ขออนุญาตยืมกระทู้เรียนถามเพิ่มเติมนะครับ ไม่แน่ใจว่าถ้าเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นจะเป็นการป้องกัน (ทรัพย์สิน) โดยสมควรแก่เหตุหรือป่าวครับ
เช้าวันหนึ่งจำเลยได้เดินจ่ายตลาดอยู่ทางด้านท้ายตลาด แล้วผู้ตายได้วิ่งราวโดยกระชากสร้อยคอทองคำของจำเลยที่สวมอยู่ สร้อยคอขาดติดมือผู้ตายไป แล้วผู้ตายได้วิ่งหนี จำเลยวิ่งตามแล้วร้องบอกให้หยุดเอาสร้อยคืนมาไม่งั้นจะยิง แต่ผู้ตายไม่ยอมหยุดและวิ่งหนีต่อไปพร้อมกับเอาสร้อยคอทองคำของจำเลยติดมือไปด้วย จำเลยเห็นดังนั้นจึงใช้ปืนขนาด 9 มม (กระสุนหัวรู) ยิงไปทางผู้ตายหมายจะให้โดนขาล้มลง โดยมิได้มีเจตนาให้ถึงแก่ความตาย แต่กระสุนพราดเป้าไปเข้ากลางหลังผู้ตาย กระสุนฝังในปอดผู้ตาย เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายในที่สุด
ไม่ทราบว่ากรณีนี้ถ้าให้ท่านผู้เชี่ยวชาญ และหมอความทั้งหลาย วิเคราะห์ ดูแล้วน่าจะเป็นการป้องกันทรัพย์สินโดยชอบธรรม และสมควรแก่เหตุหรือป่าวครับ (อันนี้พูดถึงป้องกันทรัพย์สิน ไม่เกี่ยวกับป้องกันชีวิตนะครับ)
ปล. ภาษากฎหมายไม่ค่อยคล่อง เนื่องจากไม่ได้จบกฎหมาย กรุณาชี้แนะด้วยครับ
ครับ กรณีนี้คนร้ายหันหลังวิ่งหนีจากการทำผิดวิ่งราวสร้อยคอทองคำ เราเองเป็นผู้เสียหายด้วย
และเป็นผู้ประสบเหตุในความผิดซึ่งหน้าที่เกิดขึ้นด้วย และเราเจ้าทรัพย์กำลังวิ่งไล่ตาม ..
ตามความเห็นส่วนตัวของผม ในฐานะนักกฎหมายคนหนึ่งนะครับ ...
ผมเห็นว่าเรามีสิทธิป้องกันทรัพย์สินของเราได้เพื่อไม่ให้คนร้ายเอาไป .
แต่เราจะกระทำอย่างไรให้ดูเป็นการใช้วิธีหยุดยั้งคนร้ายที่พอสมควรแก่เหตุที่สุด ..
สมมุติว่าสร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง กับการใช้ปืนยิงเข้าไปเพื่อหยุดยั้ง .เเล้วเกิดพลาดไปถูกเขาตาย
ก็อาจจะดูไม่สมสัดส่วนไปได้ ..เเละศาลอาจจะมองว่าเกินกว่าเหตุไป เจตนาไม่ควรถึงกับฆ่าคนร้าย
ถ้าแค่เจตนาทำร้าย เช่นยิงที่ขา .. ความเห็นส่วนตัวยังมองว่าน่าจะพอแก่เหตุได้ ..
เพราะเป็นการสกัดกั้นคนร้ายซึ่งไม่มีวิธีอื่นๆอีกแล้วที่จะหยุดได้ ..แต่คนร้ายต้องไม่ตาย ..
สมมุติอีกว่า .. คนร้ายวิ่งราวกระเป๋าสะพายมีเงินข้างใน 1 แสน - 1 ล้านบาท /
หรือสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาทแถมมีพระสมเด็จแท้ องค์ละหลายล้านบาทไปด้วย
ก็น่าเห็นใจ ถ้าไม่มีวิธีสกัดคนร้ายด้วยวิธีอื่นๆอีกแล้ว
ส่วนตัวก็ยังมองว่า ยิงที่ขาเพียงนัดเดียว น่าจะพอแก่เหตุได้ .. เพราะดูสมสัดส่วนกัน ..
แต่อย่างไรก็ตาม เคสนี้ตามข้อเท็จจริงตรงๆที่ถาม ยังไม่ขึ้นสู่ศาลฎีกาให้พิจารณาจึงยังไม่มีบรรทัดฐานแบบนี้ ที่ผมแสดงไปเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมในฐานะนักกฎหมายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจนำมาเป็นบรรทัดฐานได้ จึงต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจดีๆ ...ซึ่งตามที่ได้สืบค้น ..คำพิพากษาฎีกาปัจจุบันนี้ ..จะออกมาในแนวนี้ครับ ..คือ
คำพิพากษาฎีกาปัจจุบันที่เดินตามกันมาตลอด .. จะออกไปในทางว่า ..
ถ้าคนร้ายที่เอาทรัพย์ไป.. วิ่งหนี .. เจ้าทรัพย์วิ่งไล่ตาม หากคนร้ายไม่มีอาวุธใดๆ
หรือไม่แสดงกริยาจะทำร้ายเจ้าทรัพย์ .. หากเจ้าทรัพย์ใช้อาวุธ มีด/ปืน เข้าทำร้าย
จะเกินกว่าเหตุตาม ป.อาญา มาตรา ๖๙ หมด ..
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๐๘ / ๒๔๙๔ คนร้ายขึ้นเรื่อนลักทรัพย์ได้แล้ววิ่งหนีไป
เจ้าทรัพย์วิ่งไล่ไปทันแล้วใช้มีดแทงคนร้าย ๑ ที คนร้ายตาย ศาลฎีกาตัดสินว่า
เจ้าทรัพย์แทงคนร้ายในเวลากระชั้นชิดที่วิ่งไล่กันมา ถือว่าไม่มีเจตนาฆ่า
เพราะเเทงเพียงทีเดียว . คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ..
เป็นการป้องกันทรัพย์เกินสมควรแก่เหตุ .
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๔๓ / ๒๔๙๕ ยิงผู้ร้ายขณะกำลังวิ่งหนีและพาเอาห่อของไปด้วย
โดยผู้ร้ายมิได้กระทำอะไรแก่ตน . เป็นการป้องกันแต่เกินสมควรแก่เหตุ.
คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๘๒ / ๒๕๒๐ ผู้เสียหายกับพวกเข้าไปลักแตงในไร่ของจำเลย
ในเวลากลางคืน จำเลยใช้อาวุธปืน .๒๒ ยิงผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายกับพวกวิ่งหนี
ถูกที่หลังกระสุนฝังใน การที่จำเลยยิงผู้เสียหายโดยเหตุผู้เสียหายลักแตง ๒ - ๓ ใบ
ราคาเล็กน้อย กระสุนถูกที่หน้าอกอวัยวะสำคัญ ย่อมเล็งเห็นได้ว่ามีเจตนาฆ่าจึงเป็นการกระทำ
ที่เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
เพื่อป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๘๓ / ๒๕๑๔ การที่จำเลยวิ่งไล่ตามผู้เสียหายออกไปนอกบ้าน
โดยจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ที่ใต้ถุนเรือนของจำเลย
เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิในทรัพย์ของตน แต่เมื่อจำเลยวิ่งไล่ไปทันผู้เสียหาย
แล้วใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายถูกที่หลัง ๔ แผล ที่ข้อศอก ๑ แผล โดยไม่ปรากฎว่า
ผู้เสียหายมีอาวุธหรือแสดงอาการขัดขืนต่อสู้ เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเกินกว่า
กรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป. อาญา มาตรา ๖๙ ..
..แต่ถ้า คนร้ายมีอาวุธติดตัวมาด้วย .. หรือแสดงกริยาหันมาจะทำร้ายเจ้าทรัพย์ ..
ก็มีคำพิพากษาฎีกาว่าเป็นป้องกันพอแก่เหตุได้เช่น
คำพิพากษาฎีกาที่ 943/2508 คนร้ายจูงกระบือไปจากใต้ถุนเรื่อนจำเลย..
เมื่อเวลา 24 น. จำเลยร้องถาม คนร้ายหันปืนมาทางจำเลย จำเลยจึงยิง
ปืนไป ๒ นัด คนร้ายตาย จำเลยเคยถูกลักกระบือมาแล้ว ๑ ครั้งและหมู่บ้านนั้น
มีการลักกระบือกันเสมอ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด ..
***ดังนั้น .. ถ้าจะเอาหลักที่ชัวร์ ไว้ก่อนในตอนนี้ก็ต้องไม่ยิงคนร้ายมือเปล่าขณะเขาวิ่งหลบหนี
โดยอาจจะหาวิธี/หนทาง . สกัดกั้นหรือหยุดยั้งเป็นวิธีอื่น ..
เว้นแต่ . คนร้ายหันมามีอาวุธ.. จะเล่นงานเรา .......เท่านั้น ***
ฉะนั้น .. ต้องวิเคราะห์ดูให้ดีก่อนตัดสินใจ ...หากเจอเหตุการณ์คนร้ายวิ่งพาทรัพย์เราไปหลบหนี
แล้วเรากำลังวิ่งตาม .........