แสงประหลาดที่ส่องลงมาจากท้องฟ้า ดึงดูดผู้คนให้เงยหน้าจ้องมองเหมือนแมงเม่าบินวนรอบกองเพลิง ทันใดนั้นมันก็ดูดผู้คนขึ้นไปสู่ห้วงอากาศ และในเพียงชั่วค่ำคืนเดียวมนุษยชาติก็หายไปจนเกือบหมดสิ้น จาร์รอด (เอริค บัลโฟร์) และ อีเลน (สก็อตตี้ ธอมป์สัน) เดินทางไปร่วมงานวันเกิดของ เทอร์รี่ (โดนัลด์ ไฟสัน) เพื่อสนิทและแฟนสาว แคนดิส (บริตตานีย์ แดเนียล) ที่เมืองลอสแองเจลิส แต่เมื่อแสงประหลาดถูกส่องลงมาจากท้องฟ้าก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นเพียงสอง ชั่วโมง ทุกชีวิตบนโลกก็แทบสูญสิ้น เมื่อเพื่อนทั้งสี่คนเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ในขณะที่ยานอวกาศของผู้รุกรานจำนวนมากปรากฏตัวอยู่เต็มท้องฟ้า
พวกเขาต้องใช้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทุกวิถีทาง ในการหลบหนีจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ออกตามล่ามนุษย์ที่ยังหลงเหลือ ไม่ว่าจะเป็น แทงค์เกอร์ ขนาดมหึมา ไฮดร้า หน่วยต่อสู้ทางอากาศ จนถึง โดรน หน่วยปฏิบัติการณ์ขนาดเล็ก มนุษย์ทุกคนไม่มีทางหนีรอดและทำลายมัน นี่คือจุดจบของโลก และคุณก็ได้นั่งชั้นวีไอพีเพื่อรับชมหายนะครั้งนี้
http://www.youtube.com/watch?v=fS77dek-RlY&feature=player_embedded#!
SKYLINE ไปดูมาแล้วเมื่อวัน พฤ. หนังมีภาคต่อ เรื่องนี้ต้องคนมีกึ๋นไปดูนะ เป็นหนังไม่ง้อนายทุน
... โชคดีร่ำรวย
เต็มสิบให้ซักเท่าไหร่พี่ พรุ่งนี้ว่าจะไปดูช่วงรอเด็กๆเรียน
ไปดูได้ครับน้องสาม แต่มันมีภาคต่อนะ เอฟเฟคใช้ได้เลย ... โชคดีร่ำรวย
เอาให้น้องสามอ่านก่อนตัดสินใจอีกครั้งครับ ... โชคดีร่ำรวย คมชัดลึก : แม้พ็อกเก็ตบุ๊กเล่มล่าสุดที่สรุปทุกสิ่งอย่างของ TIME ในปี 2010 นั้น จะบอกไว้ว่าหนังทำเงินใน 20 อันดับแรกตลอดกาลมีรายได้ที่ "มากขึ้น" แต่ความจริงกว่านั้นก็คือ ในจำนวนของหนัง 20 เรื่องที่ว่านี้ 90% เป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับสเปเชี่ยลเอฟเฟกท์แทบทั้งสิ้นหนังอย่าง avatar มาจนถึง harry potter 3-4 ภาค หรือหนังอย่าง toy story 3 ไปจนถึง Titanic ล้วนได้รับการส่งเสริมจากงานเอฟเฟกท์ทั้งนั้น ซึ่งหมายความว่าในตอนนี้ หรืออนาคต กระทั่งอดีต ไม่ว่าใครจะชิงชังหนังแนวนี้ ตลาดของมันก็ยังคงเปิดกว้างในการที่จะใครต่อใคร จะทดลองเอางานที่ยุ่งเกี่ยวกับสเปเชี่ยล เอฟเฟกท์ เข้ามานำเสนอกับอุตสาหกรรมหนังอยู่ดี
สัปดาห์นี้มีหนังเรื่องหนึ่งที่ออกตัวว่า งานของเขาไม่ใช่บล็อกบัสเตอร์ เป็นหนังที่มีวัฒนธรรมของสเปเชียลเอเฟกท์อยู่ ถึงขนาดที่ว่ามันถูกคาดการณ์ว่าจะสร้าง ปรากฏการณ์เช่นเดียวกับ Cloverfield และ District 9 เพราะจากตัวอย่างแรกที่โชว์ให้เห็นยานอวกาศลำมหึมากำลังดูดมนุษย์จำนวนมหาศาลขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยผู้อยู่เบื้องหลังความน่าทึ่งนี้ก็คือสองพี่น้องสเตราส์ มือหนึ่งในโลกของสเปเชี่ยลเอฟเฟกท์ ซึ่งพวกเขาเป็นมือขวาของ เจมส์ คาเมรอน ในการสร้างสรรค์เอฟเฟกทืให้แก่หนังพันล้านอย่าง Avatar และ Titanic รวมถึงผลงานสเปเชี่ยลเอฟเฟกท์ในหนังบล็อกบัสเตอร์ชื่อดังอีกมากมาย เช่น Iron Man 2, 2012, The Incredible Hulk และ 300
คำถามมีอยู่ว่า ทำไมหนังหลายร้อยเรื่องก็ขายสเปเชี่ยลเอฟเฟกท์ไปหลายครั้งแล้ว ทำไมไอเดียที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยังคงจะมีอีกและแน่นอนว่า สองคู่หูมีอยู่เบื้องหลังหนังเรื่องนี้ก็คือ เกร็ก สเตราส์ กับ โคลิน สเตราส์ นี่คือความในใจบางส่วนของคนทำหนังจอมซน สำหรับ Skyline
เกร็ก สเตราส์ : หลังจากที่ทำงานกับ เจมส์ คาเมรอน ใน Avatar พวกเราเกิดไอเดียเหมือนกันว่า ถ้าจู่ๆ เกิดหายนะล้างโลก และคุณเผอิญได้ที่นั่งชั้นวีไอพีล่ะ... คุณจะทำยังไง ? มันเป็นไอเดียที่เราทั้งคู่ตื่นเต้นมาก และยังเป็นโจทย์แรกที่ผมกับ โคลิน รวมถึง จอร์ช คอร์เดส และ เลียม โอดอนเนล เพื่อนที่ทำเอฟเฟกท์เริ่มหาเรื่องราวมารองรับ เพราะนี้ถือเป็นโอกาสที่พวกเราจะได้แสดงความสามารถในเรื่องเอเฟกท์อย่างเต็มที่
โคลิน สเตราส์ : ทุกอย่างเกิดขึ้นในระหว่างการกินอาหารเที่ยง เมื่อผม, เกร็ก, จอร์ช และ เลียม นั่งถกกันถึงพล็อตเรื่องเริ่มแรก พวกเรารู้สึกหงุดหงิดกับขั้นตอนการทำโปรเจ็คในฝันให้เป็นจริง ไม่เว้นแม้แต่ผู้กำกับชื่อดัง แต่พวกเราพบว่ามันไม่จำเป็นต้องไปนั่งคุยกับนายทุนเพื่อสร้างหนัง เพราะเราสามารถใช้กล้องและอุปกรณ์ที่มีในบริษัทเอฟเฟกท์ของตัวเอง ซึ่งทำให้เราสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้
เกร็ก สเตราส์ : พอหนังเข้าในองค์ที่สอง 99.9% ของประชากรทั้งโลกก็หายไปหมดแล้ว ผมคิดว่ามันเป็นวันสิ้นโลกตามคำทำนายอย่างแท้จริง และนอกจากคุณจะได้เห็นยานแม่ที่ดูดคนขึ้นไปแล้ว ความลับที่สองจะถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อคุณได้เห็นตัวมนุษย์ต่างดาวที่ออกมาจากยาน ขอบอกไว้เลยว่าคุณจะต้องทึ่งไปกับมันแน่นอน นอกจากนั้นพวกเรายังพยายามต้องการทำให้คุณรู้สึกห่วงใยชะตากรรมของพวกเขาเหล่านั้น และคิดว่า "พระเจ้า ฉันจะทำยังไงถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
โคลิน สเตราส์ : ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การบุกโลกของมนุษย์ต่างดาว แต่เป็นการลักพามนุษย์ไปทั้งโลก โดยมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพยายามเอาตัวรอดจากหายนะ โดยช่วงเริ่มต้นของหนังจะเป็นเหตุการณ์ที่เห็นในตัวอย่าง ซึ่งคนทั้งโลกถูกดูดขึ้นไปโดยแสงประหลาดสีฟ้าที่ฉายโดนยานอวกาศ แต่นั้นเป็นเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นของหนังทั้งเรื่อง เมื่อคุณดูหนังไปเรื่อยๆความวิบัติก็จะบังเกิดขึ้น นั้นคือสิ่งที่เรายังไม่ปล่อยออกมาให้ทุกคนเห็น
เกร็ก สเตราส์ : ผมจำประสบการณ์ไม่ดีจากการทำหน้าที่กำกับหนังเรื่องที่แล้วได้ แต่ครั้งนี้เราดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง โคลิน และผมมีแนวคิดที่ตรงกัน คือเมื่อคุณอยู่ในระบบสตูดิโอมันก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่นคุณไม่สามารถทำบางสิ่งได้เพราะมันไม่อยู่ในสัญญา พวกเราไม่ต้องยอมจำนนกับสิ่งที่คุณไม่ต้องการ และที่สำคัญคือคุณไม่ต้องรอการอนุมัติจากบอร์ดบริหารอีก 12 คนก่อนที่จะลงมือทำ มันเป็นกระดานว่างเปล่าผืนใหญ่ที่รอให้เราเข้าไปแต่งเสริมเติมแต่งอย่างเต็มที่
โคลิน สเตราส์ : สิ่งที่สำคัญอีกอย่างในบทภาพยนตร์คือความซับซ้อนของตัวละคร คุณคิดถึงหนังอย่าง Poltergeist ซึ่งหนังที่น่ากลัว แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษก็คืออารมณ์ขันที่ผสมผสานเข้ากับแรงขับเคลื่อนในครอบครัว มันมีความเป็นมนุษย์ที่จับตต้องได้ หรืออย่าง The Exorcist ที่อาจดูธรรมดาถ้าคุณเล่าเรื่องของบาทหลวงที่กำลังช่วยชีวิตเด็กสาวที่ถูกปีศาจเข้าสิง แต่เมื่อคุณใส่ประเด็นว่าบาทหลวงกำลังมีวิกฤติในศรัทธาของตัวเอง มันก็จะมีความน่าสนใจขึ้น มันคือสิ่งที่ผมสนใจและต้องการทำ
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่สำคัญเท่ากับการสอบสนองของคนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
เกร็ก สเตราส์ : มันเป็นแรงบันดาลที่ดี เมื่อพวกเรารู้ว่าไม่ต้องง้อใครเพื่อสร้างหนังของตัวเอง พวกเรามีทีมงานแค่ไม่กี่คน แต่ทุกคนก็มีสีหน้าที่บ่งบอกว่า "ฉันทำได้" พวกเราต้องการทุกอย่างให้เต็มที่แต่ก็ยังสนุกกับการทำงานไปด้วย พวกเรารู้สึกสนุกและได้ทำในสิ่งที่ต้องการทำ หวังว่าสิ่งที่พวกเราทำจะสร้างผลกระทบต่อทิศทางของการสร้างหนังในอนาคต พวกเราพยายามสร้างหนังที่มีสเกลที่ยิ่งใหญ่ทั้งในเรื่องภาพและคุณภาพ ให้เหมือนแบบที่หนังสตูดิโอควรทำ แต่นี้มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจเมื่อเรามีอิสระและเงินทุน
"นันทขว้าง สิรสุนทร"
http://www.komchadluek.net/detail/20101112/79171/79171.html