จาก
http://www.bangkokbiznews.com/level3/news_120433.jspคำต่อคำ นพดล ปัทมะ "เมื่อถูกกฎหมายก็ไม่ผิดจริยธรรม"10 พฤศจิกายน 2549 23:03 น.
O เหตุผลที่ทำให้ย้ายมาอยู่พรรคไทยรักไทย จริงๆผมลง ส.ส.ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2544 หลังจากปี 2544 ผมก็ช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ทางด้าน กทม.
(กรุงเทพมหานคร) เพราะผมเป็นอดีต ส.ส.กทม. ผมก็สนใจงาน กทม. โดยเฉพาะเรื่องปรับโครงสร้าง กทม.
ซึ่งผมสนใจที่สุด หลังจากทำงานไปสักระยะหนึ่ง ผมได้ผลักดันแนวคิดหลายๆ เรื่อง แต่มันไม่ค่อยไปถึงไหน
ผลักดันทั้งในพรรคนอกพรรค เคยพิมพ์หนังสือชื่อ "ทางออกกรุงเทพฯ" ออกมาขายด้วย
ทีนี้ผมก็คิดว่าแนวทางที่พรรคการเมืองควรจะเป็น คือพรรคการเมืองต้องมีนโยบายชัดเจน เอานโยบายไปเสนอ
กับประชาชน และทำให้ได้ตามคำสัญญานั้น ซึ่งผมเห็นว่าพรรคไทยรักไทยเป็นพรรคในแนวทางที่ว่า ผมจึงศรัทธา
ในแนวทางของพรรค คิดว่าผมน่าจะเหมาะกับวิธีการทำงานในลักษณะนั้น ก็เลยตัดสินใจมาร่วมกับพรรค
จริงๆผมออกจากพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ปี 2545 จะสังเกตว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ผมไม่ได้ลงสมัคร ส.ส.
พอมาปี 2549 ต้นปี ท่านรัฐมนตรียงยุทธ (นายยงยุทธ ติยะไพรัช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น) ไปเจอกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณสุรพล (นายสุรพล นิติไกรพจน์)
ท่านก็โทร.หาผม บอกว่าท่านยงยุทธอยากจะคุยด้วย ผมก็ไปคุยที่กระทรวง แกก็ให้ผมไปช่วย เพราะแกเสียดายความรู้ผม
สมัยอยู่ประชาธิปัตย์ก็สนิทกัน แกก็บอกให้ไปช่วยกัน ไปทำงานปฏิรูปกฎหมาย ไปทำประมวลกฎหมายทรัพยากรธรรมชาติ
ผมก็ไป
หลังจากนั้นมันก็มีเลือกตั้งเดือนเมษายนผมก็ไม่ได้ลง ส.ส.ในนามไทยรักไทย กระทั่งการเลือกตั้งมีปัญหา
พอเดือนพฤษภาคม ผมก็สมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย
O ทุกคนงงที่ไปอยู่กับไทยรักไทยที่สำคัญอยู่ไม่นานก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ผมห่างจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วนะผมคิดว่าแนวทางมันไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่
ทีนี้พอมาไทยรักไทยก็ได้รับความไว้วางใจ เราก็อยากทำงาน ท่านทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี)
ก็คงคิดว่าผมทำงานได้ เพราะนายกฯเป็นคนแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ผมก็ได้รับเกียรติให้ทำงาน ผมก็ทำเต็มที่
ซึ่งก็ผลักดันไปหลายเรื่อง ทั้งเรื่องกฎหมายช้าง เรื่องปฏิรูปกฎหมายทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องไม้พม่า แล้วก็เรื่องการ
ปรับปรุงกรมต่างๆ โดยเฉพาะการจัดตั้งกรมความร่วมมือทางสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เพราะว่าผมเคยเป็น
เลขานุการรัฐมนตรีต่างประเทศ
แต่มันแค่89 วัน ซึ่งผมก็ผลักดันไปหลายเรื่อง แต่มันก็ยังไม่ไปไหน ผมไปแก้ไขปัญหาเรื่องการส่งช้างไปออสเตรเลีย
เตรียมการส่งลิงอุรังอุตังกลับคืนอินโดนีเซีย เตรียมจะบินไปพม่า เจรจาช่วยอุตสาหกรรมไม้เฟอร์นิเจอร์ ไปซื้อไม้ยางพารา
ตามแนวชายแดน เตรียมจองเครื่องบินไปหมดแล้ว แต่มันมียึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน เสียก่อน
O ช่วงสุญญากาศระหว่างปี 2544-2548 ที่ไม่ได้ยุ่งกับประชาธิปัตย์ ช่วงนั้นคุณนพดลทำอะไร ผมเป็นคนไม่มีมรดกผมสร้างชีวิตของผมเอง เริ่มจากศูนย์ตลอด จากเด็กเลี้ยงวัว มาเป็นเด็กวัด พ่อแม่ไม่มีมรดกให้ผม
ผมเป็นคนโคราช ผมเกิดปีฉลู แปลว่าวัว โคราชก็เกี่ยวกับวัว แล้วก็จบออกซ์ฟอร์ด ก็เกี่ยวกับวัวอีก (หัวเราะ)
ทีนี้ผมก็เลยต้องมาทำมาหากินโดยการตั้งสำนักงานกฎหมายแล้วก็จัดอบรมภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมาย
ภาษาอังกฤษเฉพาะทาง พวกศัพท์สำนวน การร่างสัญญา การเขียนทางกฎหมาย เพราะว่าประเทศไทยยังขาดอยู่
ไม่มีการอบรม และนักกฎหมายนั้น ภาษาอังกฤษจะแย่ ไม่ค่อยดี ผมก็ใช้ความรู้ของผมหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต
จากนั้นผมก็ทำLaw Dictionary หรือพจนานุกรมศัพท์ทางกฎหมายทั้งอังกฤษ-ไทย , ไทย-อังกฤษ ก็ทำไปแล้ว 80%
แต่บังเอิญได้รับแต่งตั้ง (เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี) ผมก็ชะลอโครงการนั้นไป
O แล้วทำงานให้กับนายกฯทักษิณตอนไหน] O แล้วทำงานให้กับนายกฯทักษิณตอนไหน ช่วงเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีเราก็ทำงานการเมืองแต่บทบาทใหม่ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายของนายกฯทักษิณและครอบครัว
เพิ่งเริ่มเมื่อเดือนกว่าที่ผ่านมา โดยพื้นฐานผมมีสำนักกฎหมายอยู่แล้วไง (สำนักกฎหมายสากล ออกซ์ตัน)
ผมก็ทำวิชาชีพผมอยู่แล้ว เป็นรายได้หลัก ไม่ใช่ไซด์ไลน์ (หัวเราะ)
แต่การได้รับบทบาทเป็นที่ปรึกษากฎหมายของนายกฯทักษิณ ผมก็ต้องให้บริการทางกฎหมายอย่างวิชาชีพ
ไม่ใช่อย่างนักการเมือง ในฐานะที่ท่านเป็นลูกความผม O แยกกันกับงานการเมืองชัดเจนเลย ใช่ครับถ้าเป็นประเด็นกฎหมายเกี่ยวกับพรรค ยุบพรรคหรืออะไร ผมไม่เกี่ยวข้องเลย เป็นเรื่องของฝ่ายนักกฎหมาย
ของพรรค เช่น อาจารย์พงศ์เทพ (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) อาจารย์โภคิน (นายโภคิน พลกุล) แต่ถ้าเป็นเรื่อง
ของนายกฯทักษิณและครอบครัว ประเด็นกฎหมายแท้ๆ ผมจะเป็นที่ปรึกษากฎหมาย
O ทำคนเดียวหรือเปล่าครับ เป็นหนึ่งในทีมขอเน้นว่าทำงานเป็นทีม ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่หน้าที่ของผมอาจจะเพิ่มเติมหน่อย คือการที่ต้อง
ออกมาแถลงข่าวยืนยันข้อเท็จจริง และชี้แจงประเด็นข้อกฎหมายมากหน่อย อาจจะเป็นเพราะว่าคุ้นเคยกับเพื่อนๆ
สื่อมวลชน จึงได้รับบทบาทเพิ่มเติมตรงนี้
O ที่ผ่านมาติดต่อกับท่านนายกฯอย่างไรบ้าง ก็ติดต่อกันเหมือนปกติใช้โทรศัพท์ ใช้สื่อธรรมดา
O เคยบินไปคุยที่โน่นมั้ย ตอนก่อนที่ผมจะได้รับมอบหมายบังเอิญช่วงนั้นผมไปมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด คือผมจะไปดูโรงเรียนภาษาอังกฤษ
ที่จะทำความร่วมมือกับสถาบันผม แล้วที่ออกซ์ฟอร์ดมีโรงเรียนภาษาอังกฤษเยอะ ผมก็เลยได้พบปะท่านด้วย ก็ได้คุยกัน
O ก่อนหน้านี้ท่านนายกฯทักษิณใช้บริการสำนักกฎหมายอื่นไม่ใช่หรือครับแล้วทำไมถึงเปลี่ยนมาเป็นของคุณนพดล อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันต้องถามคนที่ว่าจ้าง แต่อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นลูกพรรคด้วย ท่านก็คงไว้วางใจ สบายใจ
แล้วก็เห็นความสามารถ เวลาใช้ทนายมันมี 2 เรื่อง คือไว้วางใจ กับความสามารถ เหมือนกับหมอ นักบัญชี ถ้าไม่ไว้วางใจ
จะเก่งแค่ไหนก็ลำบาก เดี๋ยวนี้ขนาดจะไปสระผมยังต้องใช้ความไว้วางใจกับความสามารถเลย (หัวเราะ)
O ช่วงที่ไปพบคุณทักษิณคือหลังรัฐประหารแล้ว ครั้งเดียวก็ได้รับมอบหมายเลยหรือครับ ตอนที่ไปนั้นหลังวันที่ 19 กันยายนแล้ว ก็ไม่มีอะไร คุยทั่วๆ ไป คือผมศรัทธาวิธีการทำงานของท่าน
แล้วผมก็เคารพรักท่าน และท่านก็พูดกับผมว่า ท่านชอบการทำงานของผม เห็นว่าผมเป็นคนมีความสามารถ
ตั้งแต่ผมเป็นเลขาฯท่านนายกฯชวน (นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี) ท่านก็เห็นบทบาทผมมาตลอด
และท่านก็ไว้วางใจเท่านั้นเอง
ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากเพราะเวลานักบริหารหรือคนระดับนี้เขาตัดสินใจ เขาประมวลความเห็นอะไรของเขา แล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาดเลย คุณก็รู้ว่าภาวะความเป็นผู้นำของท่านสูง ท่านก็ตัดสินใจได้เลย