เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 30, 2024, 01:31:10 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ท่านใดทราบเรื่องสมุนไพรที่มีรสเผ็ดบ้างครับ  (อ่าน 7796 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Chayanin-We love the king
ฟ้าสว่างสดใสไร้มลทิน เพียงเมฆินบังเบียดเสนียดฟ้า แกว่งยางยูงปัดป้องท้องนภา ผู้แก่กล้าโปรดอย่าว่าตัวข้าเลย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 62
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2610



« ตอบ #15 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 01:18:33 PM »

มัสหมั่น แกงแก้วตา  หอมยี่หร่า รสร้อนแรง
บันทึกการเข้า

ไม่อยากเป็นมะเร็ง   ก็ใช่ว่าต้องเป็นโรคหัวใจ
สุขภาพดีเป็นเรื่องไม่ยาก
สุขภาพที่ดีของประเทศไทย   อยู่ที่สภาวะปราศจากโรคร้าย
ไม่ใช่อยู่ที่ต้องเลือกระหว่าง  มะเร็ง  กับ โรคหัวใจ
Been
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #16 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 01:42:17 PM »

        "มะแข่น " มีกลิ่นหอม ๆรสเผ็ด   ใส่แกงป่าอร่อยมาก น้ำลายหก น้ำลายหก
บันทึกการเข้า
หินเหล็กไฟ
ถึงตายไปก็ช่างมัน...ขอให้ชีวิตยังอยู่ก็พอ..
Hero Member
*****

คะแนน 1319
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12901



« ตอบ #17 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 03:35:00 PM »

ไม่เห็นใครพูดถึงพริกเลย  พริกนี่แหละเผ็ดจริง ถ้าจะให้เผ็ดกว่าพริกต้องหาของร้อนมาเสริม เช่น เพกา กระชาย ขิง ฯลฯ ที่เคยลองแล้วได้ผลที่สุดคือเพกา  เผ็ดชนิดที่ว่าจะทนนั่งทานต่อไม่ได้เด็ดขาด
บันทึกการเข้า

[img]http://i7.tinypic.com/333hiqw.jpg[/img
submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #18 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 04:49:06 PM »

ต้น คาโนลา (Canola) ที่นำมาทำวาซาบิ




ทุ่งคาโนลา (Canola)
บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #19 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 05:02:37 PM »

อันนี้ ขาดไม่ได้
(ยาวหน่อยนะครับ)

พริกขี้หนู

ชื่อวิทยาศาสตร์    Capsicum  frutescens Linn.
       ชื่อวงศ์    SOLANACEAE
       ชื่ออื่น     พริกนก, พริกแด้, ดีปลี,ดีปลีนก


สรรพคุณ

ผล       
รสเผ็ดร้อน แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ ขับผายลม เจริญอาหาร
ผสมวาสลินใช้ทาถูนวด แก้เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำดำเขียว แก้ปวดตามข้อ
ทำให้การไหลเวียนของเลือด ดีขึ้น

ต้น
สุมเป็นถ่านแช่น้ำ ขับปัสสาวะ แก้กระษัย แก้เส้น เอ็นพิการปวดเมื่อยตามร่างกาย


ผงถ่านพริกขี้หนู   
 ใช้กินกับน้ำส้มสายชู เพื่อขับน้ำคาวปลาให้ตก ถ้าน้ำ คาวปลาไม่ตกในสตรีคลอดบุตร จะทำให้มีอาการหน้า มืด
กัดกรามแน่น จุกแน่นในท้องในอก รู้สึกอึดอัด ใจคอหงุดหงิด หนาวสั่น แน่นอก หูดับ เป็นลมหลับ ผลอยไป
แก้ไม่ทันอาจถึงสิ้นชีิวิต

ความลับของพริกขี้หนู
๑.   แก้ปวดหัว ปวดหัวเนื่องมาจากไข้หวัด หรือตััวร้อน ใช้ใบพริกขี้ หนูสดๆ ตำกับดินสอพองปิดขมับ

๒.   แก้เจ็บคอ เสียงแหบ   ใช้น้ำต้มหรือยาชงพริกขี้หนู กลัวคอแก้ เจ็บคอและเสียงแหบได้
โดยใช้พริกขี้หนูป่น ๑ หยิบมือ เติมน้ำเดือดลง ไป ๑ แก้ว ทิ้งไว้พออุ่น ใช้น้ำกลัวคอ

๓.   ช่วยขับลม  แก้อาหารไม่ย่อย เจริญอาหาร โดยกินพริกขี้หนูสวน รักษากระเพาะที่ไม่มีกำลังย่อยอาหาร

๔.   แก้ปลาดุกยัก  ใช้พริกขี้หนูสดเขียวหรือแดงก็ได้ ขยี้ตรงที่ปลาดุก แทงจะหายปวด
ขยี้แล้วจะรู้สึกเย็น(ธรรมดาพริกขี้หนูร้อน) ไม่บวม ไม่ฟกช้ำด้วย

๕.   แก้เท้าแตก  ใช้พริกขี้หนูทั้ง ๕ ปูนขาว สื่งละพอควร เอาไปต้ม เอาน้ำมาแช่เท้าที่แตก
ถ้าไม่หายเอาต้นสลัดได รากหนอนตากยาก ใส่ลงไปด้วย

๖.   แก้บวม  ใบพริกขี้หนู บดผสมนำ้มะนาว พอกบริเวณที่บวม

๗.   รักษาแผลสดและแผลเปื่อย  ใช้ใบพริกขี้หนู ตำพอกรักษาแผล สดและแผลเปื่อย
(อย่าใช้พริกขี้หนูปิดแผลมากเกินไปเพราะจะทำให้ร้อน)

๘.   ใบ้ใบเป็นอาหาร  ใบพริกขี้หนูมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เพราะมี ธาตุ แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ไวาตามินเอ
และบีอยู่มาก บำรุงกระดูก บำรุง ประสาท

๙.   แก้พิษตะขาบและแมลงป่องกัด  ใช้พริกขี้หนููแห้ง ตำผงละลาย น้ำมาะนาว ทาแผลตะขาบกัด แมลงป่องต่อย
หายเจ็บปวดดีนัก

๑๐. มดคันไฟกัด   ใช้ใบหรือดอกพริกขี้หนูก้ได้ ถูบริเวณถูกกัด หายแล
 

 ตำรับยาพริกขี้หนูขับน้ำคาวปลา
ตัวยา
๑.  พริกขี้หนู(ผงถ่าน)           ๑    ช้อนโต๊ะ
๒.  น้ำส้มสายชู                    ๑    ถ้วยชา



วิธีปรุงยา
นำผงถ่านพริกขี้หนู ๑ ช้อนโต๊ะ ผสมกับ น้ำส้มสายชู ๑ ถ้วย ชา



วิธีใช้
กินครั้งละ ๑/๒ - ๑ ถ้วยชา  กินครั้งเดียว ครั้งต่อไปให้ใช้ เหล้าแทนน้ำส้มสายชู กิน วันละ ๒-๓ ครั้ง



ข้อห้ามใช้
ให้กินพริกขี้หนูกับน้ำส้มสายชู เพียงครั้งเดียว เพราะน้ำส้มสายชูมีฤทธิแรง กินบ่อยๆ จะเป็น อัน ตราย
ส่วนการใช้เหล้า จะมีฤทธิ์อ่อนกว่า เหมาะ ที่จะใช้บ่อยๆได้


ข้อควรรู้เกี่ยวกับยา
เอาพริกขี้หนูแห้ง ๑ กำมือ ใส่กระทะตั้งไฟ จน ควันขึ้น จุดไม้ขีดแหย่ลงไป พริกขี้หนูจะ ติดไฟ ทิ้งไว้สักพักจนเห็นว่า
ไหม้ดำเป็นถ่าน หมด จึงตักออกจากกระทะใส่จาน หากะลา หรือถ้วยครอบพริกเผา เอาไว้จนไฟดับหมด
จึงเอามาบดให้ละเอียด จึงได้ผงถ่านพริกขี้หนู ตามต้องการ

บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #20 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 05:04:39 PM »

อันนี้ ของแถม

ยาลดความอ้วนบำรุงร่างกาย

๑.  บอระเพ็ด ๕บาท 
๒.  มะตูมอ่อน๕บาท 
๓.  หัวกระชาย๕บาท 
๔.  หัวแห้วหมู๕บาท 
๕.  เหงือกปลาหมอ๑๐บาท 
๖.  พริกไทย๑๐บาท 

        วิธีทำ  บดเป็นผง ผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ด ขนาดเม็ดพุทรา

        ขนาดรับประทาน   ครั้งละ ๑ เม็ดก่อนนอน

        สรรพคุณ   ลดความอ้วน เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย
บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

Kasalong
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #21 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 05:21:37 PM »

เพิ่งเคยเห็นต้นวาซาบิครับ เหมือนผักกาดปู้เขียวหางดอก บ้านผมเลยครับท่านซับ....
บันทึกการเข้า
xiehua dun
เรารักในหลวง
Hero Member
*****

คะแนน 134
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6209


ปัจจุบันวัดความดีของคนที่ กม.


« ตอบ #22 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 05:44:42 PM »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับน้าซับ
บันทึกการเข้า


เพราะฉันจะไป ด้วยหัวใจดวงนี้ สองขาที่มีจะปีนสู่ภูผา
เพราะฉันจะไป ให้เห็นความสุขแท้มันด้วยตา
เมื่อได้มองลงมาเห็นโลกในมุมอีกมุม     มันคงช่างงดงาม
submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #23 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 06:05:55 PM »

เพิ่งเคยเห็นต้นวาซาบิครับ เหมือนผักกาดปู้เขียวหางดอก บ้านผมเลยครับท่านซับ....

ต้น Canola ครับ
(ว่าแล้ว น่าจะเอามาจดทะเบียนลิขสิทธิ์เป็นของไทยซะนี่...ฮี่ ๆ ๆ ๆ)
บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

bravo544
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #24 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 08:07:58 PM »

พริก / ขิง / โหระพา / พริกไทย / อบเชย ฯลฯ
บันทึกการเข้า
SAVOK CZ
Hero Member
*****

คะแนน 31
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1620


« ตอบ #25 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2006, 09:16:07 PM »

  พริก เรื่องเผ็ดร้อนที่น่ารู้ 

        พริกต่างๆในสำรับอาหารของครอบครัวไทยนั้น มีพริกเป็นเครื่องปรุงอยู่ด้วยเสมอ เมื่อก่อนอาจมีความคิดว่า การบริโภคพริกมากเกินไปไม่มีประโยชน์อันใด แต่เมื่อมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพริกมากขึ้น ทำให้เราได้ทราบว่า นอกจากสีสันและความเผ็ดร้อนของพริกจะช่วยให้อาหารดูดีมีรสชาติแล้ว พริกยังมีสรรพคุณเป็นยา เป็นอาหารเสริมสุขภาพที่โลกศิวิไลซ์ ให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้

  สารพัดพริก 
          พริกมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ และมีประวัติการใช้มายาว นานหลายพันปีก่อนที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จะสำรวจพบทวีปอเมริกา และด้วยรสชาติที่น่าพิศวง เขาจึงนำพืชนี้เข้าไปเผยแพร่ในยุโรป โดยโคลัมบัสเรียกชื่อพืชใหม่ของเขาว่า พริกแดง (red pepper) ตามลักษณะสีของผล เพื่อปลูกเปรียบเทียบกับพริกไทยดำ (black pepper, Piper nigrum L.) ซึ่งนิยมปลูกกันอยู่แล้ว ก่อนแพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย
        พริก (แดง)กับพริกไทย(ดำ) แม้จะมีชื่อว่าพริกเหมือนกัน แต่ถ้านับวงศาคณาญาติแล้ว พืชทั้งสองชนิดนี้ไม่มีความเกี่ยวพันกันเลย พริกเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์โซลานาซิอี (Solanaceae) เช่นเดียวกับมะเขือเทศ มันฝรั่ง ยาสูบ และพิทูเนีย พริกจัดอยู่ในสกุลแคปซิคัม (Capsicum)  ซึ่งมีอยู่ด้วยกันประมาณ 25 ชนิด (species) แต่ที่นิยมปลูกกันโดยทั่วไปจะมีเพียง 5 ชนิดเท่านั้น

 อะไรอยู่ในพริก   
          หลายคนสงสัยว่าทำใมพริกจึงเผ็ด? จากการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์เกือบ 200 ปีมาแล้วพบว่า สารเคมีที่มีชื่อว่า แคปไซซิน (capsaicin) ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า 8-methyl-n-vanillyl-6-noneamide คือตัวการสำคัญที่ทำให้พริกเผ็ด แคปไซซินเป็นสารธรรมชาติจำพวกอัลคาลอยด์ มีสูตรโมเลกุลคือ C18H27NO3 นํ้าหนักโมเลกุลเท่ากับ 305.46  มีจุดหลอมเหลวเท่ากับ 65 องศาเซลเซียส แคปไซซินเป็นสารหลักของสารในกลุ่มแคปไซซินอยด์ (capsaicinoids) ซึ่งสารในกลุ่มนี้นอกจากแคปไซซินแล้วก็ยังมีไฮโดรแคปไซซิน (hydrocapsaicin) ซึ่งเป็นสารให้ความเผ็ดเช่นเดียวกันแต่เผ็ดน้อยกว่า โดยทั่วๆ ไปแคปไซซินอยด์จะประกอบด้วยแคปไซซิน 70% และไฮโดรแคปไซซิน 22%  และสารอื่นๆ อีก 8%
        เสน่ห์ของพริกไม่ได้อยู่ที่ความเผ็ดแต่เพียงอย่างเดียว แต่คุณค่าทางอาหารคือสิ่งที่ทำให้พืชชนิดนี้ได้รับความสนใจในการค้นคว้าและทดลองอย่างกว้างขวาง  สีเหลือง สีส้มและสีแดงของผลคือสารจำพวกแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ซึ่งมีอยู่มากมายถึง 20 ชนิด ที่สำคัญได้แก่ เบตาแคโรทีน(beta-carotene) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอที่ช่วยบํารุงสายตา
        นอกจากนี้ พริกยังมีวิตามินซีอยู่ในปริมาณที่สูงมากโดยจะมีมากกว่าปริมาณวิตามินซีในผลส้มเสียอีก ในพริก 1 ออนซ์ (28 กรัม) จะมีวิตามินซีสูงถึง 100 มิลลิกรัม และวิตามินเอ 16,000 หน่วย ซึ่งปริมาณดังกล่าวนี้สูงกว่าปริมาณวิตามินซีและวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

  เผ็ดนั้นเผ็ดแค่ไหน 
         ผู้ที่บุกเบิกในการวัดค่าความเผ็ดของพริกเป็นคนแรกได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมนีที่ชื่อ วิลเบอร์ สโควิลล์ (Willbur Scoville) ในปี พ.ศ. 2455 หรือประมาณ 90 ปีล่วงมาแล้วโดยในช่วงนั้นสโควิลล์ได้ตั้งชุดทดสอบขึ้นมาซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนซึ่งจะทำหน้าที่ในการชิมและ
ให้คะแนนพริกโดยเฉพาะคนกลุ่มนี้ต้องเป็น“คอพริก”จริงๆและต้องมีประสบการณ์ ์และความชำนาญสูงเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น หลักการของวิธีการนี้ก็โดยการทำให้สารละลายที่สกัดได้จากพริกเจือจางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสารละลายนั้นไม่มีความเผ็ดเหลืออยู่เลย พร้อมๆ กับการจดบันทึกว่าทำการเจือจางทั้งหมดกี่ครั้ง ถ้ามีการเจือจางมากครั้งก็แสดงว่าพริกนั้นเผ็ดมาก ถ้าเจือจางน้อยครั้งก็แสดงว่าเผ็ดน้อย วิธีวัดดังกล่าวนี้ได้รับความนิยมเรื่อยมา จนกระทั่งในระยะหลังได้มีการนำเครื่องมือที่เรียกว่า เอชพีแอลซี (HPLC - high pressure liquid chromatography) เข้ามาช่วยวัด โดยใช้เครื่องดังกล่าวนี้วัดปริมาณของสารแคปไซซินในพริกแต่ละชนิดโดยตรง และเทียบปริมาณสารที่วัดได้เป็น หน่วยสโควิลล์ (Scoville Unit) และกำหนดให้ 1 ส่วนในล้านส่วน (1 ppm) ของสารแคปไซซินมีค่าเท่ากับ 15 หน่วยสโควิลล์ ดังนั้นสารแคปไซซินบริสุทธิ์จึงมีค่าความเผ็ดเท่ากับ 15,000,000 หน่วยสโควิลล์
       จากการใช้เครื่องมือวัดความเผ็ดนี้ตรวจสอบปริมาณสารแคปไซซินในพริกหลายๆ ชนิด ทำให้สามารถแยกแยะพริกได้หลายกลุ่มตามความเผ็ด ดังตัวอย่างที่สำคัญต่อไปนี้

    * อันดับที่หนึ่ง ฮาบาเนโรแดงซาวีนา (Red Savina Habanero) มีความเผ็ด 580,000 หน่วย นับว่าเผ็ดที่สุดในโลก
    * อันดับที่สอง ฮาบาเนโร (Habanero) ความเผ็ดระดับ 200,000-500,000 หน่วย
    * อันดับที่สาม พริกขี้หนู (Thai Bird Pepper) พริกสก็อต บอนเนท (Scotch Bonnet) พริกจาเมก้า (Jamaica Hot) เผ็ดแสนเผ็ดระดับ 100,000-350,000 หน่วย
    * อันดับที่สี่ พริกชี้ฟ้า (Cayenne) เป็นพริกที่เผ็ดปานกลางระดับ 30,000-50,000 หน่วย
    * อันดับที่ห้า พริกหยวก หรือ พริกหวาน (Bell Pepper หรือ Italian Sweet) เป็นพริกที่ไม่เผ็ดเลย จึงมีความเผ็ดเป็น 0 หน่วย

  พริกสารพัดประโยชน์ 
        จากข้อมูลของการศึกษาค้นคว้าทั้งในอดีตและปัจจุบัน สามารถสรุปประโยชน์ของพริกที่มีต่อสุขภาพหรือในด้านอื่นๆ ได้ดังนี้

    * ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดและ  ทำให้การหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลด    นํ้ามูกหรือสารกีดขวางระบบการหายใจอันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัด ไซนัสหรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ ด้วยเหตุนี้เองสารแคปไซซินจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของยาหลายๆ ชนิด
    * ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด พริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดี ช่วยลดความดัน ทั้งนี้เพราะสารพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซีช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง เพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
    * ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเทอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเทอรอลชนิดไม่ดี (LDL-low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเทอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein)
    * ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง พริกเป็นพืชที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามีนซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้
    * ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด มนุษย์เรารู้จักใช้พริกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดมาแต่โบราณกาล เช่น ลดการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้ทาบรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงที่เกิดบนผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาท์หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น
    * ช่วยเสริมสร้างสุขภาพดีและอารมณ์ชื่นมื่น สารแคปไซซินช่วยเสริมสร้างอารมณ์ชื่นมื่นเนื่องจากสารนี้มีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้น
    * พริกเพื่อการป้องกันตัว ในราว พ.ศ. 2528 ได้มีการผลิตสเปรย์ป้องกันตัวโดยใช้พริกเป็นส่วนประกอบสำคัญ สเปรย์ดังกล่าวนี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่การฉีดเข้าตาโดยตรงจะมีผลทำให้ตามองไม่เห็นเป็นเวลาสองสามนาที ซึ่งนานเพียงพอที่จะทำให้เกิดการแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้

        นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบางชิ้นรายงานไว้ว่า มีการนำพริกไปใช้ประโยชน์อื่นๆ อีก เช่น ใช้ไล่แมลง ใช้ป้องกันไม่ให้เพรียงมาเกาะท้องเรือ ใช้เป็นยากระตุ้นกำหนัด เป็นต้น

 

                                               โดย... สัมพันธ์ คัมภิรานนท์

อ่านเรื่องราวของพริกอย่างละเอียดพร้อมภาพประกอบได้จากนิตยสาร UpDATE ฉบับ 191 สิงหาคม 2546
พบกับเรื่องนี้ได้ที่ :
http://update.se-ed.com/191/chile.htm
บันทึกการเข้า


ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
o/uboy
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #26 เมื่อ: ตุลาคม 28, 2006, 10:52:28 PM »

ขอบคุณพี่ซับมากๆๆๆๆๆๆๆๆครับ และท่านอื่นๆด้วย ผมแค่อ่านเรื่องเกี่ยวกับพริกก็สนุกแล้วครับ ส่วนเจ้าฮาบาเนโรนี่ผมยอมรับครับว่าเผ็ดมหาโหดจริงๆ แต่กลิ่นมันแปลกๆครับไม่อร่อยเลย พริกชนิดนี้มีอยู่ครั้งนึงผมแค่เอาพริกมาสองเม็ดแล้วจับหั่น ก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันเผ็ดเพราะ นิ้วนี่ร้อนขึ้นมาเลย กลิ่นก็เผ็ดแรงมาก แต่ทำไมไม่เข้าใจว่าที่บ้านเราไม่เห็นมีคนเอามาปลูกขายเลย สงสัยเป็นเพราะรสชาติที่ไม่อร่อยของมัน
บันทึกการเข้า
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2329
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 84478


« ตอบ #27 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2006, 05:49:03 AM »

ชอบวาซาบิสดมากกว่าผง Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า

เนื้อร้ายตัดทิ้ง
www.ipscthailand.com
Colt Rampant
Full Member
***

คะแนน 21
ออฟไลน์

กระทู้: 435



« ตอบ #28 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2006, 11:36:30 AM »

ใบกระเพราควายครับ กินกับผัดเผ็ดซี่โครงเมียน้อย (แกล้ม...) เผ็ดน้ำหูน้ำตาไหล น้ำลายหก
บันทึกการเข้า

ถ้าใจไม่สู้เสียแล้ว ร้อยปืนพันปืนที่มีอยู่ในมือก็ไร้ประโยชน์
 
mimi
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #29 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2006, 03:48:52 PM »

ผักไผ่หรือผักแพวค่ะ ทางเหนือเอามากินแกล้มลาบ น้ำลายหก
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.115 วินาที กับ 21 คำสั่ง