เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 18, 2024, 12:35:51 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: น้ำมันดิบพุ่งสูงสุดในรอบ 3 เดือน-ลอยตัวก๊าซหุงต้ม พ.ค.  (อ่าน 1922 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2005, 01:50:00 PM »

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2548 13:28 น.
 
 
       ราคาน้ำมันดิบโลกเมื่อคืนนี้พุ่งสูงสุดอีกครั้งในรอบ 3 เดือน แตะ 51.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล คาดราคามีสิทธิขึ้นต่อเนื่อง หลังดอลลาร์ยังระทวย แถมอากาศหนาวเยือนยุโรป-ลุงแซมอีกรอบ ขณะที่ยังมีความวุ่นวายในหลายส่วนของโลก แถมเฮดจ์ ฟันด์ (Hedge Funds) ผสมโรง ดันราคาน้ำมันพุ่งต่อ แถมประเทศไทยปรับราคาขึ้นทั้งดีเซล-เบนซินไปแล้ว ขณะที่ “หมอมิ้ง” น.พ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีพลังงาน เผยเตรียมปรับลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มในไทยอีก พ.ค.
       
        ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ (NYMEX) ที่นิวยอร์ก งวดส่งมอบ มี.ค. ปรับตัวขึ้นถึง 2.80 ดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 51.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อคืนนี้ (ตามเวลาในไทย) เป็นผลจากดอลลาร์มะกันอ่อนค่าลงเทียบเงินสกุลหลักอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นยูโร หรือเงินเยน รวมทั้งอากาศหนาวเย็นลง ทั้งในยุโรปและอเมริกา
       
        ขณะที่ในประเทศไทย ปตท. (PTT) ปรับราคาน้ำมันเบนซินขายปลีกหน้าปั๊มวันนี้ (23 ก.พ.) อีกลิตรละ 40 สตางค์ หลังปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นพรวดเดียวลิตรละ 60 ส.ค. วันอังคาร ตามคำสั่งของรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน น.พ. พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช ที่ย้ำวันนี้ ว่าจะไม่ลอยตัวน้ำมันดีเซลแน่
       
        แต่เขากล่าวว่าจะปล่อยลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มในไทย พ.ค. นี้ หลังจากราคามีแนวโน้มลดลง
       
        ยังเป็นไปได้ที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบโอเปก (OPEC) อาจลดกำลังผลิตน้ำมันต่อวัน แม้ประธานโอเปกให้คำมั่น ว่าจะยังไม่มีการลดกำลังผลิตเดือนหน้า นอกจากนี้ เหตุการณ์รุนแรงในอิรัก และความวุ่นวายแรงงานในไนจีเรีย เป็นปัจจัยจะส่งผลราคาน้ำมันดิบตลาดโลกขยับตัวสูงขึ้นด้วย
       
        ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันเคยขึ้นสูงสุดถึง 51.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นักวิเคราะห์คาดราคาน้ำมันดิบจะยังคงสูงต่อไป เนื่องจากกลุ่มโอเปก และประเทศผู้นำเศรษฐกิจต่างๆ คาดราคาน้ำมันที่สูงเกิน 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างที่กำลังวิตกกังวลกัน
 
 
ตายๆสถานเดียวประชาชนตาดำๆๆรายรับเท่าเดินและบางรายลดลงแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตารินยังไงเราก็ไปทำอะไรไม่ได้เกี่ยวกะราคาน้ำมันและกาซหุงต้มเรามาเน้นประหยัดกันดีกว่านะคับ หลงรัก
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2005, 01:55:28 PM »

       นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช” รมว.กระทรวงพลังงาน กล่าวใน "สภาท่าพระอาทิตย์" (22 ก.พ.48) ภายหลังการปรับราคา"น้ำมันดีเซล"อีก 60 สตางค์ว่า มีการเตรียมการมานานและได้มีประเมินจากหลายๆฝ่ายว่าจะไม่ผลกระทบต่อ"ธุรกิจ"มากนัก แจง เหตุที่ปรับเพราะต้องการสะท้อนให้เห็นสภาพราคาจริงๆของ"ตลาดโลก" ระบุ จะปรับอีกหรือไม่ต้องดูภาพโดยรวมก่อน ชี้ ควรรณรงค์ให้มีการประหยัดโดยใช้"พลังงานทดแทน" เช่น ไบโอดีเซล การสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก เป็นต้น
       
       รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร และคำนูณ สิทธิสมาน
       

 
 
น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
 
 
       สำราญ – เมื่อวานนี้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและก็อีกหลายฝ่ายไปพบท่านนายกฯ แล้วก็ได้ตัดสินใจปรับราคาดีเซล ลิตรละ 60 สตางค์ ไปดูทิศทางน้ำมันรวมทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง จากท่าน นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตอนนี้ท่านอยู่ในสายแล้วครับ คุณหมอครับ สวัสดีครับ
       
       คำนูณ – สวัสดีครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – สวัสดีครับ คุณสำราญ คุณคำนูณครับ
       
       สำราญ – ตกลงท่านรัฐมนตรี คุณหมอพรหมมินทร์ยังยืนยันว่า นี่ไม่ได้เป็นการเริ่มต้นการลอยตัวของดีเซลนะครับ ยังใช้คำว่าตรึงราคา
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ครับ ก็เป็นการที่เราเรียกว่า ตรึงราคากับปรับเพดานราคาครับ ยังยืนนโยบายว่าตรึงราคา แต่ปรับเพดานราคา เพราะวันนี้กองทุนยังชดเชยอยู่ลิตรละ 3 บาท ในขณะที่เราปรับขึ้นมาแล้ว 60 สตางค์ต่อลิตรครับ
       
       คำนูณ – แล้วจะปรับขึ้นไปอีกไหมครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ทิศทางใหญ่ๆเราคงต้องสะท้อนต้นทุนนะครับ แต่ว่าเราต้องดูผลข้างเคียงโดยภาพรวมอีกทีหนึ่ง เพราะว่าอันนี้จริงๆมันเป็นการที่เราได้เตรียมตัวกันแล้ว เพราะจริงๆเหมือนว่าเรามีนัดกันไว้ ว่าตรงนี้ ในช่วงแถวๆนี้ ปลายฤดูหนาว ซึ่งก็คือใกล้ๆเดือนมีนาคมจะพิจารณากัน ซึ่งก็พอดีอันนี้ก็เหลืออีกสัปดาห์นึงถึงนะครับ ก็พอดีว่าสถานการณ์ต่างๆนี่ ความเหมาะสมต่างๆก็ควรจะอยู่ตรงนี้ครับ
       
       สำราญ – เมื่อวานนี่ตัดสินใจกันปุ๊บปั๊บหรือไม่ครับ คุณหมอครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – จริงๆก็ตัดสินใจกันมานานพักนึงแล้วล่ะครับ เตรียมตัวคุยกันเป็นระยะ เพียงแต่ว่าวันที่ว่าน่ะครับ วันที่เหมาะสมกับปริมาณที่ขึ้น เพราะเมื่อวานนี้ก็หารือกันว่า แนวโน้มเรามีทางเลือกอย่างนี้ๆ ก็ไม่ถึงกับปุ๊บปั๊บหรอกครับ แต่ว่าจริงๆเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่เลย เพียงแต่ว่าดูสถานการณ์ต่างๆแล้วเหมาะหรือยัง แค่นี้เองครับ
       
       สำราญ – คือคนเขาคิดว่า ผู้คนเขารอมีนาคมกัน ทีนี้มาเร็วกว่าสัปดาห์เศษๆ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – เราไม่เคยบอกว่าวันที่เท่าไหร่ มีนาคมนะครับ เป็นช่วงครับ
       
       สำราญ – ทีนี้เอาล่ะตรึงราคา แต่ว่าปรับเพดานราคา คำถามที่ท่านผู้ชมเขาอยากรู้มากก็คือว่า แล้วในปีนี้จะปรับกันกี่ครั้ง อย่างไร มีหลักหรือมีวิธีการอย่างไร
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ผมเรียนอย่างนี้ดีกว่าครับ ว่าหลักใหญ่ที่สำคัญที่สุดของการตรึงราคานี้นะครับ เพราะว่าลดความผันผวนของราคาน้ำมันโลก เพราะเราเป็นฝ่ายซื้อนะครับ เพราะฉะนั้นก็ต้องลดความผันผวน เพราะปีที่ผ่านมาผันผวนแรงมาก ขนาดราคาเฉลี่ยเท่านั้น ต้นปีที่แล้วกับตอนนี้ต่างกันประมาณ 40% ทีนี้ความผันผวนตรงนี้แล้วมันแกว่งนะครับ พอแกว่งลองนึกดูสิครับ คนจะยิ่งความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ภาคธุรกิจนี่มีปัญหา เราก็ตัดสินใจตรึงเลย การตัดสินใจตรึงคล้ายๆว่าเราตรึง 2 ตัว และก็คลายเรื่องเบนซินไปเมื่อเดือนตุลาคม ขณะนี้ก็ยืนตัวของดีเซลอยู่ และก็ส่งสัญญาณชัดว่า เดี๋ยวขอพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่สิ้นฤดูหนาว ก็คือประมาณต้นมีนาคม ทีนี้การปรับตัวนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เศรษฐกิจยังโตได้ตามเป้าหมายนะครับ ปีที่แล้วประมาณ 6.2% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อนะครับ คุณได้ต่ำว่า 3 ตามเป้า ที่สำคัญมากกว่านั้นนะครับ เราใช้เงินกองทุนประมาณ 6 หมื่นล้านนะครับ แต่ว่าสิ่งที่ได้นะครับ ส่วนที่เฉพาะภาษีที่เก็บขึ้นได้มากกว่าแสนล้านนะครับ มากกว่าเป้า แปลว่าเศรษฐกิจที่โต ภาษีนี่เก็บจากส่วนกำไรนะครับ เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจที่โตนี่โตคูณ 10 เท่าเข้าไป เพราะฉะนั้นตรงนี้ถือว่าต้นทุนต่อประเทศนี่สูงมาก ถามว่าถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไร ถ้าเราไปอย่างนี้เรื่อยๆนะครับ มันก็ไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริง เราก็ขยับขึ้นมานิดนึงให้คนได้รับรู้แล้วนะ ว่าราคาจริงมันสูงกว่านี้เยอะนะ
       
       สำราญ – เป็นการชิมลางก่อน
       
       นพ.พรหมมินทร์ – แล้วดูซิว่าเป็นยังไง เพราะจริงๆแล้วนี่นะครับ ผมต้องเรียนอย่างนี้นะครับว่า การประมาณการของสภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และก็กระทรวงการคลัง ได้ถือเอาเรื่องของราคาน้ำมันที่ขึ้นไปแล้วนะครับเป็นตัวตั้ง หมายความว่าเขาถือว่าสมมุติฐานว่าขึ้นราคาน้ำมันไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ขึ้น 60 สตางค์นะครับ ขึ้นเต็มที่เลย เพราะฉะนั้นประการที่ 2 ก็คือว่า เรื่องอัตราเงินเฟ้อก็ได้ประมาณการกันแล้ว ถ้าถามในภาคธุรกิจนะครับ ภาคธุรกิจจะยึดเอาตัวประมาณการตรงนี้เป็นหลักเข้าไป ทั้งหมดนี่นะครับ ถ้าถามตัวเลขจากผลประกอบการไม่ได้ต่างกันมากเลยครับ แต่ว่าเราในเรื่องของสภาพความเป็นจริง เราต้องค่อยๆขยับขึ้นนะครับ แล้วดูผลเป็นยังไง ถ้าดีไม่ดีเราปรับปรุงได้ครับ
       
       สำราญ – หมายที่ว่าสิ่งที่สภาพัฒน์ หรือแบงก์ชาติก็ตามคาดหมายตัวเลขความเติบโตทางเศรษฐกิจแล้วนี่ คิดราคาน้ำมันล่วงหน้าไปแล้วอยู่ที่ลิตรละกี่บาทครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – เต็มที่เลยครับ ประมาณ 16-18 บาทครับ พูดง่ายๆว่าได้มีการประเมินเอาสิ่งต่างๆเหล่านี้เข้ามา แล้วก็ประเมินว่าประเทศไทยจะโตได้ 5.5-6.5
       
       สำราญ – บนพื้นฐานราคาน้ำมัน 18 บาท
       
       นพ.พรหมมินทร์ – เรียบร้อยแล้วครับ
       
       สำราญ – ณ ปัจจุบันเช้านี้อยู่ที่ 15.19 บาท
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ใช่ครับ แต่หมายถึงว่า 18 บาทนี่ค่อยๆขยับนะครับ เขาประเมินของเขาไว้เรียบร้อยแล้ว พูดง่ายๆว่าในการประเมินนี่นะครับ ไม่ได้ทำให้ประมาณการของประเทศต่างไป ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจผมว่าชัด ถ้าไปดูในแผนธุรกิจของทุกคนเขารู้อยู่แล้ว เพราะนโยบายสิ่งที่ชัดเจนของรัฐบาล คือประกาศจะพิจารณา มันส่งสัญญาณกลายๆอยู่แล้วว่าเราจะปรับตอนประมาณมีนาคมนี้ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างกันเลยนะครับ
       
       สำราญ – แต่เช้านี้ก็ยังมีภาคธุรกิจ หรือนักธุรกิจบางท่านก็ยังส่งเสียงเรียกร้อง บอกว่าจะเป็นไปได้หรือเปล่า ถ้ารัฐบาลจะกำหนดปรับเพดานราคาเป็นไตรมาส หรือถ้าไม่ผันผวนจริงๆก็ขอเป็น 3 เดือนปรับที
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ตรงนี้ต้องดูนะครับ เดี๋ยวเราจะดูใกล้ๆกันอีกครั้งนึง อย่างที่เรียนก็คือแนวโน้ม เราก็ต้องปรับให้สะท้อนความเป็นจริง ขณะนี้นี่นะครับเราได้ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมคุยกันเรื่องนี้ด้วย สภาหอการค้าและก็มีแผนที่จะประหยัดพลังงาน เรามีการประชุมกันหลายครั้ง ในการวางแผนที่จะประหยัดพลังงานร่วมกัน ผมเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้ได้ดำเนินการรอไปแล้ว ต้องเข้าใจครับ เราเอารายได้ขึ้นไปก่อน ส่วนเรื่องการประมาณการรายจ่าย หรือค่าผลประกอบการต่างๆ ก็ได้มีการเตรียมการล่วงหน้า เพราะฉะนั้นมันก็เป็นไปตามเป้าหมาย
       เรื่องงบการประมาณภาษี การประมาณการทางภาคของธุรกิจต่างๆ ดำเนินกันมาตามแผนหมด เพราะฉะนั้นรัฐมีแผนเตรียมการทางด้านการประหยัดพลังงานไว้ด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างคล้ายๆว่าได้เตรียมการ ที่สำคัญรายได้ประชาชนขึ้นไปรอแล้ว เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ถือว่าเราค่อยๆขยับ ถ้าถามตรงนี้นี่นะครับ จากที่ตั้งเป้าไว้คือราคาต่างกันประมาณ 3 บาทกว่า วันนี้ขยับไป 60 สตางค์นี่นะครับ ผลกระทรวงเกือบจะวัดไม่ได้เลย แต่อย่างไรก็ตามเราไม่ชะล่าใจ เราก็ค่อยๆขยับดูแล้วถ้าหากว่าดูว่า สภาพเหมาะสมแล้วยังไง เราขอดูกันอีกทีนึงครับ
       
       คำนูณ – ก็คือโดยภาพรวมทั้งหมด ก็จะต้องขึ้นไปให้สะท้อนราคาจริง แต่ว่าจะมียุทธวิธีในการขึ้นกี่ครั้ง ขึ้นยังไง ไม่ให้กระทบกระเทือนอะไรก็ว่ากันในรายละเอียด
       
       นพ.พรหมมินทร์ – คือเราไม่อยากให้มันเป็นเรื่องการขาดทุนไปเกี่ยวมากเกินไป แต่อย่างไรก็ตามนี่นะครับ ผมลองยกตัวอย่างว่าพอเราขึ้นเบนซิน เราก็จัดการในทิศทางแบบนี้ ก็ดูเรียบร้อยดี
       
       สำราญ – ตามตัวเลขที่เรา อย่างไทยนี่จะบริโภคน้ำมันเยอะขึ้นไหม คุณหมอครับ ปีนี้
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ปีนี้นี่เราบริโภคน้ำมันเยอะนะครับ จริงๆแล้วน่าแปลกใจก็คือ การบริโภคน้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้น แล้วสิ่งที่สำคัญนะครับ เพิ่ม 8-9% นะครับ ติดต่อกันทั้งที่ปีโน้นเราก็ตรึงราคาที่เก่า ฉะนั้นนี่การเพิ่มของปริมาณการใช้น้ำมัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของราคา เพราะว่าราคาเป็นราคาเดิมที่เราตรึงไว้ แต่มันกลับกลายเป็นแปรผันตามเศรษฐกิจที่โตขึ้น พูดง่ายๆว่าเศรษฐกิจโตขึ้น การขนส่งต่างๆมีความจำเป็นมากขึ้น เพราะฉะนั้นการวางแผนโลจิสติก หรืออะไรต่างๆให้ใช้ประหยัดพลังงานเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะช่วยประเทศจริงๆ
       
       สำราญ – แต่ดูเหมือนว่าปี 2547 ถ้ามองภาพรวมนี่ เสียงส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยเห็นว่า รัฐบาลประสบความสำเร็จในการประหยัดน้ำมันเท่าไหร่
       
       นพ.พรหมมินทร์ – คือไม่ใช่รัฐบาลประหยัดนะครับ
       
       สำราญ – หมายถึงการรณรงค์ครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ครับ ก็จะบอกว่าจะให้รณรงค์ยังไงล่ะครับ เพราะว่าสิ่งที่สำคัญ ตัวที่ sensitive ที่สุดคือเรื่องราคา เพราะฉะนั้นอันนี้ถือว่าเป็นส่วนของการรณรงค์ไปเลย
       
       สำราญ – ส่งสัญญาณไปเลย
       
       นพ.พรหมมินทร์ – จริงๆเรารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของการส่งสัญญาณอย่างเดียว เราต้องทำ 2 ด้าน คือ สิ่งเหล่านี้มันกระทบกระเทือน แต่ต้องให้ค่อยๆมีการปรับตัว หน้าที่หลักสำคัญคือเพิ่มรายได้ก่อน แล้วก็ดูเรื่องรายจ่ายให้น้อยนะครับ เพิ่มรายได้ให้มาก แต่เพิ่มรายจ่ายให้น้อยกว่า แต่ว่าต้องเพิ่มนะครับ
       
       สำราญ – มีท่านผู้ชมถามว่า 3 เดือนนี่จะสะท้อนราคาที่แท้จริงของดีเซลได้ไหมครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ผมยังไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นนะครับ วันนี้ถือว่ายังยึดหลักตรึงราคา และก็ขยับเรื่องของราคา
       
       สำราญ – คือถ้าเราบอกว่า ลอยตัวมันคนละเรื่องเลยหรือครับ คุณหมอครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ลอยตัวหมายความว่าวันนี้ปล่อยตามธรรมชาตินะครับ ต้องบวกเข้าไปอีก 3.60 บาท เราแค่ตรึงราคาแต่ปรับเพดานราคา อย่างที่เรียนครับว่า 3.60 บาท เราขึ้นแค่ 60 สตางค์ จริงๆ 3.80 บาทเสียด้วย
       
       สำราญ – แล้วเมื่อวานเห็นว่าเสนอแผนไบโอดีเซลให้กับท่านนายกฯด้วย
       
       นพ.พรหมมินทร์ – คือเรื่องของยุทธศาสตร์ใหญ่ๆ เราได้ดำเนินเสนอเป็นระยะอยู่แล้ว สิ่งที่สำคัญนี่นะครับ ในเรื่องภาวะราคาน้ำมันแพง ก็คือจะต้องปรับให้หนีการใช้น้ำมัน ก็ใช้พลังงานทดแทน หลังงานทดแทนที่สำคัญก็ ดิน น้ำ ลม แดด นะครับ ตรงเรื่องน้ำมันเราก็ส่งเสริมการใช้ของเอทานอล ซึ่งจะเห็นว่าราคาของก๊าซโซฮอล์ หรือ เอทานอลที่เราเอามาใช้นี่ เราส่งเสริมให้ราคาถูกกว่าเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 1.50 บาท เรื่องของไบโอดีเซลกำลังมีการเร่งรัดให้มีการผลิตอยู่เพื่อทดแทนตัวนี้นะครับ
       
       ในขณะเดียวกันเราเพิ่มในยุทธศาสตร์อื่นๆ เพื่อใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อวานเราเสนอ 2-3 เรื่องครับ เรื่องของแผนปฏิวัติการใช้ การผลิตไฟฟ้า ยุทธศาสตร์การผลิตไฟฟ้าจากขนาดใหญ่ แบบรวมศูนย์ ให้เป็นแบบกระจายเป็นตัวเล็กๆย่อยๆครับ ทำให้ดีกว่าในแง่ประสิทธิภาพ ดีกว่าในแง่ของการลงทุน ดีกว่าในเรื่องสิ่งแวดล้อม แล้วก็ไม่ต้องทะเลาะกับชุมชนอีก
       
       สำราญ – อันนี้เป็นทิศทางใหญ่เลยใช่ไหมครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ที่เราจะเสนอในรัฐบาลใหม่ ที่ได้เตรียมการผมได้หารือกับท่านนายกฯแล้วครับ
       
       สำราญ – คือจะมาเน้นที่โรงไฟฟ้าขนาดเล็กนะครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – โรงไฟฟ้าที่ขนาดเล็กลง
       
       คำนูณ – เป็นโรงไฟฟ้าชุมชน
       
       นพ.พรหมมินทร์ – โรงไฟฟ้าขนาดเล็กใกล้กับปริมาณความต้องการ และเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ผลิตไฟฟ้า บวกกับผลิตความร้อนหรือความเย็นผสมกันครับ มันมีหลาย concept ผสมกันครับ แล้วก็ต้องสร้างสายส่งเพิ่มขึ้น สายส่งก็จะประหยัดลงด้วย
       
       สำราญ – ประเภทโรงไฟฟ้าชุมชนขนาด 20 เมกกะวัตต์ 30 เมกกะวัตต์ แถวนี้ใช่ไหมครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ใช่ครับ ประมาณ 1-30 เมกกะวัตต์ครับ
       
       คำนูณ – แล้วพลังงานที่จะเอามาใช้ในโรงไฟฟ้าขนาดเล็กล่ะครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – เราดูตอนนี้ก็หลายตัว ทั้งเรื่องของชีวมวลหรืออะไรต่างๆก็ได้นะครับ แต่หลักใหญ่วันนี้ชัด เพียงแต่วางแผนของส่วนของใช้กาซธรรมชาติตามแนวท่อนี่ ใช้ได้ถึง 2000 เมกกะวัตต์อยู่แล้วครับ ที่เราดูในเบื้องต้นนะครับ เพราะฉะนั้นเราจะเอาอันนี้สวมทันทีเลย
       
       สำราญ – อันนี้โยงใยในเรื่องของการมาเซฟการบริโภคน้ำมันด้วยใช่ไหมครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – แน่นอนเลยครับ คือเราใช้ของเราเองไงครับ แล้วก็ใช้พลังงานมีประสิทธิภาพขึ้น แทนที่เคยใช้ สมมุติว่าใช้น้ำมัน 100 ได้ผล 40 มันจะใช้น้ำมัน 100 ออกมาผลประมาณ 70-80 ครับ ฉะนั้นเท่ากับว่าเราใช้เชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพขึ้น อีกแนวหนึ่งเราก็พูดถึง เราเสนอแนวยุทธศาสตร์หลายอย่าง เรื่องของแนวยุทธศาสตร์ต่างประเทศ เรื่องของปิโตรเคมี เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ใหญ่ อันนี้ที่หารือกันเมื่อวานนะครับ แต่ผมว่าจะหาเวลาคุยกันทีหลังได้ครับ
       
       สำราญ – ได้ครับ เอาล่ะครับ ขอคำถามสุดท้ายแล้วกัน รบกวนด้วยความเกรงใจจริงๆ ทราบมาว่าตอนนี้หนังสือพิมพ์ก็ฟันธงไปเรียบร้อยแล้วว่า คุณหมอพรหมมินทร์จะกลับมาเป็นซุปเปอร์เลขาธิการนายกฯ จริงไหมครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ผมว่าวันนี้ท่านนายกฯยังพิจารณากันอยู่นะครับ อย่างที่เคยตอบไว้นะครับ ว่าเกี่ยวกับตำแหน่ง เกี่ยวกับความตั้งใจ ถ้าหากว่าทำอะไรเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองได้ ก็ยินดีครับ
       
       สำราญ – แสดงว่าข่าวนี้ก็ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธนะครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – ไม่ทราบเลยครับ คือคนที่เป็นผู้จะตัดสินใจคือท่านนายกฯ และผมเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีใครรู้ เพราะว่ายังไม่ได้มีการตัดสินใจ
       
       สำราญ – ก็ขอบพระคุณนะครับ คุณหมอ วันนี้
       
       คำนูณ – ครับ สวัสดีครับ
       
       นพ.พรหมมินทร์ – สวัสดีครับ
 
คือถึงมันจะไม่เกี่ยวกะปืนแต่ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆๆท่านในเวปเพราะเชื่อว่าในเวปนี้มีคนค้าขายหลายท่านหวังว่าพอจะมีประโยชน์นะคับคือเกรงใจท่านสมาชิกในเวปว่าเอาเรื่องไม่เกี่ยวกะปืนมาโฟสบ่อยๆๆอาจทำให้รำคาญได้นะคับ
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
Nakin
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 115
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3905


รักทุกคนเลย ......


« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2005, 02:42:32 PM »


คือถึงมันจะไม่เกี่ยวกะปืนแต่ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆๆท่านในเวปเพราะเชื่อว่าในเวปนี้มีคนค้าขายหลายท่านหวังว่าพอจะมีประโยชน์นะคับคือเกรงใจท่านสมาชิกในเวปว่าเอาเรื่องไม่เกี่ยวกะปืนมาโฟสบ่อยๆๆอาจทำให้รำคาญได้นะคับ



No  big   deal   !    Wink    Because   your   thread   is   about   the   economics   and   the   cost   of   energy   which   will   affect   every   one  ,  it   is   useful   and   every   one   should   know   what   is   going   on  .  And    if    we   are   ready   to   cope  with  any  economic    situation  ,  we   may   have   money   left   for   our   guns   &   stuffs .     Grin 

Thanks   for   the   information  !    Smiley    This   is   a    better   thread   posting   than   just   only   posting   some   impolite   or   satiric   expressions .    Wink







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 23, 2005, 03:04:49 PM โดย Nakin » บันทึกการเข้า

Happy   shooting    ......   

พูดจริง     ก็หาว่า    โกหก     ........     พูดตลก    ก็หาว่า     หลอกลวง
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2005, 08:50:22 AM »

       เนื่องจากรัฐบาลประกาศปรับเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขึ้น 60 สตางค์ต่อลิตร เป็น 15.19 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่ 22 กุมภาพันธ์ หลังตรึงราคาไว้ที่ 14.59 บาท ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547
       
       ส่งผลน้ำมันดีเซลราคาสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี ตั้งแต่เมษายน 2546 การที่รัฐบาลมีมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลช่วงปีที่ผ่านมา เป้าหมายช่วยบรรเทาผลกระทบผู้บริโภคและภาคธุรกิจ จากความผันผวนราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งทะยานสูงขึ้น ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
       
       เป็นผลมาจากการขยายตัวความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลก ที่สูงเกินความคาดหมาย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของความต้องการน้ำมันในจีน ทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐ
       
       ประกอบกับการเติบโตเศรษฐกิจภูมิภาคต่างๆของโลกปี 2547 สูง ที่ 5% ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกเติบโตสูงสุดในรอบ 30 ปี ขณะที่ด้านอุปทานน้ำมันของโลก ต้องเผชิญอุปสรรคหลายด้าน เช่น ก่อการร้าย และจู่โจมแหล่งผลิตและท่อส่งน้ำมันในอิรัก ปัญหาภัยธรรมชาติ และการประท้วงหยุดงานในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่หลายประเทศ ตลอดจนการล้มละลายของบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่รัสเซีย รวมทั้งเก็งกำไรตลาดซื้อขายล่วงหน้าของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์
       
       ปัจจัยทั้งหลายนี้ ส่งผลราคาน้ำมันดิบตลาดโลกสูงขึ้นประมาณ 30% ปี 2547 โดยช่วงตุลาคม 2547 น้ำมันดิบตลาดโลกพุ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 21 ปี ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์คสูงขึ้นถึง 55.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สูงขึ้นเหนือ 52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
       
       ผลตรึงราคาน้ำมัน ทำให้สถานะปัจจุบันของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในไทย มีภาระหนี้จากการชดเชยราคาน้ำมันสูงขึ้นที่ประมาณ 68,000 ล้านบาท อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลไว้ 3.80 สตางค์ต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันเบนซิน ทยอยปรับเพดานราคาขึ้นตั้งแต่พฤษภาคม 2547 จนปล่อยลอยตัวตามราคาตลาดสิงคโปร์
       
       ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ทิศทางราคาน้ำมันในประเทศ ผลกระทบการปรับขึ้นราคาน้ำมันในประเทศ ต่อภาคธุรกิจต่างๆ และผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ดังนี้
       
        ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกยังคงเคลื่อนไหวสูง ล่าสุด ราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์ควันจันทร์ที่ 21
       กุมภาพันธ์ สูงขึ้นที่ 48.82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวระหว่าง 44-45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แนวโน้มราคาเฉลี่ยช่วงปีนี้ อาจยังทรงตัวสูง ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา ที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
       
       ราคาน้ำมันสูงขึ้น หลังโอเปคระบุในรายงานล่าสุด เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ถึงการปรับคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันในโลกเพิ่มเป็น 83.78 ล้านบาร์เรลต่อวัน คาดการณ์เดิม 83.2 ล้านบาร์เรล เนื่องจากความต้องการของจีน ที่จะเพิ่มอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 7 ล้านบาร์เรล
       
       ถ้าโอเปคตัดลดกำลังผลิตในการประชุมวันที่ 16 มีนาคมนี้ อาจเป็นปัจจัยทำให้ราคาน้ำมันทรงตัวสูงต่อไป แม้จะพ้นช่วงฤดูหนาว ที่ความต้องการใช้น้ำมันของโลกเพิ่มสูงสุดแล้วก็ตาม
       
       อย่างไรก็ตาม มุมมองอีกด้าน ยังมีความเห็น ว่าการชะลอตัวประเทศเศรษฐกิจชั้นนำในโลก อาจช่วยทำให้ราคาน้ำมันอ่อนตัว ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดไตรมาส 4 ปี 2547 ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังเศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่อง 3 ไตรมาส
       
       ขณะที่ยุโรป เศรษฐกิจเยอรมนีไตรมาสสุดท้ายปี 2547 ก็หดตัว แต่ต้องยอมรับว่า ช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันที่ทะยานสูงขึ้น ส่วนสำคัญ เป็นผลจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งสร้างความกังวล ว่าอาจส่งผลอุปทานในตลาด ประสบภาวะชะงักงัน และสถานการณ์ตึงเครียดการเมืองระหว่างประเทศขณะนี้ ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ราคาน้ำมันดีดตัวสูงขึ้น
 
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2005, 08:50:57 AM »

อาทิ ปัญหานิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือ หรือความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่านและเวเนซูเอลา เหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถล่วงรู้ได้ ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกช่วงที่เหลือของปี จะอ่อนตัวลงได้เพียงใด
       
        ความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันอาจไม่ลดลงอย่างที่เคยคาด สร้างแรงกดดันภาระตรึงราคาน้ำมันของ
       รัฐบาลไทย ซึ่งปัจจุบัน สถานะขาดทุนจากการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศสูงถึง 68,000 ล้านบาท
       
       แม้จะทยอยปรับเพดานราคาขึ้นระยะต่อไป แต่ภาระหนี้ที่กองทุนฯ ยังคงต้องอุดหนุนราคาน้ำมัน จะยังคงเพิ่มขึ้น จนกว่าจะปล่อยลอยตัวตามราคาจริง ซึ่งเวลานั้น กองทุนน้ำมันอาจมีภาระหนี้ไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท ภาระหนี้ดังกล่าว รัฐบาลมีแนวทางใช้คืน โดยใช้เงินเก็บเข้ากองทุนลิตรละ 0.50-0.70 บาท จากปริมาณขายปลีกน้ำมันในประเทศ แนวทางดังกล่าว อาจต้องใช้เวลายาวนาน ประมาณ 8 ปี ใช้คืนหนี้กองทุนน้ำมันทั้งหมด
       
        ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลแบกรับภาระราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น มีส่วนทำให้ความรับรู้ของ
       ผู้บริโภคถึงความจำเป็นประหยัดพลังงาน น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลปริมาณนำเข้าน้ำมันของไทยไม่ลดลงมากเท่าที่ควร
       
       ปี 2547 ไทยนำเข้าน้ำมันดิบมูลค่า 10,731 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อนหน้า นำเข้าเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เร่งตัวกว่านำเข้าสินค้าประเภทอื่นๆ ยิ่งถ้าราคาน้ำมันยังยืนอยู่สูง จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันสถานะดุลบัญชีเดินสะพัด
       
       ปีนี้ คาดดุลการค้าจะเริ่มกลับมาขาดดุลครั้งแรก ตั้งแต่หลังช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ รวมทั้งดุลบริการ อาจเผชิญปัญหารายได้ท่องเที่ยวหดตัว เนื่องจากนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยลดลง หลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิถล่มจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญภาคใต้ของไทย ด้วยเหตุนี้ การปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล จึงอาจเป็นหนทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
       
        ผลกระทบภาคธุรกิจ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ผลกระทบการปรับขึ้นราคาน้ำมันต่อภาค
       ธุรกิจต่างๆ 2 กรณี คือ
       
       กรณีแรก : ผลกระทบปัจจุบัน การที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นลิตรละ 60 สตางค์ เพิ่มขึ้น 4% จากราคาที่เคยตรึงที่ 14.59 บาทต่อลิตร
       
       กรณีที่ 2 : ผลกระทบอนาคต กรณีถ้าอนาคต รัฐบาลปล่อยราคาน้ำมันดีเซลลอยตัวตามราคาที่เป็นจริงในตลาดโลก โดยราคาน้ำมันในตลาดโลกเคลื่อนไหวที่ระดับปัจจุบัน ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศ ที่สอดคล้องกับราคาจริง ต้องขึ้นไปที่ประมาณ 18.19 บาท เพิ่มขึ้นรวม 3.60 บาท หรือประมาณ 25% จากราคาที่เคยตรึงไว้ที่ 14.59 บาท
       
       ผลกระทบสำคัญต่อภาคธุรกิจ จะกระทบผ่านต้นทุนค่าขนส่งเป็นหลัก ส่วนผลกระทบต่อต้นทุนกระบวนการผลิตภาคอุตสาหกรรม ไม่มากนัก เพราะสัดส่วนการใช้น้ำมันดีเซลต่อการใช้พลังงานภาคอุตสาหกรรม ไม่สูง ส่วนใหญ่เป็นพลังงานจากไฟฟ้า น้ำมันเตา ถ่านหิน เป็นต้น
       
       กิจกรรมที่จะได้รับผลกระทบมากจากผลปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล ได้แก่ ภาคขนส่ง โดยเฉพาะขนส่งทางบก และภาคการเกษตรโดยเฉพาะสาขาประมง ซึ่งกิจกรรมเศรษฐกิจเหล่านี้ ที่พึ่งการใช้น้ำมันดีเซลสัดส่วนค่อนข้างสูงมาก
       
       การวิเคราะห์จากตารางปัจจัยผลิตปี 2543 โดยปรับสัดส่วนต้นทุนปัจจัยผลิตประเภทผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตามทิศทางราคาน้ำมันที่สูงขึ้นระหว่างปี 2543-2547 ช่วงดังกล่าว ราคาสินค้าผู้ผลิตประเภทผลิตภัณฑ์น้ำมัน สูงขึ้น 38% ขณะที่ราคาสินค้าผู้ผลิตโดยรวม สูงขึ้น 16%
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2005, 08:51:26 AM »

  คาดประมาณสัดส่วนพึ่งพาการใช้น้ำมันดีเซลภาคเศรษฐกิจ โดยแบ่งกลุ่มกว้างๆ เป็นภาคการเกษตร อุตสาหกรรม ขนส่ง ผลิตกระแสไฟฟ้า และบริการ เพื่อประเมินผลกระทบราคาน้ำมันดีเซล ทั้งทางตรงและทางอ้อม ผ่านต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น
       
        ผลวิเคราะห์ พบว่า
        กรณีแรก การที่ราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 4.1% เป็น 15.19 บาทต่อลิตร จะส่งผลธุรกิจต่างๆ
       ต้นทุนผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 0.3%
       
       กรณีที่ 2 หากอนาคต รัฐบาลปล่อยราคาน้ำมันดีเซลลอยตัวตามราคาตลาดโลก ราคาน้ำมันดีเซลอาจเพิ่มขึ้น 25% จาก 14.59 บาทต่อลิตร ภาคธุรกิจโดยภาพรวม จะมีต้นทุนผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 2
       
       ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือบริการการเกษตร ขนส่งสินค้าทางบก ประมงทะเล และประมงชายฝั่ง ขนส่งผู้โดยสารทางบก และขนส่งชายฝั่ง และขนส่งทางน้ำในประเทศ
       
       ภาคธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากกว่าระดับเฉลี่ย เช่น ธุรกิจเหมืองแร่และถ่านหิน เหมืองหิน ภาคเกษตร ก่อสร้าง ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ ปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์จากดินที่ใช้ก่อสร้าง เป็นต้น
       
       ส่วนธุรกิจด้านอื่นๆ จะได้รับผลกระทบไม่รุนแรงนัก เนื่องจากผลกระทบส่วนใหญ่ เป็นผลกระทบทางอ้อม จากต้นทุนค่าขนส่ง ขณะที่ผลโดยตรงต่อต้นทุนปัจจัยผลิต จะมีไม่มาก คาดภาคธุรกิจต่างๆโดยเฉลี่ย ต้นทุนน้ำมันดีเซล ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประมาณ 8% ของต้นทุนผลิตทั้งหมด
       
       ธุรกิจที่สัดส่วนต้นทุนน้ำมันสูงกว่าระดับเฉลี่ย สัดส่วนเพียงไม่ถึง 20% ของอุตสาหกรรมโดยรวม ประเมินจากมูลค่าผลผลิตอุตสาหกรรมแต่ละประเภท อีกนัยหนึ่ง ธุรกิจมากกว่า 80% จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันไม่เกิน 0.3% หลังราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 60 สตางค์ ผลกระทบน่าจะอยู่ในขอบเขตจำกัด
       
        ผลต่อเงินเฟ้อ ผลของราคาน้ำมันต่ออัตราเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจมหภาค กล่าวได้ว่า การปรับ
       ราคาน้ำมันดีเซล เป็นทิศทางที่รัฐบาลส่งสัญญาณล่วงหน้าตั้งแต่ปีก่อนหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้อยู่ในคาดการณ์เติบโตเศรษฐกิจปีนี้แล้ว
       
       ผลกระทบแนวโน้มราคาน้ำมันต่อทิศทางเงินเฟ้อ อยู่ภายใต้สมมติฐานที่ราคาน้ำมันดีเซลจะขยับเพดานราคาขายปลีกขึ้นค่อยเป็นค่อยไป จนถึงระดับสอดคล้องกับทิศทางราคาตลาดต่างประเทศ ลักษณะคล้ายปรับเพดานราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจปรับขึ้น 1-2 ครั้งต่อเดือน ภายใน 3-5 เดือน
       
       ผลการปรับราคาน้ำมันดีเซล จะเริ่มเห็นชัดขึ้นช่วงไตรมาส 2 ราคาจะค่อยๆ ขึ้นถึงระดับใกล้เคียงราคาจริงมากขึ้นช่วงกลางปี ที่ประมาณ 18.19 บาท ปรับขึ้น 25%
       
       ส่วนราคาน้ำมันเบนซิน อาจปรับตัวขึ้นอีกประมาณ 7% ส่งผลราคาน้ำมันในประเทศโดยเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ขึ้นสูงสุดประมาณ 19% เทียบกับระดับราคาก่อนปรับขึ้น แต่การที่ผลการปรับราคา กระจายออกไปเป็นช่วงๆ ทำให้คาดว่า ผลโดยรวมตลอดทั้งปี จะไม่กระทบกรอบประมาณการเงินเฟ้อ และการขยายตัวเศรษฐกิจ
       
       การปรับขึ้นราคาน้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล จะส่งผ่านสู่เงินเฟ้อ ผ่านดัชนีราคาพลังงาน ซึ่งคาดว่าโดยเฉลี่ยทั้งปี อาจสูงขึ้น 12.5% จากปี 2547 เพิ่มขึ้น 9%
       
       ส่วนราคาอาหาร ยังคงแนวโน้มสูงขึ้น ตามราคาอาหารสด ที่ผลผลิตพืชผลประสบภัยแล้ง ส่วนราคาสินค้าอื่นๆ แนวโน้มราคาจะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ ทำให้ช่วงประมาณกลางปีนี้ เงินเฟ้ออาจสูงขึ้นเกิน 3%
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2005, 08:52:03 AM »

แต่ราคาสินค้าที่สูงขึ้น จะทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ขณะเดียวกัน อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นการบริโภคและการลงทุน ส่งผลเศรษฐกิจเติบโตชะลอ ภายใต้ภาวะที่อุปสงค์อ่อนตัวลง อาจส่งผลสะท้อนกลับเป็นแรงกดดันให้ภาคธุรกิจ ไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้มากนัก
       
       นอกจากนี้ แนวโน้มชะลอตัวเศรษฐกิจภูมิภาคต่างๆ ของโลก จะทำให้ราคาน้ำมันที่สูงขณะนี้ ผ่อนคลายระดับหนึ่ง ส่งผลแนวโน้มเงินเฟ้อตลอดทั้งปีนี้ ยังอยู่ในกรอบประมาณการศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่เฉลี่ย 3% คาดจะเป็นผลจากราคาสินค้าพลังงาน ประมาณ 1.1% ขณะที่คาดการณ์เติบโตเศรษฐกิจ 5.2%
       
       ผลกระทบราคาน้ำมันต่ออัตราเงินเฟ้อ และการขยายตัวเศรษฐกิจ
       
       ราคาน้ำมันในประเทศและผลกระทบ 2547 สิ้นสุดก.พ. 2548e(เทียบกับ 1 ม.ค. 2548) 2548e
       อัตราเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันเบนซิน 14.8% 8.3% 7.0%
       อัตราเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันดีเซล 4.0% 4.1% 15.0%
       อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 2.7% n.a 3.0%
       GDP 6.2% n.a. 5.2%
       ที่มา : ประมาณการโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
       
       สรุป การประกาศขยับเพดานราคาน้ำมันดีเซลของรัฐบาลครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี เป็นผลตามมาจากแรงกดดันราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่ยังคงสูงต่อเนื่อง การคงมาตรการตรึงราคา จะเพิ่มภาระให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจุบัน สถานะขาดทุนจากการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ สูงถึง 68,000 ล้านบาท
       
       กว่าจะปล่อยลอยตัวตามราคาจริง กองทุนน้ำมันอาจมีภาระหนี้ไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท การตรึงราคาน้ำมัน ยังทำให้ประชาชนตระหนักการสร้างวินัยที่ดี ประหยัดพลังงานน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลมาตรการลดใช้พลังงาน ไม่ได้ผลเต็มที่ ขณะเดียวกัน การนำเข้าน้ำมันที่สูงขึ้นต่อเนื่อง จะเพิ่มแรงกดดันภาวะขาดดุลการค้า และสถานะดุลบัญชีเดินสะพัด
       
       ผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ตามที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ต้นทุนน้ำมันภาคธุรกิจต่างๆ พบว่า ผลโดยตรงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ต่อราคาสินค้า จะอยู่ในขอบเขตจำกัด การปรับเพดานราคาน้ำมันดีเซลขึ้นอีก 60 สตางค์ จะส่งผลให้ธุรกิจต้นทุนผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 0.3%
       
       ผลกระทบดังกล่าว ยังอยู่ภายใต้ขอบเขตคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการเงินเฟ้อที่ 3% และอัตราขยายตัวเศรษฐกิจ 5.2%
       
       ราคาสินค้าในประเทศ ยังคงขึ้นกับตัวแปรอื่นๆ นอกจากราคาน้ำมัน แรงกดดันด้านอื่น ที่คาดว่าจะมีผลต่อเงินเฟ้อได้แก่ ระดับราคาสินค้าเกษตร ภาวะภัยแล้ง อาจสร้างความเสียหายพืชผลการเกษตร ส่งผลราคาดีดตัวสูงขึ้น
       
       แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ยังมีทิศทางสูงขึ้น ไม่ว่าเหล็ก ทองแดง และโลหะอื่นๆ ตามอุปสงค์ที่ยังเพิ่มขึ้นในจีน ส่วนราคาน้ำมันที่ยังอยู่สูง จะมีผลต่อราคาสินค้าปิโตรเคมีและพลาสติก ซึ่งราคาวัตถุดิบและสินค้าปัจจัยผลิตขั้นกลางที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่งผลกระทบต้นทุนวัตถุดิบทางตรง ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นต้นทุนผู้ผลิต รวมทั้งราคาวัสดุก่อสร้าง ท้ายที่สุด ราคาสินค้าผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้น จะส่งผ่านสู่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
       
       นอกจากนี้ แม้ผลกระทบต้นทุนผลิตสินค้า อาจไม่ถึงขั้นรุนแรงนัก แต่สิ่งที่ไม่อาจคาดได้ คือการปรับตัวของผู้บริโภคต่อการรับรู้สถานการณ์ราคาที่เพิ่มขึ้น ที่ผ่านมา ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น มักมีผลกระทบถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค และภาวะการลงทุน
       
       เห็นได้จากการตอบสนองของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ที่ร่วงทันทีที่รับรู้ข่าวปรับราคาน้ำมันดีเซล แม้ภาคธุรกิจและประชาชนโดยทั่วไป จะรับรู้มาก่อนล่วงหน้า ว่ารัฐบาลมีนโยบายจะทะยอยปรับราคาน้ำมันดีเซล ให้สอดคล้องสภาพความเป็นจริงมากขึ้น ช่วงปีนี้ ก็ตาม
       
       การปรับตัวลดการใช้จ่ายผู้บริโภคที่อาจรุนแรงกว่าที่คาด จากผลความเชื่อมั่นที่ถดถอยนี้ เป็นปัจจัยเสี่ยงประการหนึ่ง ต่อชะลอตัวการบริโภคและการลงทุน ที่อาจตามมาระยะต่อไป
       
       นอกจากนี้ ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ยังคงเป็นประเด็นต้องจับตามอง เพราะความกังวลตลาดต่อความต่อเนื่องภาวะอุปทานน้ำมัน อาจมีผลต่อทิศทางความผันผวนราคาน้ำมันอนาคต
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.158 วินาที กับ 22 คำสั่ง