กู้ซื้อบ้านอยู่มาหลายปี พอจะขาย โฉนดดันสลับข้างบ้าน
ช้ำหนัก ข้างบ้านเอาไปขายฝากจนถูกยึดhttps://www.matichon.co.th/news/574367หนุ่มใหญ่น้ำตาตก ร่วมกู้ซื้อบ้านในภูเก็ตกับน้องชายอยู่อาศัยหลายปี พอจะขายพบโฉนดที่ถือดันสลับกับข้างบ้าน
ทำให้ขายไม่ได้ ร้องเจ้าของโครงการยอมรับผิดแต่ให้เดินเรื่องเอง สุดท้ายแก้ไขไม่ได้เพราะติดหนี้แบงค์
ช้ำหนักเมื่อข้างบ้านเอาโฉนดบ้านตนที่สลับไปขายฝากจนถูกยึด ต้องออกจากบ้าน แถมต้องผ่อนหนี้ต่อ
วันที่ 4 มิ.ย.60 ผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ รุตม์ รัตรานนท์ ได้โพสต์ภาพ พร้อมข้อความลงในเฟสบุ๊กส่วนตัว
โดยระบุว่า กรุณาอ่านสักนิดนะครับบทเรียนครับน้องชายคนบ้านนอกเก็บตังซื้อบ้านในภูเก็ตเขตฉลองอยู่มาหลายปี
จะขายบ้านปรากฎว่าเลขโฉนดผิดแปลง ของเราไปอยู่บ้านเขา ของเขามาอยู่ของเรา
ไปขอร้องส่วนราชการทุกๆที่ที่คิดว่าช่วยได้กลับช่วยไม่ได้สักที่ ไปกราบวิงวอนเจ้าของโครงการ
กลับได้รับคำปฏิเศษมาตลอดให้น้องชายไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขด้วยตัวเอง เจ้าของโครงการยังมีชีวิตอยู่
แต่น้องชายเหมือนคนจะตายทั้งเป็นมาหลายปีแล้วเพราะบ้านอีกหลังพอรู้ว่าบ้านผิดแปลงเลยเอาบ้านน้องชายไปขายฝาก
จนปล่อยให้หลุด ตอนนี้คนขายฝากมายึดบ้านน้องชายอย่างจิตใจอำมหิตที่สุด เพื่อนๆพี่ผู้ใหญ่ที่รักความยุติธรรรม
ช่วยแชร์ให้ถึงทนายสงกรานต์ด้วยครับ อยากให้เป็นเคสตัวอย่างกับคนอื่น ให้ระวังเวลาซื้อบ้านด้วยครับ
แต่ตอนนี้คนขายฝากเอาป้ายมาติดประกาศขายบ้านที่น้องชายซื้อมาและอาศัยอยู่อย่างใจดำ โดยไม่ถามเจ้าของบ้านเลย
บอกให้ขนของออกจากบ้านอำมหิตจริงๆคนมีเงิน ดึงป้ายเดิมออกเอาป้ายของตัวเองมาติดว่า ขายด่วน ทำกันได้จริงๆคนสมัยนี้
และบ้านที่เอาบ้านน้องชายไปขายฝากอยู่สบายดี ส่วนตอนนี้น้องชายต้องกลับบ้านนอก วอนทนายสงกรานต์ช่วยด้วยครับ
เพื่อนๆบอกให้จ้างทนายน้องชายคนไม่รวยครับคนบ้านนอกคอกนา
โดยทั้ง 2 ภาพ ที่โพสต์เป็นภาพหน้าหลังหนึ่ง มีป้ายระบุข้อความว่า บ้านหลังนี้โฉนดผิดแปลง กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลง
พร้อมเบอร์โทรศัพท์ และอีก 1 ภาพเป็นภาพหน้าบ้านหลังเดียวกัน มีข้อความว่าขายด่วน และเบอร์โทรศัพท์
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังผู้โพสต์ ทราบชื่อคือ นาย วรุตม์ รัตนรานนท์ เล่าว่า ภาพบ้านหลังดังกล่าว
เป็นภาพบ้านเดี่ยวเลขที่ 55 ซอยเจ้าฟ้า 45(ซอยอู่รถ) ม.10 ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งเดิมทีเป็นของน้องชาย
ชื่อ นาย สมปอง ประหลาดมานิต เป็นคนซื้อประมาณปี 2551 ในราคาประมาณ 3 ล้านกว่า ก่อนที่ตนเองได้เข้ากู้ร่วมเพิ่มในภายหลัง
สำหรับที่ดินปลูกสร้างบ้านดังกล่าว ทราบว่า เจ้าของโครงการซึ่งเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน ร่วมกับผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่ง
ได้ร่วมหุ้นซื้อที่ดินและปลูกสร้างบ้านจำนวน 2 หลัง ลักษณะเหมือนกัน โดยเจ้าของโครงการได้กู้ไว้กับธนาคารกรุงศรีฯ
เมื่อตนและน้องชายมาซื้อไว้ 1 หลัง ก็ต้องกู้ผ่านธนาคารกรุงศรีฯด้วยเช่นกัน ส่วนอีกหลังเป็นหญิงไทยชื่อเล่นว่าแหม่ม
มีสามีชาวต่างชาติมาซื้อไว้ด้วยเงินสด
โดยหลังจากที่ตนและน้องชายซื้อมานานก็อยู่อาศัยกันมาตามปกติ กระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้พูดคุยกับน้องชาย
และตัดสินใจจะขายบ้าน จึงปรึกษากับธนาคารกรุงศรีก่อนประเมินราคาได้ประมาณ 4 ล้านกว่าบาท
ซึ่งขณะนั้นมีผู้สนใจเข้ามาดูบ้านจำนวนมาก กระทั่งมีผู้ต้องการซื้อรายหนึ่งตัดสินใจซื้อ
แต่ขอกู้ผ่านธนาคารกสิกรไทย จึงให้มีการรังวัดที่ดินก่อนการซื้อขาย ปรากฏว่าเอกสารโฉนดระบุว่าไม่ตรงแปลง
โฉนดของตนเป็นของบ้านของ น.ส.แหม่ม และโฉนดของ น.ส.แหม่มเป็นที่บ้านของตน
จึงเกิดโกลาหลขึ้นเพราะไม่สามารถซื้อขายได้ ตนเองพร้อมด้วยน.ส.แหม่มเจ้าของบ้านอีกหลังที่สลับกัน
จึงรีบไปคุยกับเจ้าของโครงการ ซึ่งเจ้าของโครงการยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ขอให้ผู้ซื้อทั้งสองดำเนินการกันเอง
โดยระบุว่าจะรับผิดชอบชดใช้ในส่วนเงินภาษีที่ดิน จากนั้น ตนจึงไปปรึกษาธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการดำเนินการให้
โดยระบุว่าตนเองจะต้องจ่ายเงินปิดหนี้ทั้งหมด ซึ่งมีประมาณ 2 ล้านกว่าบาทให้แล้วเสร็จก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้
แต่เนื่องจากตนเองไม่มีเงิน และไม่สามารถขายบ้านได้ ตนจึงต้องเข้าปรึกษากับหลายหน่วยงานทั้ง ที่ดินจังหวัด
ซึ่งระบุว่าสามารถทำได้แต่ต้องเอาโฉนดตัวจริงจากธนาคารมาดำเนินการ แต่ธนาคารไม่ยอม จึงล้มเหลว
จากนั้นได้เดินทางไปขอความช่วยเหลือที่สำนักงานอัยการ โดยฝ่ายกฏหมายได้พยายามไกล่เกลี่ยโดยประสานไปยังธนาคารว่า
ให้นำเอกสารโฉนดมาดำเนินการ แต่ก็ติดปัญหาที่ธนาคารไม่ยินยอมเพราะผิดหลักเกณฑ์
จากนั้นตนได้ไปร้องต่อที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแต่ก็เงียบหาย สุดท้ายไม่มีทางออก ต้องกลับไปขอร้องเจ้าของโครงการช่วยเหลือ
แต่ก็ไม่ได้ความ จึงแจ้งธนาคารว่า ไม่ขอจ่ายค่างวดต่อ และจะปล่อยให้ธนาคารยึด หากไม่มีการดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง
เพราะที่จ่ายไปนั้นคือต้องจ่ายให้บ้านของผู้อื่น กระทั่งธนาคารโอนให้เป็นของบริษัทบริหารสินทรัพย์และได้มีการเจรจาประนอมหนี้กัน
ซึ่งขณะนั้นเป็นหนี้อยู่กว่า 2 ล้านบาท