เอามาให้อ่านกันครับ แล้วจะรู้ว่ากว่า USA จะยิ่งใหญ่มาขนาดนี้ นองเลือดชาวพื้นเมืองอินเดียนแดงมามากขนาดไหนครับ
ธารเลือดที่ วูนเด็ดนี
หลังจากสงครามกลางเมืองสหรัฐฯยุติลง ชาวผิวขาวได้เริ่มขยายถิ่นฐานเข้าไปยังเขตแดนภาคตะวันตกมากยิ่งขึ้น ผู้อพยพจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าไปได้ก่อให้เกิดการปะทะกับชนพื้นเมืองอเมริกันอินเดียนซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ก่อนหน้านั้น
ใน ปี ค.ศ. 1872 ได้มีการสำรวจพบสายแร่ทองคำที่เนินเขา Black Hill ซึ่งอยู่ในรัฐเซาท์ดาโกต้า อันเป็นศูนย์กลางแผ่นดินของชนเผ่าซู ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองอเมริกันอินเดียนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดและมีกำลังพลมากที่สุดของภาคตะวันตก
หลังจากพบสายแร่ทองคำ รัฐบาลได้ส่งตัวแทนไปติดต่อขอซื้อเนินเขา Black Hill ทว่าชาวซูถือว่าที่นั่นเป็นสถานที่สิงสถิตย์ของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ บรรพบุรุษของพวกเขา จึงปฏิเสธที่จะขายและนั่นเองที่ธาตุแท้อันอำมหิตของชาวผิวขาวก็เปิดเผยออกมา
เมื่อชาวอินเดียนเผ่าซูปฏิเสธที่จะขายเนินเขา Black Hill รัฐบาลสหรัฐฯจึงส่งกำลังทหารนับพันนายบุกเข้าไปในเขตแดนของพวกซูและสังหารหมู่ชาวอินเดียนทั้งเด็กและผู้หญิงจำนวนมากเพื่อข่มขวัญ ทว่าชาวเผ่าซูกลับลุกขึ้นต่อสู้กับความโหดร้ายของชาวผิวขาว
สงครามระหว่างกองทหารสหรัฐฯกับนักรบชนเผ่าซูดำเนินต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาหลายปี ซึ่งนอกจากรัฐบาลสหรัฐฯจะทำสงครามกวาดล้างชนเผ่าซูแล้ว ยังส่งกองทหารเข้าโจมตีชนเผ่าอินเดียนเผ่าอื่นๆ อีกด้วยเพื่อยึดครองดินแดนของกลุ่มชนเหล่านั้น
แม้ว่าชาวอินเดียนเผ่าต่างๆจะพยายามต่อสู้ ทว่ากำลังรบที่อาวุธที่น้อยกว่า ทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ต่อผู้รุกรานผิวขาวผู้ละโมบ ในที่สุดชนเผ่าต่างๆก็ถูกกวาดล้างไปทีละเผ่า ทีละเผ่า ผู้ที่รอดชีวิตถูกส่งไปอยู่ค่ายกักกันในพื้นที่ที่ถูกเรียกว่า "เขตสงวน"
ใน ปี.ค.ศ. 1882 เจ้าวัวนั่ง หนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของชนเผ่าซู ซึ่งนำบริวารอพยพลี้ภัยไปอยู่ในแคนาดาหลังสงครามอินเดียนสิ้นสุดลง ได้ถูกรัฐบาลแคนาดาบีบให้กลับมามอบตัวกับกองทหารสหรัฐฯ จากนั้นเขาถูกนำตัวมาไว้ยังเขตสงวนเหมือนดังเช่นอินเดียนอื่นๆ
ชีวิตในเขตสงวนนั้นยากแค้น เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่แห้งแล้งกันดาร ขาดแคลนทั้งสัตว์สำหรับใช้ล่าเป็นอาหารและพื้นดินก็ขาดความอุดมสมบูรณ์ เพาะปลูกไม่ได้ผล นอกจากนี้ชาวอินเดียนยังถูกข่มเหงจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ชาวอินเดียนมีชีวิตที่ยากลำบาก พวกเขาต่างโหยหาคืนวันเดิมๆ ที่เคยอยู่อย่างอิสระในท้องทุ่งและป่าเขา
ด้วยความสิ้นหวังและขาดแคลนที่พึ่งทางใจ ชาวอินเดียนจำนวนมากได้จับกลุ่มกัน "เต้นปีศาจ (Ghost Dance)" ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ปลุกปลอบขวัญของพวกเขาให้มีความหวังที่จะมีชีวิต โดยชาวอินเดียนเชื่อว่า สักวันหนึ่ง ดินแดนที่สูญเสียไปจะได้กลับคืนมาสู่พวกเขาอีกครั้ง
การเต้นปีศาจ (Ghost Dance)
ทว่ารัฐบาลอเมริกันกลับมองว่า การเต้นปีศาจ คือการซ่องสุมผู้คนเพื่อก่อความวุ่นวาย จึงออกคำสั่งห้ามการประกอบพิธีกรรมนี้ และใน ปี ค.ศ. 1890 ทหารส่วนหนึ่งได้เดินทางไปยังค่ายพักของเจ้าวัวนั่งและจับกุมเขาในข้อหาประกอบพิธีกรรม เต้นปีศาจ และเมื่อเขาปฏิเสธการจับกุม ทหารคนหนึ่งก็ใช้ปืนยิงเขาที่ศีรษะจนถึงแก่ความตาย
การตายของเจ้าวัวนั่ง สร้างความระส่ำระสายแก่ชนเผ่าซูเป็นจำนวนมาก นักรบจำนวน 100 กว่าคน พร้อมเด็กและผู้หญิง 200 กว่าคนได้หนีออกจากค่ายพักโดยการนำของหัวหน้าที่ชื่อ "เท้าใหญ่"
ภาพของเท้าใหญ่ (Big Foot)
เมื่อรู้ว่ามีพวกอินเดียนหนีไป กองทหารผิวขาว 500 นายก็ออกติดตามจับกุมและไล่ทันพวกเขาที่ลำธารแห่งหนึ่ง ชื่อ "วูนเดดนี" (Wounded Knee)
พวกทหารได้ตั้งปืนกลสองกระบอกไว้หน้าค่ายพักอินเดียนและเข้าปลดอาวุธพวกนักรบ ซึ่งทุกคนก็ยอมนำอาวุธของตนมาวางรวมกันไว้อย่างไม่ขัดขืน
ทว่ามีนักรบคนหนึ่งชื่อ "นกเหลือง (Yellow Bird)" เขาหูตึง จึงไม่ได้ยินคำสั่งของทหารและเมื่อทหารเข้ามากระชากปืนของเขา จึงเกิดการยุดยื้อกันและทำให้ปืนลั่นขึ้นนัดหนึ่ง
เสียงปืนนัดนั้น ทำให้พวกทหารที่ล้อมอยู่นอกค่าย เข้าใจว่า ชาวอินเดียนจะต่อสู้ พวกเขาจึงกระหน่ำยิงปืนกลเข้าไปทันที ลูกปืนสังหารนักรบรวมทั้งเด็กและผู้หญิงเกือบทั้งหมด รวมทั้งหัวหน้าเท้าใหญ่ด้วย ซากศพกองเกลื่อนกลาด เลือดไหลเป็นสายธาร
หลังการสังหารหมู่จบลง ศพทั้งหมดถูกฝังรวมกันและหลุมศพถูกกลบทับด้วยหิมะ จากจำนวนชนพื้นเมืองทั้งหมดในค่าย มีคนเกือบสายร้อยคนที่ต้องตายไปในครั้งนี้
การสังหารหมู่ที่วูนเด็ดนี ได้ปิดฉากตำนานของชนพื้นเมืองอินเดียนและปิดฉากการต่อสู้เพื่อแผ่นดินมาตุภูมิรวมทั้งความหวังที่จะมีชีวิตอย่างอิสระของพวกเขาไปตลอดกาล
ภาพวาดสภาพศพของนกเหลือง
สภาพทั่วไปของค่ายวูนเดดนีหลังการสังหารหมู่ชาวอินเดียนแดง
การฝังศพหมู่ชาวอินเดียนแดงหลังการสังหารหมู่