ไกล่เกลี่ยแล้ว! กรณีบ้าน 3 ชีวิตถูกปิดล้อมไร้ทางเข้าออก บรรยากาศเป็นไปด้วยดี แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะที่เจ้าของที่ดินเปิดใจครั้งแรก ยอมรับเสียใจและเครียดมาก กับเรื่องราว ข้อกล่าวหาในโลกโซเชียล ...
สืบเนื่องจากกรณีบ้านครูวัยเกษียนและครอบครัว 3 ชีวิต ถูกปิดล้อมทางเข้าออก ย่านเพชรเกษม ล่าสุดวานนี้ (20 ก.ค.) ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ได้นัดไกล่เกลี่ยคดีครั้งแรก โดยมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงยุติธรรมมาสังเกตการณ์ ซึ่งผลสรุปการไกล่เกลี่ย นางสาวนิตยา ตันติบุญชูวงศ์ เจ้าของที่ข้างเคียงได้ทำการถอนฟ้องตำรวจนครบาลท่าพระทั้ง 2 นาย เนื่องจากเห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต แต่ไม่ได้ข้อสรุปในการประนีประนอมกับคุณครูสุนีย์ โดยศาลได้นัดมาไกล่เกลี่ยอีกครั้งในวันที่ 19 สิงหาคมนี้
ขณะเดียวกัน นางสาวนิตยา เจ้าของที่ดินซึ่งมีเรื่องพิพาท ได้ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า "เสียใจและเครียดมากที่โดนโจมตี กับข้อกล่าวหาที่ระบุว่าเป็นนายทุนอยากได้ที่ดินเขา ซึ่งมันไม่เป็นความจริง วอนให้ลบทุกอย่างในโลกโซเชียล ขอให้เห็นใจกัน "
ทางด้านอาจารย์สุนีย์ ข้าราชการครูวัย 65 ปี ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของที่ดินโดยตรง มีความเข้าใจกันมากขึ้น และขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ
ต่อมา นายสมิทธิ โมรากุล ทนายความของนางสาวนิตยา ได้ชี้แจงในหลายเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งรวมถึงเอกสารที่ระบุว่า อาจารย์สุนีย์ ข้าราชการครูวัย 65 ปี ไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่แท้จริง โดยเป็นคำพิพากษาตัดสินจากศาลแพ่ง ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2550 โดยมีนางสาวหรือนางอุบลศรี กระแสร์ชล หรือวรรณโกวิท เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ละเมิด และขับไล่ นายจือ แซ่ซิ้ม จำเลยที่ 1 และนางสาวสุนีย์ พิเชรษฐกิจ นางสาวกุลธร พิเชรษฐกิจ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งหมด รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดิน ในโฉนด 4 แปลงด้วยกัน และให้ช่วยกันชำระค่าเสียหายจำนวน 7 พันบาทต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2550 เป็นต้นไป
สำหรับในโลกโซเชียล ก่อนจะมีการนัดไกล่เกลี่ยกัน ได้มีสมาชิกเว็บไซต์พันทิปรายหนึ่ง อ้างเป็นหลานสาวเจ้าของที่ดิน ชี้แจงว่า "ขอชี้แจงแทนคู่กรณีซึ่งเป็นน้า เนื่องจากท่านไม่เคยข้องแวะอะไรในโลกโซเชียลใบนี้ คู่กรณีก็เป็นผู้หญิงแก่ ๆ คนนึงไม่มีครอบครัว อายุ 60 ย่าง 70 ได้ซื้อที่แปลงนี้เมื่อหลายปีก่อน ไม่ได้เป็นนายทุนใหญ่มาจากไหนเลยค่ะ ก็คือคนทำมาหากินอดออม เริ่มจากศูนย์ เก็บเงินจนแก่ พอมีเงินก็ซื้อทรัพย์สินเก็บไว้ให้หลาน ๆ ซื้อมาก็ยังไม่ได้คิดจะทำอะไร ก็เก็บค่าเช่าบ้านเดิม ๆ ที่อยู่บนที่ดินผืนนี้ และมีความพยายามเจรจามาโดยตลอด ให้ทางบ้านตายายมาเซ็นยินยอมขอใช้ทาง แต่ตายายไม่มาเซ็น เพราะท่านต้องการให้ที่ของเราเป็นที่สาธารณะ ซึ่งเราไม่สามารถทำได้จริง ๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดการฟ้องร้องกันขึ้น และศาลฎีกาเพิ่งจะสิ้นสุดล ส่วนในวันเกิดเหตุ เรายังไม่ได้รับหมายศาลคุ้มครองชั่วคราว พอมีคนมารื้อทางทนายก็ได้บอกว่าต้องแจ้งความไว้ก่อนเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์ ส่วนสาเหตุที่เราต้องปิดรั้ว เนื่องจากคุณตาคุณยาย ต้องการให้เป็นที่สาธารณะ ซึ่งเราทำไม่ได้ อย่างที่บอกเราพร้อมจะเจรจาเปิดทางเสมอ เพียงแต่ต้องขอให้ทางคุณตายายมาเซ็นยินยอมขอใช้ทางเพื่อความถูกต้อง และขอชี้แจงว่าไม่เคยใช้วิธีการข่มขู่อะไรทั้งสิ้น เราไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลอะไรเลย ทำมาหากินสุจริต และที่สำคัญเท่าที่ทราบมีข่าวว่า ที่ดินดังกล่าวก็กำลังมีกรณีพิพาท ฟ้องขับไล่กับเจ้าของที่ตัวจริงอยู่"
http://www.thairath.co.th/content/513126