เอามาฝากผ่านตากันครับ.........
ปืน!"กลางไฟใต้" เครื่องมือสร้างสันติภาพหรือสงครามกลางเมือง (รายงานพิเศษ) เสียงเพรียกหาปืนในสถานการณ์ใต้
"พวกเราต้องการปืน!!!"
สวัสดิ์ ยืนยง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย หนึ่งในแกนนำม็อบชาวไทยพุทธหน้าที่ว่าการอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา กว่า 1 พันคนที่เดินทางมายื่นหนังสือให้ พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ ประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและแก้ไขกรณีปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 26 มีนา คมที่ผ่านมาพูดเสียงดังฟังชัด
เขาบอกว่า ได้ยื่นข้อเรียกร้องไปจำนวน 6 ข้อ แต่ข้อเรียกร้องที่น่าสนใจคือข้อที่ 5 ที่ระบุว่าให้ทางราชการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ในการป้องกันตนเองของชาวบ้าน และข้อที่ 6 ที่มีเนื้อหาว่า ให้ความอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการขออนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน และผ่อนปรนในการพกพา
"สวัสดิ์" อธิบายว่าข้อที่ 5 เขาให้ทางราชการจัดซื้อจัดหาอาวุธมอบให้กับชาวบ้าน ส่วนข้อที่ 6 ให้อำนวยความสะดวกประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการอนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนโดยถูกกฏหมาย ช่วยอำนวยความสะดวกในการฝึกซ้อมการใช้อาวุธปืนและผ่อนปรนทางข้อกฏหมาย อนุญาตให้ประ ชาชนสามารถพกพาอาวุธปืนได้
ผู้ใหญ่บ้านแกนนำม็อบ ให้ภาพว่า เหตุที่ต้องรวบรวมชาวบ้านมาเรียกร้องแก่ทางการเพราะประมวลจากความต้องการของชาวบ้านไทยพุทธในพื้นที่ ซึ่งระบุตรงกันว่ามาตรการปราบปรามและเฝ้าระวังเหตุของเจ้าหน้าที่ยังหละหลวมอยู่ ในขณะที่การบังคับใช้กฎหมายยังกระทำอย่างไม่เอาจริงเอาจัง "ข้อพิสูจน์" คือ เหตุร้ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ไม่ห่างกัน คนไทยพุทธเสียชี วิตมากกว่ามุสลิมหากเทียบตามสัดส่วนของประชากร
ข้อเรียกร้องหาปืนของชาวไทยพุทธในอำเภอสะบ้าย้อย จึงเป็นสัญญาณล่าสุดที่ทำให้ผู้เกี่ยว ข้องหลายฝ่ายหันมาให้ความสนใจต่อ "เสียงเพรียกหาปืน" ของคนในพื้นที่กันอย่างจริงจังอีกครั้ง!!!
กรณีของชาวบ้านไทยพุทธใน อ.สะบ้าย้อย นับเป็นกรณีศึกษาต่อเสียงเพรียกหาอาวุธปืนของประชาชนที่น่าสนใจ เพราะชาวบ้านทั้งหมดรู้สึกว่าตนเองถูกคุกคาม แต่กรณีการสังหารเด็กปอเนาะบำรุงศาสตร์ ที่บ้านควนหรัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้เคียงกัน ต่างยอมรับว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุ และความรู้สึกลึกๆเขาเชื่อว่าความรุนแรงทั้งหมดเกิดจากน้ำมือคนมุสลิมด้วยกันเอง
ความต้องการต่ออาวุธปืนของชาวบ้านไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่ปรากฏชัดมานานแล้วในหลายพื้น ที่ โดยเฉพาะที่มีคนไทยพุทธตั้งถิ่นฐานอยู่ หลังชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อฝ่ายคน ร้ายที่อยู่ในเงามืด หลังข้อเรียกร้องของชาวไทยพุทธใน อ.สะบ้าย้อย ก็มีเสียงตอบรับจากฝั่งรัฐว่าจะเพิ่มอาวุธปืนให้ชาวบ้านใน 62 หมู่บ้านอีกกว่าหนึ่งพันกระบอก จากที่มีอยู่แล้ว 900 กระบอกในจำ นวนหมู่บ้านดังกล่าว
ชัดเจนว่าข้อเรียกร้องของชาวบ้านสะบ้าย้อย คือ ปรากฏการณ์ที่เป็นผลลัพท์ของภาวะความหวาดกลัว หวาดระแวงและความไม่ไว้เนื้อเชื่อมั่นต่อระบบการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ สินของตำรวจ-ทหาร และยังเป็นผลที่บังเกิดขึ้นจากยุทธวิธี "สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว" ของฝ่ายแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ.....แต่ในมุมชาวบ้าน "ความต้องการปืน" ไม่ได้คำนึงถึงการตกหลุมพรางเป้าหมายของขบวนการความไม่สงบ เป็นความต้องการที่เกิดจากความเชื่อว่าอาวุธปืนคือที่พึ่งในยามที่ความเชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐลดน้อยถอยลงอย่างน่าใจหาย!!!
ภาวะเช่นนี้ กำลังเป็นกระแสที่น่าสนใจยิ่ง เมื่อสังคมไทยโดยรวมก็มีความเชื่อเช่นเดียวกันว่า ฝ่ายรัฐควรจะกระจายอาวุธปืนจำนวนมากไปให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งชาวไทยพุทธซึ่งเชื่อว่าเป็นเหยื่อโดยตรง สอดรับกับผลสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ที่ระ บุว่าชาวหาดใหญ่ซึ่งเคยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในภาคใต้มาแล้วหลายครั้ง ต้องการให้รัฐบาลมอบปืนให้ประชาชนใน 3 จังหวัดมากกว่านี้ เพื่อป้องกันตนเองและต่อกรกับฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปริมาณปืนชายแดนใต้ ดัชนีอำนาจรัฐหรือชี้วัดความรุนแรง
การแพร่กระจายของอาวุธปืนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้มีอยู่เป็นปริมาณมาก ข้อมูลจาก "สำนักงานปกครอง จ.ปัตตานี" จังหวัดเดียว ระบุว่า มีปืนที่ถูกขออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฏ หมาย ทั้งปืนพกสั้นขนาด.38 ลงมาและปืนยาวประเภทลูกซองมีมากกว่า 30,000 กระบอก ซึ่งไม่รวมอาวุธปืนอีกจำนวนมากของฝ่ายปราบปรามที่อนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนได้ โดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากนายทะเบียน รวมถึงอาวุธปืนที่ทางราชการมอบให้ "หน่วยจัดตั้ง" ในภาคประชาชน อาทิ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.) อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน(อรบ.) อาสาสมัครหมู่บ้าน(อสม.) และ "กองกำลังพิเศษ" ที่ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองจัดตั้งขึ้นตามความต้องการของแต่ละหน่วย งาน เพื่อช่วยเสริมกำลังในการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่
ทาง จ.นราธิวาส มีตัวเลขจำนวนอาวุธปืนอยู่ในมือประชาชนขณะนี้มากกว่า 45,000 กระบอก ส่วนใหญ่เป็นปืนพกสั้น และสถิติที่ประชาชนมายื่นคำขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนยังสูงถึงเดือนละ 100 รายต่อเดือน ตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับจำนวนอาวุธปืนถูกกฏหมายของ จ.ยะลา
"ความต้องการปืนของประชาชนยังมีอยู่มาก แต่ปัญหาคือปัจจุบันราคาปืนค่อนข้างแพง ส่วนใหญ่คนที่มาขอใบอนุญาตยังเป็นข้าราชการและผู้มีฐานะ หรือผู้นำท้องถิ่น ส่วนประชาชนทั่วไปมีอา วุธปืนอยู่น้อย ยิ่งในอำเภอรอบนอกที่มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นแทบทุกวันคนยิ่งไม่มีเงินไปซื้อหาอา วุธ เพราะเขาไม่มีเงิน ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ แต่ความต้องการของเขายังมีอยู่มาก" มะซอรี มะ เจ้าหน้าที่กองทะเบียนอาวุธปืน สำนักงานปกครอง จ.นราธิวาส กล่าว
"มะซอรี" ยังแสดงความเห็นว่าจำนวนปืนใน จ.นราธิวาส จะเพิ่มขึ้นอีกมาก ตราบใดที่ความไม่สงบยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือตัวเลขนี้ไม่ได้รวมกับ "ปืนเถื่อน"
ส่วน "พล.ต.ท.เจตนากร นภีตะภัฏ" ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ยังอดหวั่นวิตกไม่ได้ว่าการที่ประชาชนในพื้นที่ครอบครองอาวุธปืนไว้เป็นจำนวนมากก็เป็น "ดาบสองคม" เพราะถ้าไม่ควบ คุมการใช้ให้รัดกุมก็จะทำให้ควบคุมพื้นที่ได้ยาก
ทั้งที่ในอดีตอาวุธปืนเปรียบดัง "ดัชนีอำนาจรัฐ" เนื่องจากรัฐเป็นฝ่ายหยิบยื่นปืนให้ประชา ชน แต่เมื่อฉายภาพปัจจุบันปริมาณของปืนกลับสวนทางกับนิยามในอดีตอย่างสิ้นเชิง เมื่อปริมาณของปืน บ่งบอกถึงความอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพของอำนาจรัฐ!!!
"ประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ" อดีตกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ที่ปรึกษาสมา พันธ์ครูจังหวัดจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความเห็นว่า ความต้องการปืนเกิดจากความล้มเหลวของรัฐ ที่ไม่สามารรถปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ และเป็นตัวชี้ระดับความรุนแรงของสถานการณ์ และจุดอ่อนสำคัญ 2 ประการสำหรับประชาชนผู้ถือปืน คือ เสี่ยงต่อการเป็นเป้าหมายของฝ่ายผู้ก่อการและความไม่สันทัดในการใช้อาวุธปืน เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่เมื่อถูกโจมตี คนเหล่านี้ก็มักใช้ปืนไม่ทัน ท้ายที่สุดก็ต้องเสียไปทั้งคนและปืน ซึ่งจุดนั้นก็จะอันตรายไปอีกขั้นเพราะปืนของคนบริสุทธิ์ จะถูกนำมาสังหารคนบริสุทธิ์ล้มตายอีกมากมายดังที่เกิดขึ้นทุกวันนี้
สถานการณ์ใต้กับผลประโยชน์ธุรกิจค้าปืน
"ที่ใดมีสงคราม ที่นั่นมีคนได้ผลประโยชน์จากสงคราม"
อดีตเจ้าของร้านขายปืนที่ผันตนเองออกจากธุรกิจดังกล่าวมานานเกือบสิบปี ให้ข้อมูลว่า ปัจ จุบันประเทศไทยมีอาวุธปืนถูกกฎหมายอยู่ในความครอบครองของพลเรือนมากกว่า 4,000,000 กระ บอก ส่วนใหญ่เป็นปืนพกสั้น และมีปืนเถื่อนอยู่ไม่เกิน 2-3% ของจำนวนปืนทั้งหมด แต่ในกรณีของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบนั้นเขาไม่สามารถระบุได้ เพราะมีข่าวว่าปืนจำนวนหนึ่งที่ถูกนำมาก่อเหตุ เป็นปืนที่นำเข้ามาจากชายแดนฝั่งตะวันออกของประเทศไทย และยังมีอาวุธปืนที่ผ่องถ่ายระหว่างกันกับเครือข่ายผู้ก่อการร้ายในประเทศที่มีปัญหาความไม่สงบ ซึ่งไม่มีข้อมูลหลักฐานว่าจริงเท็จอย่างไร
ตามฐานข้อมูลของกรมศุลกากร การนำเข้าอาวุธปืนมาในประเทศไทยปี 2549 มีจำนวนราว 55,000 กระบอก!!!
อดีตเจ้าของร้านขายปืน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การนำเข้าปืนถูกกฏหมายของไทย เป็นไปตามโควต้าที่ทางราชการกำหนดให้ ร้านปืนแต่ละร้านจึงมีโควต้าของตนเองที่กำหนดให้ 1 โควต้า นำเข้าปืนสั้นได้ 30 กระบอก และปืนยาว 50 กระบอก ร้านปืนแต่ละร้านอาจมีโควต้าไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ของกระทรวงมหาดไทย และ "เส้นสาย" ของเจ้าของร้านปืนกับผู้มีอำนาจในกระทรวง
แต่การนำเข้าอาวุธปืนตามโควต้าของร้านปืน ยังไม่เท่า "ปืนสวัสดิการ" ที่กระทรวงมหาด ไทยสั่งตรงเข้ามา ที่เขาระบุว่ามากกว่าจำนวนโควต้าทั้งหมดที่ร้านปืนทุกร้านรวมกัน โดยเฉพาะหลัง จากปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ทวีความรุนแรงขึ้น ปืนสวัสดิการโดยการอนุมัติของกระทรวง มหาดไทยถูกสั่งตรงเข้ามาเป็นจำนวนมากและเป็นระลอกๆ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การสั่งนำเข้าก็ต้องสั่งผ่าน "เอเย่นส์" อีกทอดหนึ่ง
เรื่องปริมาณปืนในประเทศไทย อดีตเจ้าของร้านปืนรายดังกล่าวให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องของ Demand และ Supply เมื่อมีความต้องการใช้เกิดขึ้น การนำเข้าก็เพิ่มขึ้น แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำค่อน ข้างสูง เพราะเมื่อเปรียบเทียบจำนวนปืนกับความต้องการในปัจจุบันแล้ว ปริมาณปืนจึงมีอยู่น้อยมาก
"ยิ่งเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ คนยิ่งต้องการซื้อปืนมาก ปืนที่มีอยู่น้อยก็ถูกปรับราคาขึ้นสูงลิ่ว คนที่ได้รับประโยชน์เต็มๆคือเจ้าของร้านขายปืนต่างๆนั่นเอง ปืนสั้นบางยี่ห้อ ราคาจริงขณะนำเข้าเมื่อบวกภาษีแล้วอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทแต่ราคาขายอยู่ที่ 60,000 บาท ทุกวันนี้ผลประ โยชน์ที่ควรจะเป็นรายได้ของรัฐกลับตกอยู่ในมือของพ่อค้าปืนกลุ่มเล็กๆ เพียงกลุ่มหนึ่งที่มีใบอนุ ญาตถูกต้องตามกฎหมาย" เขา กล่าว
เขาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในอดีตการขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนขึ้นอยู่กับกรมทะเบียนกรมตำรวจ ในช่วงที่โอนย้ายไปให้กับกรมการปกครองใหม่ๆ เคยเกิดกรณีที่นายกสมาคมร้านปืนจับมือกับข้าราชการในกรมการปกครอง บอกประชาชนว่าถ้าจะขอใบอนุญาตต้องผ่านร้านปืนก่อน ร้านปืนจะเรียกเก็บเงินกระบอกละ 4,000-5,000 บาท เป็น "ค่าวิ่งเต้น"
แม้แต่การใช้ปืนหาประโยชน์จากสถานการณ์ภาคใต้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อปลายปีที่แล้วอา วุธปืนในคลังตำรวจที่ จ.ขอนแก่น ถูกยักยอกไปโดยตำรวจกลุ่มหนึ่งนำไปขายที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนำไปตกแต่งและ "สวมทะเบียน" ใหม่ขึ้นมาเพื่อหลอกขายประชาชน ซึ่งปัจจุบันการทำเช่นนี้อาจยังมีอยู่โดยฝีมือของคนในเครื่องแบบเอง จึงน่าจะเป็นคำตอบว่าปืนเถื่อนส่วนหนึ่งในภาคใต้ที่อยู่ในมือประชาชนมาจากไหน
เขาตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่อดีตภาคใต้ถือเป็น "ตลาดปืน" ที่ใหญ่มาก คนใต้คือลูกค้ารายใหญ่ของร้านขายปืน แต่เหตุใดเมื่อเกิดความไม่สงบ จึงยังมีคนมาซื้อหาอาวุธปืนเพิ่มขึ้นตลอด ปืนที่เคยซื้อไว้หายไปไหน???
ติดอาวุธสู้ไฟใต้ หนทางเสื่อมถอยหรือปูทางสร้างสันติ???
เสียงร่ำลือเรื่องคนไทยพุทธเริ่มต้นตั้งกองกำลังติดอาวุธ เพื่อสู้กับฝ่ายกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบแบบ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ คำร่ำลือภายในชุมชนมุสลิมกลายเป็นเรื่องเล่าที่ทรงอำนาจ สร้างความหวาดระแวงและระแวดระวังคนไทยพุทธมากขึ้น.....เสียงดังกล่าวได้สะท้อนความ รู้สึกแปลกแยกกับคนไทยพุทธได้พอสมควร บางคนถึงขนาดบอกว่าคนไทยพุทธกำลังตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อ "เอาคืน" คนมุสลิม หลังคนไทยพุทธตกเป็น "เหยื่อ" สังหารของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ
สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามคืออาวุธปืนที่อยู่ในมือของกลุ่มคนเหล่านี้จะถูกใช้ไปในทิศทางใด รวมทั้ง "ท่าที" ต่ออาวุธปืนของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
คำถามเรื่อง "ท่าที" ต่ออาวุธปืนมีหลายเหตุ แต่ผลสรุปของนักวิจัยด้านปืนศึกษารายหนึ่งน่า สนใจอย่างยิ่ง เธอสะท้อนว่าอาวุธปืนเป็น "อำนาจเชิงสัญญะ" แค่ยิงขึ้นฟ้า มนุษย์ทุกคนก็รู้สึกกลัวจนหัวหดแล้วโดยไม่จำเป็นต้องเล็งศูนย์ไปยังเป้าหมายด้วยซ้ำ แต่น่าเป็นห่วงบางคนที่รู้สึกว่าการที่ตน เองยิงคนตายด้วยเหตุผลเพราะคนนั้นเป็นคนชั่ว เป็นภัยคุกคามต่อสังคม เป็นโจรที่มาสร้างความเดือด ร้อนให้ตนเอง การคิดเช่นนี้ทำให้การยิงคนตายไป 1 คน ตนเองจะได้ไม่ต้องมารู้สึกผิด
เธอยอมรับว่าปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ปืนยังเป็นความจำเป็นในระดับของการป้องกันตนเอง แต่ไม่ใช่กรณีของการติดอาวุธเพื่อลุกขึ้นสู้กับฝ่ายผู้ก่อการ เพราะกรณีเช่นนั้นนอกจากปัญหาจะบานปลายจนมองไม่เห็นทางออกแล้ว ความรุนแรงก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกหลายระดับ แต่ปัญหาสำคัญ คือ "ความสมดุลทางอำนาจ" ระหว่างผู้มีปืนและไม่มีปืน โดยเธอยกกรณีของปัญหาใน อ.สะบ้าย้อย เป็นกรณีตัวอย่าง
"การที่ฝ่ายหนึ่งมีอาวุธ หรือได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้มีอาวุธ เเละอีกฝ่ายไม่มี เเละไม่ได้รับการสนันบสนุนจากรัฐให้มีอาวุธจะทำให้ฝ่ายที่ไม่มีอาวุธ รู้สึกว่าตนเองถูกเเบ่งเเยก ไม่ได้รับยุติ ธรรม หรือถูกมองเป็นศัตรูกับรัฐหรือไม่ การติดอาวุธกับประชาชนบางกลุ่ม จะทำให้กลุ่มอื่นๆที่เเตก ต่างทางด้านชาติพันธุ์ ศาสนา เเละความเชื่อ รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างทั้งสองกลุ่ม คือกลุ่มที่มีอาวุธ กับไม่มีอาวุธ ยิ่งกว้างขึ้น เเละเกิดความไม่ไว้วางใจกันหรือไม่"
เธอตั้งคำถามว่า "การแพร่กระจายอาวุธปืนไปสู่ประชาชนจะเกิดปรากฏการณ์เสพติดอำนาจเเละผลประโยชน์ โดยไม่สนใจการเเก้ปัญหาที่ไม่ใช้อาวุธเป็นหลักหรือไม่ หากรู้สึกว่าชุม ชนเเละสังคมที่อยู่ไม่ปลอดภัย เคยถามตนเองเเละผู้ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ว่าใครควรจะรับผิดชอบปัญหาในการเเก้ไขปัญหานี้บ้าง รัฐเเละคนในชุมชนได้ทำความผิดพลาดอะไร จึงเกิดความไม่ปลอดภัยในสัง คม การที่รัฐผลักภาระให้ประชาชนดูเเละความปลอดภัยของตัวเอง โดยการยื่นอาวุธให้เเสดงว่ารัฐ เเละเราทุกคนก็ล้มเหลว ในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยหรือเปล่า"
เป็นคำถามทิ้งท้าย จากคนที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งภายในจังหวัดชายแดนภาคใต้และสังคมไทยโดยรวมปราศจากอาวุธปืน เพื่อจะได้มีสันติสุขที่แท้จริงและยั่งยืน!!!
ศูนย์เฝ้าระวังเชิงองค์ความรู้สถานการณ์ภาคใต้
วันที่ 17/4/2007