ใจสงบ. ใจสว่าง. คือทางสุข ...&
|
|
|
436
Sr. Member
คะแนน 110
ออฟไลน์
กระทู้: 593
|
|
« ตอบ #268 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 08:41:35 PM » |
|
ส่วนคดีเกาะเต่านี้ จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ให้ผู้สื่อข่าวมวลชนได้ถ่ายภาพไว้ดูด้วย และยังมี DNA ของพม่าทั้งสองอยู่ในร่างผู้ตายอีก ที่ตรวจพิสูจน์พบ ข้อเท็จจริง เรื่องราวจึงแตกต่างไม่เหมือนจากเรื่องราวของคดีเชอรี่แอนนัก
หากในชั้นศาล พม่าทั้งสองจะกลับคำให้การที่เคยรับเป็นปฏิเสธอ้างเหตุที่รับเพราะถูกทำร้าย คงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะ คดีที่ขึ้นศาลก็เห็นในลักษณะแบบนี้อยู่มากๆ หลายคดี ว่า ชั้นถูกจับกุม ถูกสอบสวนรับ แต่พอขึ้นศาลขอสู้คดี แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่ศาลฟังจากหลักฐานทั้งหมดแล้วเชื่อ พยานโจทก์ที่สืบมาหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ ศาลจะให้โอกาสจำเลยได้ถามค้านทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์ที่เอามาสืบ หรือนำสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ไม่ได้ปิดโอกาสจำเลย
เรื่อง นิติวิทยาศาสตร์ นี้ก็เช่นกัน จำเลยก็มีสิทธิหาพยานหลักฐานมานำสืบหักล้างได้ เมื่อสืบสู้กันเสร็จแล้ว ศาลจึงจะชั่งน้ำหนักพยานสองฝ่ายอีกทีว่าฝ่ายใดมีเหตุมีผลรับฟังได้มากกว่ากัน ก่อนที่จะพิพากษาออกมา
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 25, 2014, 08:55:34 PM โดย Navigator 436 »
|
บันทึกการเข้า
|
ใจสงบ. ใจสว่าง. คือทางสุข ...&
|
|
|
rambo1th
Hero Member
คะแนน 143
ออฟไลน์
กระทู้: 1349
|
|
« ตอบ #269 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2014, 08:49:51 PM » |
|
คดีเชอรี่แอน ตำรวจพลาดและผิดจริง เป็นบทเรียนให้เห็นไว้แล้ว คดีเกาะเต่า ถ้าตำรวจจะทำแบบเดิมอีก ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าปลายทางคืออะไร ทั้งทางการพม่าและอังกฤษ คงไม่ยอมให้ใครมาหลอกคนของเขาได้ง่ายๆแน่ รวมถึงหน่วยงานเรื่องสิทธิมนุษยชนต่างๆของไทยด้วยที่คอยเฝ้าติดตามเรื่องนี้
คดีเชอรรี่แอน มีผู้ต้องหาถูกจับ ๔ คน และทุกคนให้การปฏิเสธหมด แต่ตำรวจปั้นพยานเท็จเข้าปรักปรำ เบิกความจนศาลชั้นต้นเชื่อ และลงประหารชีวิต จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ระหว่างนั่น จำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง และศาลฎีกาพิพากษายืน
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ศาลฎีกา
วันที่ ๘ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖
ความอาญา
พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ โจทก์ นางกลอยใจ ดันแคน โจทก์ร่วม นายรุ่งเฉลิม หรือเฮาดี้ กนกชวาลชัย ที่ ๑ จำเลย นายพิทักษ์ ค้าขาย ที่ ๒ นายกระแสร์ พลอยกลุ่ม ที่ ๓ นายธวัช กิจประยูร ที่ ๔
เรื่อง ความผิดต่อชีวิต
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๒๑ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๕
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้วัตถุอ่อนนุ่มปิดปากกับจมูกนางสาวเชอรี่ แอน ดันแคน ผู้ตาย และใช้กำลังกายรัดลำคอผู้ตายจนผู้ตายไม่สามารถหายใจและโลหิตหมุนเวียนไปเลี้ยงสมองไม่ได้จึงสลบหมดสติ แล้วจำเลยทั้งสี่นำผู้ตายไปทิ้งไว้บริเวณที่มีน้ำขัง โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่แขวงบางจาก เขตพระโขนง แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ต่อเนื่องและเกี่ยวพันกัน จำเลยที่ ๔ เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกในฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๖๖๘/๒๕๒๓ ของศาลอาญา พ้นโทษแล้วภายในเวลาห้าปีกลับมากระทำผิดคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙ (๔), ๘๓, ๙๒ และเพิ่มโทษจำเลยที่ ๔ ตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ ๔ รับว่า เคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นางกลอยใจ ดันแคน มารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔), ๘๓ ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ ที่ขอให้เพิ่มจำเลยที่ ๔ นั้น เนื่องจากศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ ๔ แล้ว จึงมิอาจเพิ่มโทษได้ คำขอส่วนนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่ ๑ ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๑) ศาลอุทธรณ์จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ ๑
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ขณะเกิดเหตุ นางสาวเชอรี่ แอน ดันแคน ผู้ตาย เป็นนักเรียนของโรงเรียนพระกุมารเยซูวิทยา (โฮลี่) ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอย ๑๐๑ ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ผู้ตายไปเรียนหนังสือตามปกติ ครั้นเลิกเรียนเวลาประมาณ ๑๔:๔๕ นาฬิกา ได้ขึ้นรถแท็กซี่ที่รอรับอยู่หน้าโรงเรียนออกจากโรงเรียนแล้วไม่ได้กลับบ้าน ต่อมา วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๙ มีผู้พบศพผู้ตายลอยน้ำอยู่ในร่องน้ำในป่าแสมบางสำราญ ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ผลจากการตรวจศพของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานแพทย์ใหญ่ กรมตำรวจ ลงความเห็นว่า เชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะขาดอากาศหายใจ ขาดโลหิตเลี้ยงสมอง ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันฆ่าผู้ตายหรือไม่ ทางพิจารณา โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า เดิมผู้ตายอาศัยอยู่กับโจทก์ร่วมซึ่งเปิดร้านอาหารอยู่ที่ซอย ๑๙ ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ต่อมา ย้ายไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านยาย แขวงวัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ผู้ตายรักใคร่ได้เสียกับนายวินัย ชัยพานิช ลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่ร้านอาหารโจทก์ร่วม นายวินัยพาผู้ตายไปพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมริเวอร์วิวของนายวินัยที่ตลาดน้อย แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร และเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ผู้ตายศึกษาเล่าเรียน ผู้ตายเคยโต้เถียงกับนายวินัยเรื่องผู้ตายรักใคร่ได้เสียกับนายสมัชชา หรืออ๊อบ โกมลทิส กับเคยมีเรื่องขัดแย้งกับนางสาวสุวิบูล หรือกุ้ง พัฒน์พงษ์พานิช หญิงคนรักของนายวินัย ซึ่งเป็นหุ้นส่วนร่วมประกอบกิจการค้ากับนายวินัย นางสาวสุวิบูลเคยเข้าไปทำลายสิ่งของในห้องพักของผู้ตายจนนายวินัยต้องพาผู้ตายย้ายไปเช่าห้องพักอยู่ที่แกรนด์ทาวเวอร์เกสต์เฮาส์ แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา นายประเมิน โภชพลัด อาชีพขับรถยนต์รับจ้างสามล้อ ขับรถออกไปทางปากซอยสวนพลู เห็นจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กำลังประคองผู้ตายซึ่งหน้าคล้ายฝรั่งและมีอาการคล้ายคนเป็นลมออกมาจากบริเวณสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัดควอลิตี้อาคิเท็คแอนด์เมนเทนแนนซ์ของนายวินัย โดยมีจำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ยืนขนาบอยู่ด้านหลัง นายประเมินจำหน้าผู้ตายและจำเลยทั้งสี่ได้เพราะนายประเมินได้จอดรถสอบถามจำเลยทั้งสี่ว่า ต้องการรถไปโรงพยาบาลหรือไม่ จำเลยที่ ๓ แจ้งว่า มีรถมาเอง นายประเมินจึงขับรถจากไป วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ โจทก์ร่วมแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระโขนงว่า ผู้ตายหายไปจากบ้าน และในวันเดียวกันนั้นเอง นางบัวขาว กิ่งแก้ว พบกระเป๋าหนังสือของผู้ตายลอยอยู่ในคลองตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากจุดที่พบศพผู้ตายประมาณแปดถึงเก้ากิโลเมตร พันตำรวจโท สันติ เพ็ญสูตร พนักงานสอบสวน ร่วมชันสูตรพลิกศพและส่งศพผู้ตายไปชันสูตรยังสถาบันนิติเวชวิทยา กับสืบสวนหาตัวคนร้าย วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๙ นายวินัยประกาศทางหนังสือให้รางวัลแก่ผู้ชี้เบาะแสเกี่ยวกับคนร้ายและการหายไปของผู้ตาย ในวันเดียวกันนี้ นายประดิษฐ์ กิ่งแก้ว สามีนางบัวขาว แจ้งให้นายวิชัยทราบถึงการพบกระเป๋าหนังสือของผู้ตาย นายวินัยดูกระเป๋าหนังสือแล้วจำได้ว่าเป็นของผู้ตาย จึงพาโจทก์ร่วมไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจนเป็นมูลเหตุที่ได้พากันไปตรวจดูศพผู้ตายที่สถาบันนิติเวชวิทยาและยืนยันว่าเป็นศพผู้ตาย วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๙ นายประเมินสนทนากับพวกเกี่ยวกับหญิงสาวลูกครึ่งที่ถูกฆ่า โดยสงสัยว่า จะเป็นบุคคลเดียวกับหญิงที่นายประเมินพบตรงปากซอยสวนพลูหรือไม่ นายประเมินจึงไปสอบถามโจทก์ร่วม ขอดูภาพผู้ตาย และเล่าเหตุการณ์ที่พบเห็นให้ฟัง โจทก์ร่วมจึงแจ้งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ เจ้าหน้าที่ตำรวจพานายประเมินไปสอบถามและให้ตรวจดูภาพถ่ายของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย นายประเมินยืนยันภาพถ่ายของจำเลยทั้งสี่ตามภาพถ่ายหมาย จ. ๒ ว่า เป็นบุคคลที่นายประเมินเห็นอยู่กับผู้ตายในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๙ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจับกุมจำเลยทั้งสี่มาสอบสวนดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดให้นายประเมินชี้ตัวคนร้าย นายประเมินชี้จำเลยทั้งสี่ได้ถูกต้อง ปรากฏตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ. ๔ ถึง จ. ๗
จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ นำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่
พิเคราะห์แล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่า จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันฆ่าผู้ตาย คงมีนายประเมินเป็นพยานแวดล้อมเพียงปากเดียวที่อ้างว่า เห็นจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ อยู่กับผู้ตายก่อนผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่สามารถทราบได้โดยแน่ชัดว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อใด จึงไม่อาจทราบได้ชัดว่า ตามข้ออ้างของนายประเมินนั้น จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ อยู่กับผู้ตายในเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่ผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่นายประเมินเบิกความว่า มีอาชีพขับรถยนต์รับจ้างสามล้อมาสามสิบปี แต่โจทก์และโจทก์ร่วมไม่นำใบอนุญาตขับขี่รถยนต์รับจ้างสามล้อของนายประเมินมาแสดง ทั้งนายประเมินระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์รับจ้างสามล้อคันที่ใช้ขับรับจ้างในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ไว้ในชั้นสอบสวนแตกต่างไปจากที่เบิกความไว้ต่อศาล นอกจากนี้ การที่นายประเมินอ้างว่า อยากรู้ว่าหญิงลูกครึ่งที่ตายเป็นคนเดียวกับหญิงลูกครึ่งที่นายประเมินเคยเห็นที่ปากซอยสวนพลูหรือไม่ หลังจากที่การตายของผู้ตายออกเป็นข่าวไปแล้วเกือบหนึ่งเดือน นับว่า เป็นการอยากรู้ที่ผิดปกติ เพราะเป็นการล่วงเลยเวลาอันสมควรมานานแล้ว ทั้งการที่นายประเมินให้ข้อมูลต่อโจทก์ร่วมและเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นเวลาหลังเกิดเหตุแล้วเป็นเวลานาน ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงไม่ยังไม่ฟังเป็นมั่นคงว่า นายประเมินเห็นจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา ส่วนพยานแวดล้อมอื่น ๆ ที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบ เช่น จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นลูกจ้างของนายวินัย และนายวินัยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายเรื่องผู้ตายมีคนรักใหม่ระหว่างอยู่กินกับนายวินัย หรือการที่ผู้ตายมีเรื่องขัดแย้งกับนางสาวสุวิบูล คนรักของนายวินัยก็ดี มิได้บ่งหรือมีเหตุให้เชื่อว่า จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย ที่โจทก์ร่วมฎีกาอ้างว่า การที่ผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกับนายวินัยและนางสาวสุวิบูลมีความรุนแรงถึงขนาดจ้าง วาน ใช้ให้จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ฆ่าผู้ตายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องมิได้กล่าวถึงสาเหตุที่จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ฆ่าผู้ตาย มิได้กล่าวถึงผู้ที่ใช้ จ้าง วานให้จำเลยดังกล่าวฆ่าผู้ตาย และมิได้ฟ้องผู้ใช้ จ้าง วานมาด้วย ทั้งทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้ จ้าง วานให้จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ฆ่าผู้ตาย ข้อฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ ครับ บ้านเราคนจบนิติศาสตบัญฑิต เยอะมาก ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องตีความตัวบทเข้ากับข้อเท็จจริงไม่มีปัญหาหรอกครับ คนเก่งๆ หนอนหนังสือมีเยอะ ปัญหานี้ไม่น่าห่วง ห่วงก็แต่ปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้น ที่สำคัญ เน้นว่าสำคัญเพราะบ้านเราใช้การใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน การสืบสวน การสอบสวน แสวงหาพยานหลักฐานจึงสำคัญที่สุด ที่เพื่อนสมาชิกยกเคสฎีกามาให้อ่านนี้ อันนี้คลาสสิคมากสำหรับกระบวนการยุติธรรม บางครั้งบริสุทธิ์แต่พยานหลักฐานดันมัดแก้ตัวไม่หลุด หาพยานหลักฐานมาหักล้างไม่ได้ก็..................ไป แค่นั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|