55555 This is a book 5555https://prachatai.com/journal/2017/10/73675?utm_source=dlvr.it&utm_medium=twitterบทสนทนาลับระหว่างทรัมป์กับประยุทธ์ (ขรรมๆ อย่าคิดมาก)
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาในช่วงพบปะรอบพิเศษระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศซึ่งไม่ได้ถูกบันทึกไว้โดยสื่อมวลชน
เพราะเป็นการพูดกันตามลำพัง มีเพียงล่ามของพลเอกประยุทธ์อยู่ด้วยเพียงคนเดียว
(เพราะความเป็นเลิศทางภาษาอังกฤษของ ฯพณฯ)
ประยุทธ์: ท่านประธานาธิบดี ผมรู้สึกดีใจที่ท่านให้โอกาสพิเศษแก่เราทั้งคู่ได้พูดคุยกันอย่างเปิดอกครับ
ทรัมป์: ไม่เป็นไรครับเพราะผมสนใจประเทศท่านมากด้วยมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ดังคำว่า Thailand Only
ท่านนายกรัฐมนตรี ถามจริงๆ เถอะ ว่าทำไมท่านถึงรีบบอกกับผมว่าปีหน้าจะประกาศการเลือกตั้ง
ทั้งที่ผมก็ไม่ได้ถามหรือเซ้าซี้จะเอาคำตอบสักหน่อย
ประยุทธ์: คือผมเตรียมเป็นสคริปต์ไว้อะครับ กลัวท่านจะถาม ไปๆมาๆ เพื่อไม่เป็นการเสียเปล่า
ก็ชิงสร้างภาพอันดีงามว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ
ทรัมป์: ถึงผมจะดูโง่หรือไอคิวต่ำสักหน่อย แต่ผมก็ศึกษาการเมืองของท่านมาดีพอใช้นะ
เห็นสื่อของไทยหลายสำนักโจมตีว่าท่านพูดอย่างนี้มาหลายครั้งแล้วในรอบหลายปีที่ผ่านมา
แต่ก็ยังไม่จัดการเลือกตั้งสักที
ประยุทธ์: ท่านขวานผ่าซากจริงๆ นะ ผมก็ขอตอบตามตรงว่าเพราะหวงอำนาจไง ไปไหนทีก็มีแต่คนกุมเป้ากางเกง
พร้อมเลียมือเลียเท้าผมเต็มที่ ที่สำคัญถ้ารีบลงจากตำแหน่ง ไอ้ทักกี้และพวกเกิดได้กลับมามีอำนาจทางการเมือง จะเกิดอะไรขึ้น
ก็เลยถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ แต่ถ้าวันนั้นมาถึง ผมก็จะเตะถ่วงไปได้อีกเพราะประเทศนี้สามารถเกิดอุบัติเหตุได้อีกเยอะแยะในอนาคตครับ
ทรัมป์: ว่าแล้ว ท่านนายกฯ ก็เสพติดเก้าอี้เหมือนผมนั่นแหละ ไอ้สื่อมวลชนบ้านผมบ้า มันบอกว่าถ้าผมลงสมัครลงแข่งขัน
เป็นประธานาธิบดีในวาระที่ 2 ก็คงจะแห้ว คอยดูเหอะถ้าวันนั้นมาถึงรับรองว่าพวกมันน้ำตาตกในแน่ๆ
ประยุทธ์: (มีเสียงกลั้นหัวเราะ) งั้นผมขอถามท่านตรงๆ บ้างก็แล้วกันว่า ท่านไม่กลัวเสียชื่อหรอกหรือที่ให้การต้อนรับผม
ผู้นำที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการทหารในประเทศด้อยพัฒนาอย่างไทย
ทรัมป์: ฮะๆๆ ไม่ได้ตราหน้าหรอก เพราะเป็นเรื่องจริง รู้สึกจะมีไทยเพียงประเทศเดียวในโลก
ที่หัวหน้ารัฐบาลเป็นทหารที่มาจากการทำรัฐประหาร เอาอย่างนี้ ในฐานะที่ท่านมีความรู้ทางประวัติศาสตร์
จำกัดอยู่ที่ภูเขาอัลไต ก็เลยอยากจะบอกว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ นั้นยืดหยุ่นอยู่เสมอ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่วงสงครามเย็น ถึงแม้เราจะภูมิใจในความเป็นประชาธิปไตย
และเผยแพร่ลัทธินี้ไปทั่วโลกแต่เพื่อผลประโยชน์และอำนาจ เราก็สามารถจูบปากกับเผด็จการได้เสมอ
ไม่ใช่เฉพาะผมหรอก ดูอย่างอีตาโอบามาสิ แกยังอดทนกับเผด็จการในตะวันออกกลางได้ตั้งหลายปี
จนประชาชนลุกฮือขึ้นมาประท้วงอย่างที่เค้าเรียกว่า อาหรับสปริง ที่จริงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่วนใหญ่
ต่างหวาดกลัวอำนาจของประชาธิปไตย เพราะพลังของประชาชนมักจะเข้ากันดีกับพวกฝ่ายซ้ายที่แอนตี้จักรวรรดินิยมอเมริกัน
ประยุทธ์: อ้าว แล้วไทยละครับ ก่อนหน้านี้ทำไมสหรัฐฯ ถึงคว่ำบาตร กดดันไทยจัง
ทรัมป์: อันนี้ผมเดาเอาว่า ก็เพราะสหรัฐฯ ต้องการเอาประเทศของท่านมาเป็นเครื่องมือในการสร้างภาพ
ว่าเป็นผู้ยกย่องคุณค่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ที่สลิ่มบ้านท่านยกมาถล่มเมื่อก่อนว่าสหรัฐฯ หน้าไหว้หลังหลอก
ก็เป็นเรื่องจริงนะ อย่างเช่นการทำรัฐประหารในอียิปต์ไง ที่สหรัฐฯ ทำท่าหลีกเลี่ยงในการประณาม
สำหรับผมก็เคยพูดมาแล้วไงว่าจะไม่กดดันใครหรืออะไรทั้งนั้นเพื่อความเป็นมิตรและผลประโยชน์ของประเทศ
ประยุทธ์: ความจริงท่านก็ทำเพื่อคะแนนความนิยมของท่านด้วยใช่ไหม
ทรัมป์: ใช่ครับ ยิ่งตอนนี้คะแนนความนิยมของผมกำลังต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่ด้วย ที่สำคัญคนอเมริกัน
โดยเฉพาะฐานคะแนนเสียงของผมไม่ใช่พวกเชิดชูประชาธิปไตยเท่าไรนัก พวกเขาต้องการให้ America Great Again
เสียมากกว่า ถ้าช่วยให้มีการสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผมก็ยินดีทำทั้งนั้น ดูสิ
ตอนนี้ไทยกลายเป็นลูกค้าที่แสนดี คือใช้เงินหมดไปกับอาวุธสงครามที่ซื้อจากเราเยอะๆ
หรือไม่ก็รับสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ที่ทำให้คนในประเทศท่านงงงวยว่ามันดีจริงๆ หรือไม่
ส่วนงบประมาณด้านอื่นเช่นอุปกรณ์การแพทย์สำหรับโรงพยาบาลก็ให้ไอ้ตูนไปวิ่งขอบริจาคเงินก็แล้วกัน
ประยุทธ์: (ไอกระแอม) ความจริงประเทศผมก็ได้ประโยชน์อย่างอื่นเหมือนกันจากการกลับมาเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศท่าน
ขอสารภาพนะครับว่าเมื่อปีที่แล้ว พวกผมก็หนักใจอยู่มากเพราะเข้าใจว่าคนที่จะชนะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ก็คือนางฮิลลารี คลินตัน ซึ่งก็คงมีนโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะกับไทยไม่ต่างจากโอบามาเท่าไรนัก
เราก็ต้องหาทางในการแปลงประเทศไทยให้เป็นเผด็จการจำแลง เพื่อได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯ ให้ได้
แต่พอท่านได้เป็น พวกเราก็โล่งใจเยอะ ไม่ต้องอำพรางอะไรให้มาก นอกจากสัญญาลมๆ แล้งๆ
ทรัมป์: ตามมุมมองของผมนะ นางคลินตันก็อาจจะไม่ต่างจากผมเท่าไรหรอก นอกจากจะใช้ภาษาตามสไตล์พวกเดโมแครต
เช่นเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ดูอย่างช่วงโอบามา สหรัฐฯ ก็ไม่ได้กดดันไทยเท่าไร
นอกจากเล่นเกมทางจิตวิทยา ถ้านางเป็นประธานาธิบดี พวกท่านคงเหนื่อยต่อไปอีกสักหน่อย
และถ้าแผนการของสหรัฐฯ ในโอบล้อมจีนเข้มข้นขึ้น พวกท่านก็เป็นต่อมากขึ้น
สหรัฐฯ อาจจะส่งสัญญาณขอคืนดีกับท่านแบบเนียนๆ จนพวกนิยมประชาธิปไตยไม่ทันรู้ตัว
ประยุทธ์: อย่างไง ผมก็รู้สึกสบายใจที่ได้คนซื่อบื้อเอ้ยคนตรงอย่างท่านเป็นประธานาธิบดี เป็นคนที่เหมาะกับการทำธุรกิจด้วย
ท่านยังช่วยทำให้พวก ควายแดง หลายตัวถึงกลับเงิบเพราะเคยสบประมาทว่าไม่มีใครคบผม
ทรัมป์: ผมเองก็รู้สึกสบายใจเหมือนกันนะที่ได้คนบ้าอำนาจอย่างท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าผมกดดัน
เล่นเกมกับท่านเหมือนโอบามา ผมคงจะจั๊กกะจี้ ไม่กล้าเชิญผู้นำที่เป็นเผด็จการในดีกรีเดียวหรือยิ่งกว่าไทย
อย่าง อียิปต์ ตุรกี เวียดนาม ฯลฯ มาเยือนทำเนียบขาวหรอก ส่วนพวกควายแดงนั้นอาจจะไม่เข้าใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แท้จริงหรอกว่า ผลประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่อุดมการณ์ประชาธิปไตย
ประยุทธ์: เป็นการกลับตาลปัตร นะครับที่ว่าพวกท่านขึ้นมามีอำนาจด้วยระบอบประชาธิปไตย และการเมืองอเมริกัน
ก็เต็มไปด้วยการถ่วงดุลทางอำนาจของสถาบันต่างๆ แถมยังเน้นลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมที่ให้อำนาจแก่รัฐธรรมนูญมาก
แต่ประธานาธิบดีลึก ๆ กลับชอบเผด็จการ
ทรัมป์: เอาตามจริงนะ ประชาธิปไตยสหรัฐฯ ค่อนข้างซับซ้อน ประเทศอื่นๆ ที่เค้าปกครองด้วยระบอบประธานาธิบดี
ประธานาธิบดีมาจาการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่สหรัฐฯ กลับใช้ระบบคณะผู้เลือกตั้งมาตัดสิน
เพราะผู้ก่อตั้งประเทศที่เขียนรัฐธรรมนูญไม่ไว้ใจประชาชน
ดูผมสิแพ้คะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนเกือบ 3 ล้านเสียงแก่นางคลินตัน ผมยังชนะเลย
ประยุทธ์: ใช่ครับ ถ้าเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบฟิลิปปินส์หรืออินโดนีเซีย ท่านก็คงแพ้ยับเยิน
เลยเป็นบทเรียนสำหรับไทยว่าถ้าผม (หรือเด็กในสังกัด) ลงเลือกตั้งตามแบบรัฐธรรมนูญฉบับก่อน
ผมคงแพ้ลูกน้องทักกี้ด้วยสัดส่วนคะแนนประมาณนี้ ก็เลยให้ลิ่วล้อร่างกฎหมายเลือกตั้งสร้างระบบใหม่
ที่ซับซ้อนแบบเยอรมันเพื่อไม่ให้ป้องกันไม่ให้ความนิยมของคนไทยต่อทักษิณหนุนพรรคเพื่อไทยให้เป็นรัฐบาลอีก
ทรัมป์: เท่านั้นยังไม่พอ การถ่วงดุลอำนาจระหว่างสถาบันต่างๆ กลายเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับประธานาธิบดี
เพราะประธานาธิบดีจะกลายเป็นเป็ดง่อย เพราะจะมีสถาบันอย่างรัฐสภาและตุลาการที่สามารถขัดขา
ไม่ให้นโยบายหรือการบริหารรัฐกิจดำเนินไปได้ดีหรือมีประสิทธิภาพ แถมสหรัฐฯ ยังเป็นประเทศแบบสหพันธรัฐ
ที่รัฐบาลกลางมีอำนาจจำกัด ประธานาธิบดีจึงต้องพยายามเล่นเกมอำนาจ อย่างโอบามาถือได้ว่า
เป็นพวกต่อต้านระบอบสหพันธรัฐเพราะดึงอำนาจเข้าสู่รัฐบาลกลางอย่างมาก ยิ่งถ้าประธานาธิบดีมีอำนาจเด็ดขาด
เหมือนกฎหมายมาตรา 44 อย่างท่านด้วยก็จะเป็นเรื่องดี พวกท่าน (ผู้นำเผด็จการ) คือบุคคลในฝันสำหรับประธานาธิบดีอย่างผมเลย
ประยุทธ์: เล่นเอาเขินเลยนะครับ ท่าน จริงๆ ม.44 ก็แป๊กหลายครั้งแล้ว เพราะอำนาจแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาดเหมือนกับ ม.17
ของจอมสฤษดิ์ (อดีตสมุนของกรุงวอชิงตัน) ขนาดเอาผู้ต้องสงสัยไปยิงเป้ากันต่อหน้าประชาชนกันเห็นๆ
ผมต้องเผชิญกับอำนาจของระบบราชการ กลุ่มผลประโยชน์ หรือแม้แต่พลังของประชาชนเองที่ไม่ได้ต่อต้านคสช.
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐเสมอไป
ทรัมป์: แต่ที่ผมอิจฉาท่านอย่างหนึ่งคือท่านสามารถเล่นงานสื่อมวลชนได้อยู่หมัด ผมล่ะแสนเบื่อสื่อมวลชนบ้านตัวเองเต็มทีแล้ว
โดยเฉพาะซีเอ็นเอ็น หรือไม่ก็เอบีซี มันโจมตีผมเหลือเกินทำให้คะแนนความนิยมของผมลดลงเรื่อยๆ
เจ้าเสรีภาพของสื่อนี่แหละ ที่ทำให้ประธานาธิบดีพังกันมาหลายคน ดูอย่างนิกสัน กรณีวอเตอร์เกตสิ
ผมจะต้องพยายามอย่างยิ่งในการเอาชนะสื่อเหมือนท่านให้ได้ วิธีการหนึ่งก็คือการใช้ทวิตเตอร์
ประยุทธ์: ว่าไป 3 ปีที่ผมกับพวกยึดอำนาจมานี่ก็เข้าควบคุมสื่อได้อยู่หมัดช่วงต้นๆ โดยใช้ปลายกระบอกปืนเท่านั้นแหละครับ
พอคลายลงสักหน่อย เจ้าพวกโซเชียลมีเดียเล่นงานผมซะอ่วมเลย แถมกระแสหลักก็หันมาพยศกับผมเป็นครั้งคราว
นี่เลยต้องให้เจ้าสนช.แก้กฎหมายเพื่อจำกัดเสรีภาพของสื่อให้มากที่สุด
ทรัมป์: ออ ก่อนหน้านี้ ผมเห็นในยูทูบเวลาท่านให้สัมภาษณ์สื่ออย่างกะหมูกะหมาสลับกับมธุรสวาจา
(เข้าทำนองตบหัวแล้วลูบหลัง) ทำให้พวกนักข่าวไม่กล้าถามคำถามอะไรเต็มปากเต็มคอนัก
ผมว่าผมเป็นคนขวานผ่าซาก แล้วยังไม่ได้ครึ่งของท่านเลย
ประยุทธ์: ไอ้เรื่องการให้สัมภาษณ์นี่ เพราะผมเป็นทหารเก่าที่ขาดความอดทนกับเสรีภาพหรือคำถามอย่างเล่นลีลาแบบพลเรือน
ไม่เหมือนกับอีปูหรือไอ้มาร์ค ที่สำคัญ ผมคงรับไม่ได้ที่จะถูกผู้สื่อข่าวรุ่นลูกรุ่นหลานต้อนจนมุมกับเรื่องที่ตอบไม่ได้
เลยต้องตวาดเพื่อชิงความได้เปรียบ ลึกๆ แล้วผมเป็นคนตลกแถมยังอ่อนโยนครับ ไม่เชื่อลองไปถามภรรยาของผมดูสิ
ทรัมป์: ออเข้าใจล่ะ ผมก็อ่อนโยนไม่แพ้ท่านเหมือนกันนะ พูดถึงการควบคุมสื่อนี่คงต้องชมเกาหลีเหนือเค้าล่ะ
ที่จริงแล้วผมอยากให้สหรัฐฯ เหมือนเกาหลีเหนือเสียจริง เพราะปลูกฝังลัทธิเชิดชูบุคคล (Cult of Personality)
จนชาวบ้านกลายเป็นโรบอตเทิดทูนท่านผู้นำดุจดังเทพเจ้า ที่ผมเล่นสงครามน้ำลายกับไอ้หมูอ้วนคิม จองอุน
ก็เพราะเป็นเรื่องนิวเคลียร์เท่านั้นนะ ส่วนรูปแบบการปกครองผมชอบเกาหลีเหนือมาก คงจะดีนะครับ
คนอเมริกันร้องเพลงสรรเสริญพร้อมกับชูป้ายเชิดชูท่านทรัมป์ๆๆ ท่านทรัมป์เอ่ยเช่นไร สื่อก็รับมาแซ่ซ้องอย่างเทิดทูน
ประยุทธ์: เหมือนกันเลยครับ ไทยเองก็เป็น เกาหลีเหนือ แบบเนียนๆ ผมก็เลยอยู่ในทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์ คือออกมาพูดคนเดียวหน้าจอโทรทัศน์โดยเข้าใจว่าเรตติ้งคนดูประมาณเรื่อง นาคี ผมยังเสพแต่สื่อที่สรรเสริญตัวเองหรือไม่ก็เชื่อแต่สำนักโพลกำมะลอที่ผลสำรวจมักเป็นการเชียร์รัฐบาลแบบสุดติ่ง ถ้าใครวิจารณ์รัฐบาลแรงๆ เข้าก็ยัดข้อหาว่ากระทำผิดกฎหมายมาตรา 116 หรือไม่ก็ 112 แถมพ่วงไปเลย แต่ถ้าจะให้ดีประเทศของเราน่าจะเหมือนเกาหลีเหนืออีกอย่างคือประชาชนไม่ค่อยมีอินเทอร์เน็ตใช้ ปิดประเทศเลยก็ดี ไม่มีโซเชียลมีเดีย ประชาชนรับข่าวสารเพียงด้านเดียว
ทรัมป์: (เสียงปรบมือ) พูดผ่าลงกลางใจผมเลยครับ แต่เหลือไว้เฉพาะทวิตเตอร์ก็ดีนะ
ประยุทธ์: เหมือนกันครับ แหมคุยกับท่านแล้วได้ความรู้เกี่ยวกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลายเรื่องเลยนะ ไป ๆ มาๆ เราก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไร
เสียงของผู้หญิง (ซึ่งน่าจะเป็นเมลาเนีย ทรัมป์) แทรกมา: ขอเชิญท่านทั้ง 2 รับประทานอาหารเที่ยงได้แล้วค่ะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าฝนหยุดตกหรือยัง
จบบทสนทนา