ฝากน้าแคว๊ต โดยเฉพาะ
http://oakleysociety.com/index.php?module=News&file=view&id=4Detail
• มูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทมากกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ *
• ยอดขายเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20% และเคยสูงถึง 250% เมื่อปี 1998 *
• ครอบครองส่วนแบ่งตลาดมากถึง 60% ของตลาดแว่นกันแดด *
• ราคาของแว่นตาเริ่มต้นจาก 60 เหรียญ *
• เมื่อ 24 เดือนที่แล้ว OAKLEY ขยายสายการผลิต โดยมีเสื้อผ้าแนว Active Clothing รองเท้า และรูปแบบนาฬิกาแห่งอนาคต *
• และถ้าคุณยังไม่รู้...........นักกีฬาชั้นนำแทบจะทุกประเภททั่วโลกกว่า 90% รวมทั้งสุดยอดนักเทนนิสของไทย เลือกใช้แว่นตา OAKLEY ราวกับให้มันเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนความ Aggressive ในตัวเอง *
• นี่คือเรื่องราวการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่ได้ชื่อว่าดุดัน และอัดแน่นไปด้วยกระบวนการด้าน Design และ Identity มากที่สุด ทั้งๆที่มันมีจุดเริ่มต้นมาจากกริพจักรยานธรรมดาๆ เท่านั้น *
• OAKLEY เคยล้มเหลวแบบไม่เป็นท่า ในขณะที่ก้าวขึ้นมาถึงจุดสูงสุด พวกเขาพังเพราะความร่วมมือกับหุ้นส่วนใหม่ ที่ตั้งเป้าเพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แต่สุดท้าย OAKLEY กลับคืนสู่สถานะเดิมได้ใหม่ ด้วยการซื้อหุ้นคืนและยกเลิกแผนเข้าตลาด *
นี่คือ Brand ที่ทรงอิทธิพล ซึ่งทำให้คนที่คลั่งไคล้และรอ “ลอกเลียนแบบ” มากที่สุด Brand ที่ให้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี จินตนาการ และงานออกแบบ รวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่บ่อยครั้งนักที่คุณจะได้สัมผัสถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน DESIGN BUNKER แห่งนี้ ที่ๆคนภายนอก เชื่อว่ามันเต็มไปด้วยความลึกลับและปริศนา ราวกับว่ามันคือ “Area51”
OAKLEY อาจจะเรียกได้ว่า เป็นสินค้าเพียงไม่กี่ Brand ในโลกนี้ ที่ให้ความสำคัญต่อการสร้างรายละเอียด ในแทบทุกจุด ทุกมุมของสินค้า เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบมากที่สุด เท่าที่นักออกแบบคนหนึ่งจะทำได้ ตั้งแต่ขั้นตอนของกระบวนการเมื่อเริ่มค้นการออกแบบ การพัฒนาแนวคิด การแสวงหาเทคนิคใหม่ๆ ที่ยังไม่มีใครคิดค้น หรือคาดไม่ถึง มาใช้กับผลิตภัณฑ์เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการฉีด Titanium, แมกนีเซียม, Unobtanium, Ballistic Kevlar หรือ การทำให้เลนส์ของแว่นตามีค่าความแม่นยำสูงเมื่อมองจากทุกมุม รวมถึงกระบวนการ Design ที่ทั้งหลอกและเล่นในความเป็น OAKLEY โดยยังคงคาแร็คเตอร์ของความดุดันเอาไว้เช่นเดิม การคิด การเลือกเทคนิคการผลิตอย่างสุดขอบวิทยาการนี่เอง ที่กลายมาเป็นจุดขาย และเป็นเครื่องหมายการค้าที่สร้าง Brand OAKLEY ให้แข็งแกร่งขึ้นมาในตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงแขนงหนึ่ง
ระบิดลูกแรกที่ทำให้ OAKLEY กลายเป็น Brand ที่ได้รับการต้นรับจากสาธารณชนอย่างครึกโครม นั่นคือ การก้างกระโดดข้าม Ray Ban ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดของแว่นตากันแดดในมูลค่าสูงถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน OAKLEY ได้กลายเป็น Brand ที่กำลังจะครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 1000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แม้ว่าช่วงเริ่มต้น หลายคนมองว่า มันเป็นการดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง แต่ OAKLEY ก็ตัดสินใจทำมันโดยปราศจากความลังเลและเชื่อว่ามันเป็นไปได้
บางคนบอกว่ามันเป็น “Design ที่มากเกินไป” และ “ไม่จำเป็น” หรือไม่....ก็บอกว่า “ใครจะไปสน” สิ่งที่ OAKLEY สร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่แว่นตากันแดดธรรมดา แต่มันต้องเป็นที่สุดแห่งจินตนาการ และความเป็นงาประติมากรรมชิ้นเอก ที่ยังไม่มีใครเคยคิดทำมาก่อน นั่นเปรียบเสมือนปรัชญาการออกแบบของ OAKLEY ที่ COLLINS BADEN : Chief Designer บอกกับทีมออกแบบที่มีอยู่ร่วม 200 ชีวิต เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพของ positioning ที่ว่า “We are not normal.”
สินค้าที่มีเครื่องหมายการค้า ได้เกิดมาภายใต้ Design ที่มาจากความทันสมัยของการออกแบบด้วยแสงเลเซอร์ คลื่นวิทยุ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สินค้าทุกตัวสร้างมาด้วยโปรแกรม CAD/CAM เมื่อสร้างต้นแบบขึ้นมาได้แล้ว มันจะถูกนำไปทดสอบด้วยเครื่อง SPECTROPHOTOMETERS และเครื่อง ANSI Z8.1 IMPACTING เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำสูงสุด จากนั้นต้นแบบที่ได้ จะถูกส่งไปทดสอบโดยนักกีฬาชั้นนำระดับโลกตามชนิดของแว่นตาที่ถูกออกแบบขึ้น มาโดยเฉพาะ
JIM JANNARD ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท OAKLEY ได้เคยกล่าวไว้ว่า “เราสร้างทีมที่เจ๋งที่สุดขึ้นมา เพราะเราตื่นเต้นกับการที่จะได้เห็นว่ามันก้าวเดินไปข้างหน้า ตื่นเต้นที่จะได้เห็นความเป็นไปได้ที่กำลังจะเกิดขึ้นบนจุดยืนทางธุรกิจที่ เราเป็นอยู่” นั่นคือการที่ OAKLEY ได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 1000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และที่มากไปกว่านั้นก็คือ OAKLEY กลายเป็นบริษัทมหาชน
ถ้าหากคุณจำได้ นี่คือแว่นตาต้นแบบแห่งอนาคต ที่นักกีฬาชั้นนำสวมใส่มันในการวิ่งแข่งระยะสั้น เมื่อครั้งโอลิมปิคที่ซิดนีย์ปี 2000 มันถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษและเชื่อมเข้ากับร่างกาย ราวกับเป็นอวัยวะชิ้นเดียวกัน เลนส์ที่ทำหน้าที่ตัดแสงที่ฟุ้งกระจายและเพิ่มความชัดเจนของสีพื้นลู่วิ่ง ขณะที่ลักษณะทางกายภาพของมัน ทำหน้าที่ลดแรงต้านของลมที่เกิดขึ้น คุณจะไม่รู้สึกว่าสวมใส่อะไรอยู่เลย เมื่อกล้ามเนื้อต้นขาสู่ สปีดสูงสุด
ที่สำคัญ Skin Head คือทรงผมเพียงทรงเดียวเท่านั้น หากคุณคิดที่จะตัดสินใจใช้มัน ว่าแต่คุณ “แรง” พอหรือเปล่าแม้ว่าในปีที่แล้ว ทาง Nike จะได้เริ่มงานออกแบบแว่นตารุ่นใหม่ขึ้นมา ทว่า LANCE ARMSTRONG ก็ยังคงเลือกที่จะใช้แว่นตาของ OAKLEY ในการลงแข่งขันจักรยานทางไกล ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ที่ฝรั่งเศส จนคว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 6 ติดต่อกัน และเพิ่งจบไปไม่นานกับมหกรรมกีฬาโอลิมปิคปี 2004 ที่เอเธนส์ คุณลองเดาดูซิว่า นักกีฬาชั้นนำกว่า 90% สวมใส่แว่นตายี่ห้ออะไร
JIM JANNARD ครีเอทีฟปฏิวัติผู้ฝ่าทะลายกำแพงแห่งแบบแผน
ปี ค.ศ.1975 JIM JANNARD ในวัย 25 ปี ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนที่สอนทางด้านเวชภัณฑ์และการปรุงยาใน USC เขาเริ่มต้นอาชีพใหม่ด้วยการเป็นเซลล์ขายชิ้นส่วนอะไหล่มอเตอร์ไซด์และรถ ยนต์ Honda Civic แต่ความเป็น JANNARD คือการไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ความสามารถพิเศษที่เขามีติดตัวมาตั้งแต่วัยเด็กก็คือ “จินตนาการ” ที่ก้าวไปข้างหน้า เขาสามารถเขียนภาพของชิ้นส่วนรถยนต์แล้วนำไปดัดแปลงสร้างเป็นบอลลูนได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะคิดค้นผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต ในความเป็น OAKLEY โดยมีจุดเริ่มต้นจากการออกแบบกริพจักรยาน
ด้วยเอกลักษณ์ของประดิษฐกรรมที่ไม่เหมือนใคร กริฟจักรยานของเขา ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา ก้าวที่สองของ JANNARD เขาเริ่มมองหาทิศทางสำหรับการทำสินค้าตัวใหม่ สุดท้าย เขาก็ได้พัฒนาหน้ากากสำหรับการขับขี่มอเตอร์ไซด์ในแบบโมโตครอส ซึ่งต่อมามันถูกพัฒนามาเป็นหน้ากากกันหิมะ ภายใต้เครื่องหมายการค้า OAKLEY
คุณสมบัติพิเศษของมันคือ สามารถลอกแผ่นฟิล์มบนแว่นตาออกได้ทันทีที่มีคราบเศษดิน หิมะ หรือโคลนมาเกาะติด โดยที่นักแข่งไม่ต้องเสียเวลามาเช็ดทำความสะอาด
งาน Design ของ OAKLEY ทุกอย่าง อัดแน่นไปด้วยเหตุผลทางการ Design และคุณสมบัติในการใช้งาน จนกระทั่ง JANNARD ก็คิดได้ว่า “ทำไมเราไม่สร้างวัสดุที่มีคุณสมบัติเดียวกับที่เคลือบบนเลนส์ของหน้ากากกัน หิมะ ติดไว้ที่แว่นตากันแดดเสียเลย”
แว่นตากันแดดในระยะแรกของ OAKLEY ที่ลักษณะเด่นที่เลนส์เลขาคณิต พร้อมกับลักษณะภายนอกที่โฉบเฉี่ยว ดุดัน น่าเกรงขาม JANNARD ได้จดสิทธิบัตรของมันตั้งแต่เริ่มแรก เขาได้ใช้เทคโนโลยีทางการออกแบบเข้าช่วยเพื่อชดเชยลักษณะการบิดเบือนของการ รับภาพทางสายตา เลนส์ต้นแบบชุดแรกมีรูปทรงโค้ง ทำหน้าที่เป็นเหมือนโล่กำบังสายตา แต่มีความแม่นยำในการรับภาพที่สูง มันเป็นแม่แบบที่เต็มไปด้วยความงดงามทางสุนทรียะศิลป์ซึ่งเรียกว่า BLADES และ RAZAR BLADES และมันก็ยังเป็นต้นแบบในการพัฒนาแนวคิดของแว่นตารุ่นต่อๆมา
นอกเหนือไปจากความโดดเด่นของแว่นตาแล้ว นาฬิกาเป็นอีกงานออกแบบที่สะท้อนคาแรคเตอร์ของ OAKLEY ในแบบ Aggressive Design ได้อย่างชัดเจน แนวคิดการออกแบบนาฬิกายังคงถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความโดดเด่นที่สัมผัสได้จากภาพลักษณ์ภายนอก วัสดุที่ใช้ ความคิดสร้างสรรค์ที่เล่นกับความหมายของคำว่า “เวลา” กลิ่นอายของความเป็นวิทยาศาสตร์ และแนวคิดที่ถูกพัฒนามาจากภาพยนตร์ ฮอลลีวู๊ด ซึ่งทำให้นาฬิกาของ OAKLEY ทุกเรือน มีเบื้องหลังและที่มาของการออกแบบ โดยดีไซน์เนอร์จะเพิ่มระดับความมันส์ในการออกแบบขึ้นเรื่อยๆ
ปี 1991 OAKLEY ได้นำเอานวัตกรรมล่าสุดของการออกแบบเลนส์แว่นตาในขณะนั้น ก็คือผลงานการออกแบบเลนส์คู่ Dual Lens ในแบบ Wraparound Style หรือ Eye Jacket ออกมาสร้างกระแสความฮือฮา Eye Jacket เป็นแว่นตารุ่นที่เสนอความสุดยอดของช่างฝีมืออย่างแท้จริง อย่างที่ไม่เคยปรากฏในวงการอุตสาหกรรมแว่นตากันแดดมาก่อน มันเป็นแว่นตากันแดดคู่แรกที่ได้รับอิทธิพลจากข้อมูลและเทคนิคการออกแบบด้วย คอมพิวเตอร์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ หรือการแสวงหาเทคโนโลยีอย่างบ้าระห่ำของ JANNARD ที่ทำให้ OAKLEY สามารถสร้างพัฒนาการเทคนิคของการสร้างกรอบแว่นและเลนส์ ที่มีความประณีตสลับซับซ้อน ควบคู่ไปกับวัตถุดิบชนิดใหม่ๆ ที่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตอยู่ตลอดเวลา
เทคโนโลยีของ OAKLEY ถูกพัฒนาขึ้นมานั้นยากที่จะเข้าใจและไม่สามารถที่จะอธิบายได้ทั้งในแง่ของ วัตถุดิบและวิธีการผลิต เนื่องจากมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกของแว่นตาหรือนาฬิกา เทคโนโลยีชั้นสูงที่ OAKLEY ได้สร้างขึ้นมามีตั้งแต่ Unobtainium, Polaric Ellipsolid, Ear Sock, Plutonite, XYZ Optics, X Metal, X Matter, Earstem และ Nose Bomb
คู่แข่งของ OAKLEY ยังมีความล้าหลังมาก เทคโนโลยีบางอย่างที่ทาง OAKLEY ไม่ได้ทำการผลิตแล้ว ก็มีบางบริษัทนำไปปรับปรุงและพัฒนาต่อ อย่างเช่นเทคโนโลยีที่เรียกว่า Arcofacy Linder ซึ่งเป็นเทคนิคการทำเลนส์ชนิดพิเศษที่ทาง Baush & Lamb ได้นำไปพัฒนาต่อจนทำให้สินค้าตัวนี้ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ใช้เป็นอย่าง มาก และนั่นก็หมายความว่า Boush & Lamb จำเป็นจะต้องจ่ายในราคาแพง
เทคโนโลยีที่แสดงความเป็นสุดยอดของ OAKLEY ก็คือผลงานการออกแบบเลนส์ชนิดพิเศษที่มีชื่อว่า Polaric Ellisoid ที่ไม่มีบริษัทใดในวงการแว่นตาสามารถคิดค้นหรือลอกเลียนแบบความพิเศษของ เลนส์ชนิดนี้ได้ ความพิเศษของมันเริ่มจาก มุมมองของเลนส์จะปรับเปลี่ยนไปตามมุมต่างๆได้ ทั้งมุมตั้งมุมนอนและมุมเฉียง มีการนำเอาความพิเศษทางธรรมชาติที่เป็นลักษณะเฉพาะของฉลามและสัตว์อื่นๆมา ดัดแปลง เพื่อปรับแต่งให้แว่นตาชนิดนี้ใส่ได้ทุกเวลาทุกสถานที่ โดยที่ผู้สวมใส่จะไม่รู้สึกปวดหัวหรือเวียนศีรษะเหมือนกับแว่นชนิดอื่น นอกจากนี้มันยังป้องกันรังสียูวีและยังช่วยถนอมกล้ามเนื้อตา ไม่ให้เกิดการอักเสบขณะแสงจ้า เพราะเลนส์จะสามารถปรับสภาพแสงและความคมชัดได้ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะอยู่ในที่มืดหรือกลางแดด รวมถึงความสามารถในการป้องกันเศษฝุ่น น้ำ หรือไอระเหยของสารเคมีที่ลอยมาในอากาศ
ในระยะที่ผ่านมา OAKLEY มีการจอสิทธิบัตรสินค้ากว่า 800 ชนิด และมีสินค้าอยู่มากกว่า 600 รายการ เมื่อเปรียบเทียบกับ Ray Ban ที่มีอายุนานกว่าถึง 26 ปี ซึ่งมีเพียง 155 ชิ้นเท่านั้น จะเห็นได้ว่ามันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
เดือนมกราคมปี 2002 Private Pilot Magazine ซึ่งเป็นนิตยสารที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางด้านการบิน ได้ทำการทดสอบคุณสมบัติของเลนส์แว่นตา โดยใช้เจ้าหน้าที่ของห้องแล๊บ่สวนตัว และคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้านสายงานทางการตลาดของบริษัทผู้ผลิตแว่นตา โดยการทดสอบนี้ ทางแล๊บได้ทดสอบแว่นตา 4 ยี่ห้อด้วยกันก็คือ REVO, RAY BAN, RUDY และ OAKLEY พบว่าไม่แว่นตาชนิดที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับคุณสมบัติพิเศษที่มีในแว่น OAKLEY โดยเฉพาะในรุ่นที่เลนส์ถูกออกแบบขึ้นมาจาก โพลีคาร์บอเนต หรือธาตุพลูโทเนียม ซึ่งให้คุณสมบัติพิเศษในเรื่องความแข็งแรง แต่มีน้ำหนักที่เบา ยังไม่นับรวมคุณสมบัติด้านอื่น ที่ถูกบรรจุอยู่ภายในที่ทาง OAKLEY ยังคงปิดบังไว้เป็นความลับทางด้านการออกแบบ
ปัจจุบัน OAKLEY มีเครื่องหมายการค้า ซึ่งแบ่งแยกกลุ่มเป้าหมาย และแตกสายการผลิตอยู่ร่วม 50 ประเภท ซึ่งทุกแบรนด์ยังคงตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า “สุดขอบจิตนาการ” และ “สุดขอบวิทยาศาสตร์” ดีกรีความเข้มข้นมีตั้งแต่เรียบง่ายไปจนถึงที่ใช้คำว่า “Warning” “Caustion” หรือ “Mad Science” กำกับไว้
COLLINS BADEN ระเบิดลูกที่สองของ OAKLEY
BADEN มาปักหลักกับ OAKLEY ด้วยความเต็มใจ เขาสร้างความประหลาดใจให้กับ JANNARD เป็นอย่างมากเมื่อตอนเริ่มต้น ในปี 1993 BADEN เป็นหุ้นส่วนของบริษัทสถาปนิกแห่งหนึ่งอยู่ที่ Bellevue วอชิงตัน เขาได้พบกับผู้ก่อตั้ง OAKLEY ผู้กำลังมองหาสถาปนิกเพื่อออกแบบบ้านพักแห่งใหม่ของเขา JANNARD ส่งแบบร่างของบ้านที่เขาต้องการ ซึ่งมันได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์เรื่อง Blade Runner ให้กับ BADEN ในอีก 45 นาทีต่อมา BADEN ก็สร้างรูปแบบบ้านทรงปิระมิดตัดครึ่ง โดยมีขบวนรถไฟวิ่งอยู่ด้านบน ให้ JANNARD ดูจินตนาการอันสุดยอดบวกกับลูกบ้าของอีกฝ่าย ทำให้คนทั้งคู่เข้าขากันได้เป็นอย่างดี
สองปีให้หลัง พิมพ์เขียวสำนักงานใหญ่ของ OAKLEY ภายใต้แนวคิดการออกแบบของ BADEN ก็ปรากฏโฉมออกมา และในปี 1996 สถาปนิกคนนี้ ก็กลายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบสร้างสรรค์คนใหม่ของ OAKLEY
“ทุกๆสิ่งที่ OAKLEY คิด.. มักจะต้องมีการเลียนแบบเกิดขึ้นมา”
นั่นคือบทสรุปที่ทำให้เห็นภาพอย่างชัดเจนของ GREGG WEEKS ที่ปรึกษาทั่วไปของ OAKLEY ปีที่แล้ว OAKLEY ผลิตกรอบแว่นตาออกมาราว 3 ล้านอัน โดยมีของเลียนแบบที่ผลิตออกมาจากที่ต่างๆทั่วโลกอีกประมาณ 1 ล้านอัน
อุตสาหกรรมการผลิตแว่นตากันแดด ถูกหวดกระหน่ำอย่างหนักจากกลยุทธ์การออกคอลเล็คชั่นใหม่ของ OAKLEY ที่ถูกดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนคู่แข่งบนเส้นทางธุรกิจ ปรับตัวเองและกระบวนการ R&D ไม่ทัน เมื่อการรอคอยเป็นสิ่งใช้ไม่ได้ หลายบริษัทต้องเลือกวิธีการที่ง่ายกว่านั้น นั่นคือ การเดินสายตามกระแสของคนที่ประสบความสำเร็จซึ่งเดินอยู่ข้างหน้า
OAKLEY เคยยื่นฟ้องศาลต่อกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ของบริษัทน้อยใหญ่ ที่ทำการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ ภายใต้เครื่องหมายการค้า และบริษัทได้รับชัยชนะมากกว่า 100 คดีแล้ว บริษัทของ JANNARD เคยมีปัญหาเรื่องนี้ แม้แต่กับบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬารายใหญ่ โดย OAKLEY กล่าวว่า บริษัทดังกล่าวที่เป็นน้องใหม่ในตลาดอุตสาหกรรมแว่นกันแดด ลอกเลียนแบบแว่นตาลิขสิทธิ์รุ่น XYZ Design รวมถึงกลิ่งใส่แว่นตารุ่น RV8 และ RV12 ตาทนายความของอีกฝ่าย ออกมากล่าวว่า ลิขสิทธิ์ดังกล่าวไม่มีผลบังคับใช้ เพราะลักษระทางการออกแบบนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการออกแบบโดยทั่วไป
ตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา JANNARD ก็ได้เลื่อนลำดับขั้นเข้าไปอยู่ในทำเนียบของมหาเศรษฐี ผู้เติบโตก้าวขึ้นมาอย่างร้อนแรง ซึ่งมันตรงข้ามกับการใช้ชีวิตที่เขาเป็น เขาอาศัยอยู่กับภรรยาอย่างสันโดษเพียง 2 คน บนเกาะแห่งหนึ่งในหมู่เกาะ San Juan รัฐวอชิงตัน เขาเข้ามาสำนักงานที่บริษัท OAKLEY สัปดาห์เว้นสัปดาห์ด้วยเครื่องบินส่วนตัว เขาปฏิเสธที่จะถ่ายรูปและเกือบจะไม่ให้สื่อมวลชนใดๆ เข้าทำการสัมภาษณ์เลย เมื่อบริษัท OAKLEY เปิดร้านแห่งใหม่ที่เรียกว่า “O Store” สาขาใหม่ใน So Call Mall, JANNARD ก็ได้ปรากฏตัวที่นั่น พร้อมกับสวมหน้ากากกันแก๊สพิษ เขากล่าวสุนทรพจน์ผ่านโทงโข่งและเครื่องขยายเสียง และนั่นคือภาพตัวตนที่แท้จริงของเขา
Design Bucker หรือศูนย์ใหญ่ของ OAKLEY ตั้งอยู่ที่ฟุตฮิล แคลิฟอร์เนีย ภายในห้องรับรอง ถูกตกแต่งด้วยเก้าอี้ดีดตัวของนักบิน ซึ่งนำมาจากเครื่องบิน B52 พนักงานของที่นี่ต้องมีบัตรผ่านเพื่อความปลอดภัย หลายส่วนของบริษัทห้ามบุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชม เพราะทาง OAKLEY ต้องการเก็บทุกอย่างให้เป็นความลับมากที่สุด และมีการแยกโรงงานที่ทำหน้าที่ผลิตชิ้นส่วนเอาไว้ในหลายพื้นที่ เช่น โรงงานที่ทำหน้าที่ผลิตวัสดุที่เรียกว่า Unobtainium หรือ O Matter จะถูกแยกในพื้นที่ทะเลทราย สำหรับโรงงานที่ทำหน้าที่ผลิตเลนส์แบบพิเศษ จะอยู่ในเขตพื้นที่ของฝรั่งเศส
ที่ผ่านมามีนิตยสารหลายฉบับ พยายามสืบหาข้อมูลของแว่นตารุ่นใหม่ที่กำลังจะถูกผลิตออกมา อย่างเช่น การตีพิมพ์ภาพสเก็ตแว่นตาของ OAKLEY ที่มีโทรศัพท์และหูฟังติดอยู่ และมีเลนส์เป็นตัวบอกข้อมูลขนาดย่อม หลังจากภาพนี้หลุดออกไปไม่นาน ภาพยนตร์ดังของฮอลลีวู๊ดเรื่อง Mission Impossible 2 ก็ได้นำภาพของ Tom Cruise ที่สวมใส่แว่นตารุ่น ROMEO 1 X Metal ซึ่งเป็นรุ่น Top สุดของ OAKLEY ออกเปิดเผย เช่นเดียวกันกับภาพยนตร์เรื่อง Triple X ที่ Vin Diesel ได้สวมแว่นรุ่น X-RAY พร้อมทั้งสะพายกระเป๋าของ OAKLEY เกือบตลอดเรื่อง ทั้งภาพยนตร์เรื่อง Black Hawk Down ที่ Eric Bana ได้สวมใส่แว่นตารุ่น JULIET X METAL RUBY และภาพยนตร์เรื่อง X-MEN ที่ Cyclops สวมใส่แว่น Juliet X Metal และ Penny X Metal ในภาคต่อมา สิ่งที่น่าสนใจที่สุดไม่ได้มีแค่โครงการความร่วมมือที่เกิดขึ้นกับวงการภาพ ยนตร์ฮอลลีวู๊ดเท่านั้น แต่ที่สื่อมวลชนให้ความสนใจมากที่สุดนั่น อยู่ที่โครงการความร่วมมือพิเศษในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับทหาร ระหว่าง OAKLEY และกองทัพสหรัฐฯ หน่วยพิเศษที่เรียกว่า SOF หรือ Special Operation Forces ที่ช่วยสร้างคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งจำเป็นในขณะทำการออกรบหรือลาดตระเวน สินค้าหลายชิ้นมีวางจำหน่ายจริง แต่ก็มีอีกหลายชิ้นที่ทาง OAKLEY ยังคงปิดเป็นความลับกับทางกองทัพต่อไป...............................
ที่มา...ICT Magazine…