บันทึก 7-8 กุมภาพันธ์ 2558
ข้าพเจ้าเคยได้ยินคำพูดหนึ่งซึ่งเป็นวลีที่น่ายกย่องโดยนักปลัดชะยวยคนใดไม่ปรากฏ เพียงแค่คุณกล้าที่จะก้าวเดินออกจากมุมมองเดิม ๆ ของชีวิต คุณก็จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตของคุณ นั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าพเจ้ามีแรงขับเคลื่อนตนเองออกจากวังวนที่ซ้ำซากจำเจและน่าเบื่อหน่ายของคนกรุงเทพฯ ได้บ้าง
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงถอนหายใจของกรุงเทพ ฯ
กรุงเทพ ฯ เมืองใหญ่ แต่แล้งคน....คงไม่มีคำจำกัดความใดดีกว่านี้....
เศรษฐีบางคนในกรุงเทพ ฯ นั่งเครื่องบินไปกินดินเน่อร์ราคาแพงระยำกับเลขานุการสาวที่ฮ่องกง แล้วเปิดห้องสูทหรูหรา เพื่อการกามารมณ์
ขณะที่คนจรแถวหัวลำโพง ยังคงคุ้ยหาเศษอาหารจากกองขยะข้างถนน เพื่อประทังอารมณ์หิว
ราคากะหล่ำปลีที่ชาวมูเซอ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ปลูกขายได้ราคากิโลกรัมละหนึ่งบาท
ราคากะหล่ำปลีในกรุงเทพ ฯ (ผ่านคนกลาง สู่ตลาดไท แล้วเฉิดฉายในซูฟเป้อร์มาเก็ต) กิโลกรัมละสิบบาท
หนุ่ม-สาวออฟฟิต ออกรถป้ายแดง ซื้อห้องคับแคบแต่ชื่อเรียกอย่างโก้หรูว่าคอนโดมิเนียม (ดูไม่ต่างอะไรกันกับอพาร์ทเม้นท์) เพื่อที่จะต้องใช้เงินเดือนอย่างชักหน้าไม่ถึงหลัง....
ฯลฯ
ก่อนจากกรุงเทพ ฯ ราตรีนั้นข้าพเจ้านั่งกินเหล้ากับเพื่อนและเอ่ยปากเชิญชวน เฮ้ย... ไปดอยม่อนจองกัน
กูอยากไปแต่กูติดงาน... เพื่อนเอ่ยปากและถอนหายใจหนักหน่วง