ขออนุญาติสอบถามครับ.........สังเกตมาหลายวันแล้ว.......ตอนนี้เริ่มเห็นเยอะขึ้นเรื่อย......อ้ายรูปนี้มันหมายถึงอะไรอ่ะครับ
ยาวหน่อยนะครับน้านักรบดำ
เดอะ การ์เดียน คุยกับอลัน มัวร์ ผู้อยู่เบื้องหลังหน้ากาก V
"มันทำให้การประท้วงกลายเป็นการแสดง หน้ากากนี้สร้างความรู้สึกแบบละครโอเปร่ามาก มันมีอารมณ์ของโรมานซ์และดราม่า ผมหมายความว่าในการเดินขบวนหรือชุมนุมประท้วงนั้น พวกเขาต้องเรียกร้องอย่างมาก ประสบความยากลำบาก พวกเขาอาจจะท้อแท้บ้าง ทำให้พวกเขาต้องหาอะไรบางอย่างทำ มันไม่จำเป็นต้องถึงขั้นสนุกสุดเหวี่ยง ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมว่าพวกเขาก็ควรจะสนุกกัน"
ที่มา gmgphotography
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา Tom Lamout ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ ได้รายงานสัมภาษณ์อลัน มัวร์ นักเขียนการ์ตูนผู้ที่ให้กำเนิดเรื่อง V for Vendetta ว่าเหตุใดในเวลาต่อมา โฉมหน้าของ V ถึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้บนท้องถนนของมวลชน แต่บางครั้งก็ถูกนำมาใช้อย่างผิดๆ ...เข้ารู้สึกเช่นไรกับมัน
นักเขียนการ์ตูน อลัน มัวร์ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนักเมื่อพบว่าสิ่งที่เขาสร้าง กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่นอกหน้ากระดาษ ผลงานของเขาที่เขียนขึ้นตั้งแต่ช่วงยุค 1980s และ 1990s ถูกส่งไปยังเบ้าหลอมของฮอลลิวูด บ้างก็ได้รับคำชื่นชมล้นหลาม บ้างก็ถูกด่าเปิง แฟชั่นเสื้อเชิ้ต เข็มกลัด และสโลแกนต่างๆ ก็มาจากตัวละครและเรื่องราวจากจินตนาการของเขาอย่างเช่น Watchmen และ From Hell
"ผมว่าผมควรจะชินกับความจริงในข้อนี้เสียที ว่าเรื่องแต่งของผมบางส่วน ได้กรองตัวเองออกมาสู่โลกวัตถุได้แล้ว" อลันกล่าว
แต่มัวร์ก็ไม่ทันได้นึกถึงเหตุการณ์สำคัญในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รวมถึงในปี 2011 นี้ด้วย จากการที่หน้ากากของตัวละครเรื่องหนึ่งของเขาถูกนำมาสวมใส่ในการประท้วงทั่วโลก
หน้ากากยิ้มแหยๆ ดูไร้ชีวิตเลียนแบบหน้าตาของ กาย ฟอคส์ นี้ ถูกสร้างขึ้นโดยอลัน มัวร์ และเดวิด ลอยด์ ในการ์ตูนเรื่อง V for Vendetta เมื่อปี 1982 หน้ากากชิ้นนี้ถูกสวมใส่โดยเหล่าผู้ชุมนุมประท้วงหลายพันคน ในเรื่อง V for Vendetta ฉบับภาพยนตร์ของโจเอล โปรดักชั่น ในปี 2006 ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีส่วนในการโฆษณาขายตัวหน้ากากเองด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เองก็มีการนำหน้ากาก V มาใช้เป็นสัญลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงของกลุ่ม Occupy ตามที่ต่างๆ เช่น นิวยอร์ก, มอสโคว, ริโอ, โรม และที่อื่นๆ รวมถึงการประท้วงต้านรัฐบาลในเอเธนส์ ขณะที่ในปี 2009 ก็มีการนำมาใช้กับการชุมนุมหน้าการประชุม G20 ที่ลอนดอน และ G8 ที่ ลากวีลา แม้กระทั่ง จูเลียน อัสซาจ (เจ้าของวิกิลีค) เองก็เผยตัวพร้อมสวมหน้ากาก V เมื่อไม่นานมานี้
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เชพเพิร์ด แฟร์เรย์ ผู้ออกแบบโปสเตอร์ Hope ให้กับบารัค โอบาม่า ก็ดัดแปลงโปสเตอร์จากเดิมที่เป็นรูปหน้าประธานาธิบดีโอบาม่าให้กลายเป็นรูปผู้ประท้วงสวมหน้ากาก V แทน ซึ่งถือเป็นการทำให้สัญลักษณ์นี้มีความเป็นสมัยนิยมมากขึ้น
ทุกอย่างนี้ย้อนกลับมาสู่มัวร์ ชายสันโดษผู้มีผมสีเทาขดยุ่งและมีเคราที่แสนบรรเจิด คนที่อยากมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องการต่ออินเตอร์เน็ตและไม่มีทีวีใช้มาหลายเดือนแล้ว ซึ่งมาจากแนวคิดแปลกๆ เกี่ยวกับสัญญาณดิจิตอลในเมืองนอร์ทแฮมตันของเขาเอง มัวร์เองยังไม่เคยให้ความเห็นอย่างชัดเจนเกี่ยวกับปรากฏการหน้ากาก V มาก่อน และจากการที่สัมภาษณ์เขาทางโทรศัพท์แล้ว เขาแสดงความรู้สึกทั้ง ฉงน, ตื่นเต้น, จี้เส้น และออกจะพอใจที่งานสร้างสรรค์ของเขากลายเป็นตราประทับยอดนิยมของกิจกรรมเคลื่อนไหวยุคใหม่
"ตอนที่ผมเขียน V for Vendetta สิ่งที่ซ่อนเร้นลึกๆ ในใจผมเองคือความคิดที่ว่า มันจะดีหรือไม่หากไอเดียของเราสร้างผลสะเทือนออกมาได้ ดังนั้นเมื่อตอนที่คุณเริ่มเห็นว่าเรื่องจากจินตนาการเรื่องหนึ่งแทรกออกมาอยู่ในโลกปกตินี้ได้ มันชวนให้อัศจรรย์ใจ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวละครที่ผมสร้างขึ้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว หลบหนีออกมาจากโลกของเรื่องแต่งได้"
V for Vendetta เป็นเรื่องเล่าที่มีฉากเป็นประเทศอังกฤษในอนาคต (ในเรื่องคือปี 1997 ราวสองทศวรรษจากช่วงเวลาที่มัวร์เริ่มเขียน) ที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการ ประชาชนอยู่ในภาวะซึมเศร้าและไม่สามารถทำอะไรได้มาก เรื่องเล่าผ่านมุมมองของตัวละครเอกที่ชื่อ Every ซึ่งเป็นหญิงกำพร้าและ V ฮีโร่ผู้สวมชุดปราบเหล่าร้าย ที่สนใจในตัวเธอ
การ์ตูนเรื่องนี้ออกมามากกว่า 38 ตอน และต่างก็ใช้ชื่อตอนขึ้นต้นด้วย "V" พวกเราจะได้เห็นแอนตี้ฮีโร่จอมโวหารและผู้ช่วยของเขาต่อสู้ขัดขืนอำนาจเผด็จการด้วยการใช้ความรุนแรง V จะสวมหน้ากากโดยไม่เคยถอดออก หน้ากากที่เป็นใบหน้าสีขาว แกมสีชมพูกุหลาบ หนวดเรียวราวแต้มด้วยดินสอ ดวงตาที่ปิดลงครึ่งหนึ่งอยู่เหนือรอยยิ้มที่ดูลึกลับ ซึ่งพวกคุณคงจะรู้จักดีอยู่แล้ว
"มันเป็นรอยยิ้มที่หลอกหลอนมาก" มัวร์กล่าว "ผมพยายามจะใช้ความลึกลับนี้สร้างผลลัพธ์ที่ดูดราม่า พวกเราอาจจะเพียงแค่แสดงให้เห็นรูปของเขายืนอยู่เงียบๆ โดยมีโฉมหน้าที่แสดงความรู้สึกที่อาจจะเป็นความพอใจ ความสบายใจ หรือแม้กระทั่งความชั่วร้าย"
นอกจากหน้ากากแล้ว กลุ่มผู้ประท้วง Occupy ยังได้นำสโลแกน "พวกเราคือมวลชนร้อยละ 99" (We are the 99%) มาใช้อีกด้วย ซึ่งสโลแกนนี้กลุ่ม Occupy ต้องการสื่อถึงความไม่พอใจกลุ่มคนรวยในสหรัฐฯ ที่เป็นประชากรเพียงร้อยละ 1 แต่มีอำนาจมากในการควบคุมประเทศ "และเมื่อคุณมองเห็นคลื่นมวลชนผู้สวมหน้ากาก V ผมคึดว่ามันทำให้ผู้ประท้วงแทบจะกลายเป็นอวัยวะหนึ่งเดียวกัน ไอ่เรื่อง '99%' ที่พวกเราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ นี้ก็ดูน่าเกรงขามในตัวมันเอง ผมเข้าใจว่าทำไมผู้ประท้วงถึงนำคำนี้มาใช้"
มัวร์เห็นการใช้หน้ากาก V ในครั้งแรกจาก 'กลุ่มนิรนาม' (Anonymous) ที่ชุมนุมต่อต้านลัทธิ Scientology ณ ถนน ท๊อทแน่มคอร์ท ในปี 2008 กลุ่มผู้ประท้วงเป็นกลุ่มคนในโลกอินเตอร์เน็ตที่รวมตัวกันเพื่อประท้วงต่อต้านความพยายามเซนเซอร์วิดิโอในยูทูป "ผมเข้าใจสาเหตุของการสวมหน้ากาก เพราะพวกเขากำลังต่อต้านกลุ่มที่ชอบฟ้องร้องอย่างลัทธิ Scientology"
แต่เมื่อหน้ากากได้รับความนิยมมากขึ้น มัวร์ก็เริ่มมองเห็นเหตุผลของการสวมใส่มากกว่าการปกป้องตัวตน "มันทำให้การประท้วงกลายเป็นการแสดง หน้ากากนี้สร้างความรู้สึกแบบละครโอเปร่ามาก มันมีอารมณ์ของโรมานซ์และดราม่า ผมหมายความว่าในการเดินขบวนหรือชุมนุมประท้วงนั้น พวกเขาต้องเรียกร้องอย่างมาก ประสบความยากลำบาก พวกเขาอาจจะท้อแท้บ้าง ทำให้พวกเขาต้องหาอะไรบางอย่างทำ มันไม่จำเป็นต้องถึงขั้นสนุกสุดเหวี่ยง ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมว่าพวกเขาก็ควรจะสนุกกัน"
มีอยู่ช่วงหนึ่งในเรื่อง V for Vendetta ที่ V สอน Evey ให้เห็นถึงความสำคัญของอารมณ์เมโลดราม่า (การแสดงความรู้สึกเกินจริง) ในการต่อต้านอะไรบางอย่าง มัวร์บอกว่า "ผมคิดว่ามันก็เหมาะสมดีที่ผู้ประท้วงในยุคสมัยนี้จะทำให้การขบถของพวกเขาเป็นสิ่งที่เข้าถึงคนส่วนมากได้ และกระทำด้วยความเต็มใจมากกว่าจะตะโกนประสานเสียงกันครึ่งๆ กลางๆ เหมือนการประท้วงตามแบบฉบับของอังกฤษ ผู้คนเหล่านั้น พวกเขาดูเหมือนกำลังสนุกสนานอยู่ และนั่นก็เป็นการส่งสารไปสู่คนจำนวนมาก"
สิ่งที่ดูขัดๆ ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนึ่งคือ ยอดขายหน้ากาก V เพิ่มมากขึ้นจนทำรายได้เสริมอย่างงามแก่บริษัทไทม์ วอร์เนอร์ บริษัทสื่อที่ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของผลงานของมัวร์ ซึ่งตรงจุดนี้ฝ่ายผู้ประท้วงจำนวนมากก็เริ่มรับรู้ จึงมีความพยายามหลีกเลี่ยงการป้อนเงินให้บริษัทยักษ์ใหญ่นี้ ด้วยการที่กลุ่ม Anonymous นำเข้าหน้ากากพวกนี้โดยตรงจากจีน เมื่อปีที่แล้ว (2010) ที่มีการประท้วงเรียกร้องปล่อยตัวจูเลียน อัสซาจ ในมาดริด ผู้ประท้วงก็สวมใส่หน้ากากทำคล้ายที่ผลิตจากกล่องกระดาษ และดูเหมือนจะทำกันเอง แต่ผู้ผลิตก้บอกว่าหน้ากากราคาราว 4-7 ปอนด์ (190-340 บาท) นี้ก็ขายได้ 100,000 ชุดทุกปี โดยมีส่วนแบ่งส่วนหนึ่งให้กับไทม์ วอร์เนอร์ เรื่องนี้ทำให้มัวร์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไหม
"ผมว่ามันตลกดี ดูเหมือนไทม์ วอร์เนอร์ พยายามเดินไต่ไปบนเส้นลวด" ในฐานะที่มัวร์มีคนรู้จักในวงการอุตสาหกรรมการ์ตูนอยู่ ทำให้เขารู้มาว่าการที่หน้ากากนี้ขายได้มากกลับกลายเป็นปัญหาเสียเอง "มันน่าละอายอยู่หน่อยนึงในการเป็นบรรษัทที่ดูจะได้กำไรจากการประท้วงต่อต้านบรรษัท มันไม่ได้เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากมีส่วนร่วมด้วยเลย แต่พวกเขาเองก็ไม่ปฏิเสธเม็ดเงิน เพราะมันจะเป็นการขัดกับสัญชาติญาณของพวกนั้นมาก" มัวร์หัวเราะ "ผมว่ามันชวนให้รู้สึกขำขันมากกว่ากระอักกระอ่วน"
อลัน มัวร์ มีความสัมพันธ์ซ่อนเล่ห์ซ่อนกลกับไทม์ วอร์เนอร์ บริษัทที่เป็นทั้งเจ้าของ DC Comics ที่ตีพิมพ์การ์ตูนเรื่อง V for Vendetta และ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส สตูดิโอภาพยนตร์เบื้องหลัง V ฉบับจอเงิน เช่นเดียวกับพวกเราหลายคน มัวร์เห็นว่าเรื่อง เดอะ ลีค มหัศจรรย์คนชนคน (The League of Extraordinary Gentlemen) ฉบับภาพยนตร์ปี 2003 ที่สร้างจากการ์ตูนของเขาในช่วงยุค 90s นั้น เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง และเมื่อถึงเวลาที่ V for Vendetta เข้าฉายในปี 2006 เขาก็ต้องการลบเครติดของเขาออก ซึ่งอาจรวมถึงเครดิตในการ์ตูนฉบับพิมพ์ใหม่ซึ่งอาจจะมีในอนาคตด้วย
ในช่วงนั้นมีคนสัมภาษณ์ถามเขาว่า เขาคงจะไม่ "เผลอทิ้งน้ำอาบไปพร้อมกับลูก" (สำนวนหมายถึง "เผลอทิ้งอะไรดีๆ ไปพร้อมกับสิ่งที่ไม่ต้องการ") มัวร์ก็ตอบในแบบของนักเล่าเรื่องผู้ไม่แน่ใจว่าตนตนควรให้ผลงานแก่ฮอลลิวูดดีหรือไม่
"เอาล่ะ ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเด็กอีกแล้ว" มัวร์กล่าว "กลายเป็นว่า ในคืนที่ผมเมาคืนหนึ่งนั้น ผมได้ขายลูกให้กับพวกยิปซีไปแล้ว แล้วพวกนั้นก็เลี้ยงลูกผมขึ้นมาให้ค้าประเวณี บางครั้งพวกเขาก็ส่งรูปถ่ายมันวาวของลูกผมให้ดูว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรแล้วบ้าง แล้วพวกเขาก็ใจดีมากๆ ที่ส่งส่วนแบ่งรายได้มาให้"
ในวันที่เราได้คุยกับมัวร์ สำหรับเขาแล้วยังคงมี 'เมฆหมอกแห่งความขมขื่น' รายล้อมเรื่อง V for Vendetta แต่การฟื้นคืนชีพของ V ในบริบทการประท้วงยุคปัจจุบัน ทำให้เขากลับมาพูดถึงเรื่องนี้ได้ด้วยความรู้สึกพึงพอใจอยู่พอสมควร เป้นครั้งแรกในรอบหลายปีมานี้ "ผมไม่มีหนังสือ (เรื่อง V) อยู่กับตัวแล้ว แต่การได้เห็นหน้ากากไปทั่วทุกทีทำให้ผมนึกถึงตัวผลงาน พยายามหาคำตอบว่าทำไมมันถึงเข้าไปฝังอยู่ในจินตนาการของมวลชน"
เขามองเห็นความสอดคล้องคู่ขนานกันระหว่างโลกปัจจุบันกับโลกอันเลวร้ายที่เขาทำนายไว้ในเนื้อเรื่อง เรื่องของเขาทำนายถึงการติดตั้งกล้องวงจรปิดตามท้องถนนในเมือง ในขณะเดียวกันนั้นเองเขาก็รู้สึกพอใจที่โครงเรื่องของเขาดูจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อต้านในโลกอินเตอร์เน็ต ทำให้เกิดกลุ่มอย่าง Anonymous และ วิกิลีกส์ของอัสซาจ ซึ่งถือเป็นผู้การประท้วงต่อต้านตัวสำคัญ "เหตุผลหนึ่งที่ V สามารถล้างบางรัฐบาลในเนื้อเรื่องได้สำเร็จเพราะว่ารัฐบาลในเรื่อง V for Vendetta ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบรวมศูนย์ข้อมูล ซึ่ง V สามารถแฮ็กเข้าไปได้ มันไม่ใช่แนวคิดที่เห็นภาพได้ง่ายสำหรับปี 1981 แต่มันก็เป็นแนวคิดที่น่าจะทำให้เรื่องราวสมบูรณ์ได้" มัวร์ไม่ใช่คนที่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ "นี่เป็นสิ่งที่ผมแต่งขึ้นมาเอง เพราะผมต้องการสร้างเรื่องราวการผจญภัยที่น่าสนใจ 30 ปีต่อมาคุณก็พบว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับคุณ"
มัวร์ยังชี้ให้เห็นอย่างระมัดระวังตัวว่า "ผมเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวโยง หรืออ้างความเป็นเจ้าของในสิ่งที่ผู้ประท้วงกำลังกระทำอยู่ แล้วผมก็ไม่ได้บอกว่าผู้คนเหล่านี้เป็นแฟนๆ ของผม หรือของเรื่อง V for Vendetta" สุดท้ายแล้วการนำหน้ากาก V มาใช้อาจจะเป็นเพราะแค่ "มันดูเท่ดี ผมไม่ได้อยากจะเรียกร้องความเป็นเจ้าของใดๆ"
มัวร์ทราบดีว่า เคยมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นเมื่อเรื่องแต่งของเขาลามออกไปไกลกว่าแหล่งของมัน เมื่อปีที่แล้ว ชายผู้มีปัญหาทางจิตในฟลอริดาออกไล่ยิงคนในโรงเรียน แล้วใช้สีสเปรย์พ่นสัญลักษณ์ตัว "V" ไว้บนกำแพง (ซึ่งตรงกับลักษณะของสัญลักษณ์ที่ปรากฏในการ์ตูนและภาพยนตร์เรื่อง V for Vendetta) จากนั้นเขาจึงฆ่าตัวตาย
"มันเป็นตอนที่เลวร้าย ไร้สาระมาก" มัวร์บอก "แล้วก็มักจะ...บอกว่าในตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีส่วนรับผิดชอบ แต่ก็..." ดูเหมือนมัวร์จะยังคิดไม่ตกในเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังเชื่อว่าหน้ากาก V จะยังคงเป็นเครื่องมือของการประท้วงโดยสันติ "ในตอนนี้ ผู้ประท้วงในสายตาผมมีแนวทางการเคลื่อนไหวในเชิงศีลธรรมชัดเจนมาก พวกเขากำลังต่อต้านรัฐที่งี่เง่า รวมถึงธนาคาร พวกบรรษัท และเหล่าผู้นำทางการเมืองทีนำเรามาถึงตรงนี้ด้วย"
ด้านเดวิด ลอยด์ นักเขียนการ์ตูนผู้ร่วมสร้างผลงาน V for Vendetta บอกว่าเขาได้ไปร่วมการประท้วงในนิวยอร์กเพื่อดูว่าผู้ประท้วงใช้หน้ากาก V อย่างไร เขามองว่าการขยายผลจากเรื่องราวของมัวร์เป็น "เรื่องที่ดีที่เอาไว้เล่าในผับแถวบ้าน" ตัวเขาเองไม่ได้ใส่หน้ากาก ("มันคงดูแปลกจริงไหม?") แต่เขาก็มีใจให้ผู้ประท้วง เขารู้สึกภูมิใจกับการที่ประชาชนมากมายสร้างบรรยากาศเร่าร้อนได้ขนาดนี้ แม้ว่าอาจจะไม่ถึงขั้น "99%" แต่ก็เป็นกลุ่มคนจำนวนมากที่มองยากจะมองข้าม
"มันจะดีกว่าถ้าพวกผุ้มีอำนาจยอมรับปรากฏการณ์ใหม่นี้ เพราะเรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นระลอกคลื่น มันดีกว่าถ้าเราจะตามกระแสคลื่นไป ไม่ใช่พยายามทวนกระแสย้อนกลับ เหมือนทางเลือกของหษัตริย์คานุท ผมหวังว่าผู้นำโลกจะมองเห็นตรงจุดนี้" ลอยด์กล่าว
ย้อนกลับไปในยุค 80s ช่วงที่ตอนจบของเรื่อง V for Vendetta ที่มีความยาว 38 ตอนใกล้เข้ามา มัวร์พยายามอย่างหนักในการหาคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว V เพื่อนำมาตั้งเป็นชื่อตอนสุดท้าย เขาเคยใช้มาแล้วทั้งคำว่า เหยื่อ (Victim) วาวเดอวิลล์ (Vaudeville) การล้างแค้น (Vengeance) ตัวร้าย (the Villian), เสียง (the Voice) สาบสูญ (the Vanishing) ความผันผวน (Vicissitude) และ ความสับสน (Verwirrung-ภาษาเยอรมัน) "ตอนนั้นผมอับจนความคิดมาก" มัวร์บอก
จนในที่สุด เขาก็ตกลงปลงใจกับคำว่า Vox populi หรือ "เสียงของประชาชน" มัวร์กล่าว "แล้วผมคิดว่าถ้าหากหน้ากาก V จะเป็นการแสดงจุดยืนใดๆ ในบริบทนี้ล่ะก็ มันคือการย้ำว่า นี่คือประชาชน ตัวตนลึกลับที่ถูกนำมาใช้อยู่บ่อยๆ...นี่คือประชาชน"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++