เอามาให้อ่านครับ
http://www.matichon.co.th/art/art.php?srctag=0628010350&srcday=2007/03/01&search=noันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 28 ฉบับที่ 05
สโมสร
นายประสงค์ ไม่ออกนาม
ร้านขายเหล้าต่างประเทศ ยุคแรกของไทย
เมื่อเดือนก่อนข้าพเจ้าได้ไปค้นคว้ารูปเก่าที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ได้เจอรูปภาพจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับร้านจำหน่ายสุรา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ร้านขายเหล้า" สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นร้านขายเหล้าของชาวต่างชาติในยุคแรกๆ น่าจะประมาณสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือรัชกาลที่ ๖
ประกอบกับช่วงเวลานี้ (ช่วงที่เขียนต้นฉบับนี้) ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการห้ามโฆษณาสุราของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งในส่วนของการห้ามโฆษณา และการวางโชว์สินค้าในร้านขายเหล้า ในซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงมินิมาร์ทต่างๆ ยังไม่ได้ข้อยุติจึงได้ขอสำเนารูปจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มาให้ดูกันพอได้รำลึกถึงความเป็นมาของร้านขายเหล้ายุคแรกๆ
ของประเทศไทย
การนำสุราจากต่างประเทศเข้ามาจัดจำหน่ายในเมืองไทยนั้น คงมีมานานแล้ว น่าจะนับได้ตั้งแต่เมื่อประเทศไทยมีการติดต่อการค้ากับฝรั่งชาติยุโรป โดยในเอกสารของสังฆราชปาลเลกัวซ์ ที่เขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ขณะที่ท่านสังฆราชเดินทางกลับไปยังประเทศฝรั่งเศสก่อนที่จะเดินทางมาที่เมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้มีบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าต่างๆ จากนานาประเทศของประเทศไทย ตอนหนึ่งความว่า
"ในช่วงนั้นมีสินค้าขาเข้า คือ ผ้านุ่ง ผ้าฝ้าย เครื่องแก้ว เครื่องกระเบื้อง เครื่องลายคราม เครื่องเหล็กจากยุโรป ปืนใหญ่ ปืนยาว ผ้าแดงและเขียว เครื่องมีด ผ้าลาย ผ้าขนสัตว์ สีแดงและเขียว ฯลฯ แท่งเหล็กกล้า หัวน้ำมันจันทน์ กระแจะคราม ฝิ่น แพรจากเมืองจีน ใบชา แป้งสาลี สบู่ กระเช้า แว่นตา กระจก ลูกตะกั่ว อบเชย เส้นฝ้ายสีแดง ร่มกันฝน ร่มกันแดด ดินปืน ทองแดงแผ่นบุท้องเรือ ตาปู เหล็กวิลาศ สี ผ้าใบ ผ้ากำมะหยี่ ลวดดอกไม้ไหว ทองและเงิน ดาบปลายปืน สังกะสี เบียร์ เหล้าองุ่น เหล้าบรั่นดี เหล้ารัม เหล้ายิน สารส้ม กานพลู การบูร" ๑
อันเป็นข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีการนำเข้าสุราต่างประเทศอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลพวงจากที่ประเทศไทยติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ในขณะเดียวกันในสมัยรัชกาลที่ ๔ ต่อรัชกาลที่ ๕ นั้น ประเทศไทยได้เริ่มมีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวยุโรปเข้ามารับราชการในประเทศไทยกันบ้างแล้ว ซึ่งฝรั่งต่างชาติเหล่านี้ก็ย่อมนิยมที่จะซื้อหาอาหารการกินตามวัฒนธรรมที่ตนคุ้นเคย อาหารต่างประเทศจำนวนหนึ่งจึงถูกสั่งเข้ามาเพื่อขายให้กับฝรั่งต่างชาติเหล่านี้ด้วยส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะพระราชโอรสและพระบรมวงศานุวงศ์ในรัชกาลที่ ๕ รวมถึงลูกหลานขุนนางจำนวนหนึ่งสำเร็จการศึกษามาจากต่างประเทศ จึงซึมซับเอาวัฒนธรรมการ
กินการอยู่ของชาติตะวันตกเข้ามาปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันบ้างตามสมควร เพื่อเป็นการ "ออกสังคม" และสังสรรค์ในกลุ่มชนชั้นเดียวกัน จึงทำให้เริ่มมีร้านจำหน่ายสินค้าจากต่างประเทศเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการตัดถนนสายใหม่ๆ มีการก่อสร้างอาคารทรงยุโรปตั้งอยู่สองฟากถนน ร้านขายสินค้าจากต่างประเทศจึงกระจายโดยทั่วไปและมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งคนทั่วไปมักเรียกอาคารหรือตึกแถวทรงยุโรปเหล่านี้ว่า "ห้าง" ที่รู้จักกันดีก็เช่น ห้างแบดแมน๒ เป็นต้น
นายเทพชู ทับทอง ได้เล่าถึงร้านค้าของชาวต่างประเทศที่ตั้งอยู่ตามถนนสายใหม่ๆ นี้ ว่า "สำหรับห้างร้านค้าขายใหญ่ๆ ที่สำคัญก็มี ห้างหลุย ตี เลียว โน เวนส์ ห้างโอเรียลเต็ล อยู่ในตรอกโอเรียลเต็ล โฮเต็ล ขายอาหารกระป๋องนมเนย เหล้าบุหรี่ เครื่องเขียน เครื่องใช้ในการเดินทาง เครื่องแก้ว และเครื่องหุงต้มเป็นร้านแบบสรรพสินค้า" ๓
นอกจากร้านจำหน่ายสุราที่เป็นของชาวต่างประเทศแล้ว ร้านจำหน่ายสุราที่แพร่หลายอีกจำพวกหนึ่งก็ได้แก่ ร้านจำหน่ายสุราของชาวจีน ขุนวิจิตรมาตราได้เขียนถึงคนจีนที่เข้ามาค้าขายในสยามโดยเฉพาะจำหน่ายสุรา ว่า "ของที่จีนเคยพายเรือเร่ขายในคลองบางหลวง ไม่เห็นเร่ขายในกรุงเทพฯ สมัยนั้น จำได้ว่าไม่เห็นเร่ขายตามถนน ก็มีข้าวสาร หมู และเหล้า...
ส่วนเหล้าก็ตั้งร้านขายตามริมถนนเหมือนกัน ร้านเหล้าจะมีธงแดงติดไว้หน้าร้านเป็นสัญญาว่าขายเหล้า คนติดสุรางอม พอเห็นธงแดงก็มักจะอ้วกเสียก่อน เหล้าที่ขายประจำมักจะเป็นอย่างที่เรียกว่า "เหล้าโรง" ใช้กระบอกทองเหลืองตวงเหล้าใส่ถ้วยแก้วย่อมๆ ดูเหมือนกระบอกละเฟื้องเท่ากับในคลองบางหลวง คนคอเหล้าซื้อเหล้าแล้ว บางคนมือขวาที่จับแก้วเหล้าสั่น จนเหล้าแทบกระฉอกออก ต้องเอามือซ้ายยันกับที่ขายเหล้า เอามือขวาที่ถือแก้วเหล้าไต่มาตามแขนซ้ายเหมือนสะพาน จนกระทั่งปากดื่มได้ ดื่มแล้วก็เอามะยมหรือส้มมะขามหรือของเปรี้ยวอะไรจิ้มเกลือแกล้มคอนิดหน่อยแล้วเดินตุปัดตุเป๋ออกจากร้านไปอย่างครึ้มใจ ส่วนที่พายเรือขายเร่ในคลองบางหลวง ดูเหมือนจะไม่มีธงแดงปัก มีแต่เสียงร้อง "จิ๊วโว" หรือไม่ก็ "โว" คำเดียวเป็นรู้กัน บ้านข้าราชการริมคลองไม่กินเหล้าโรงนี้ จะมีก็แต่คนใช้ในบ้าน หรือบ้านเล็กเรือนน้อยซึ่งมีประปราย ได้ยินเสียง "โว" ก็เป็นรู้กัน
ว่าเรือเจ๊กมาแล้ว เรียกเข้าไปกินที่หัวสะพานน้ำนั้นเอง" ๔
อาจจะกล่าวได้ว่าในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ นั้นประเทศสยามได้มีการนำเข้าสุราต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยมีการบันทึกไว้ในสถิติสินค้าขาเข้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๔-๗๔ แจ้งว่า ได้มีการนำเข้าเบียร์และเหล้าฝรั่งต่างๆ เป็นมูลค่าถึงปีละ ๓ ล้านกว่าบาท แต่หลังจากปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมาก็ลดลงถึง ๑ ใน ๓ คือเหลือเพียงปีละ ๑ ล้านบาทเท่านั้น๕
ส่วนในปีปัจจุบันนั้น ประเทศไทยน่าจะมีทั้งการนำเข้าเบียร์และสุราจากต่างประเทศ และส่งออกเบียร์และสุราที่ผลิตในประเทศไทยไปยังต่างประเทศ ซึ่งเฉพาะการนำเข้านั้นคงเพิ่มขึ้นกว่าในยุคแรกหลายเท่าทวีคูณ แต่จะเป็นเท่าไรนั้น ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะค้นคว้ามาชี้แจงแสดงผล เพราะเดี๋ยวจะเข้าข่ายเป็นการโฆษณา เผลอๆ จะทำให้ "ภาพเก่า" เหล่านี้ไม่ได้ลงตีพิมพ์ไปด้วย เลยหยุดข้อมูลทั้งหมดไว้ที่ในอดีตคงจะดีกว่า
เชิงอรรถ
๑ "เล่าเรื่องเมืองไทย". สังฆราช
ปาลเลกัวซ์. แปลโดย สันต์ ท.โกมลบุตร. ก้าวหน้า, ๒๕๐๖, น. ๓๑๐.
๒ ห้างแบดแมนแอนด์โก หรือ Harry A. Badman and Go., ซึ่งนับว่าเป็นห้างฝรั่งรุ่นแรกๆ ของบ้านเรา เดิมตั้งอยู่ที่หัวมุมกระทรวงมหาดไทย ก่อนจะย้ายมาตั้งอยู่ที่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา หัวถนนราชดำเนินกลาง ห้างแบดแมนนี้เป็นห้างที่เล่ากันว่าหรูหรามาก ขายข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นของฝรั่งทันสมัย จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเป็นห้างที่เจ้านายและพระบรมวงศานุวงศ์เข้ากันมาก ("ประวัติศาสตร์และความทรงจำบนถนนราชดำเนิน," ใน นิตยสารสารคดี (ตุลาคม ๒๕๔๑), น. ๗๐.)
๓ เทพชู ทับทอง. "ถนนใหม่," ใน Bangkok ภาพประวัติศาสตร์. น. ๓๕.
๔ กาญจนาคพันธุ์. "กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้," ใน หนังสือชุด ๑๐๐ ปี ขุนวิจิตรมาตรา. สารคดี, น. ๒๒๑-๒๒๒.
๕ "สถิติสินค้าขาเข้าและขาออก ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ," ใน รวมเรื่องกรุงเทพฯ. ๒๔๗๘, น. ๖๖-๖๘.