ได้เวลาเตรียมออกเดินทาง จุดหมาย วัดป่าดานวิเวก ต.สีชมพู อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย
โชคดีร่ำรวย
หลวงปู่ทุย เป็นชาวอุบลราชธานีโดยกำเนิด ไปเติบโตที่อ.สว่างดินแดน จังหวัดสกลนคร บวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุยังน้อย สมัยบวชเรียนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นรุ่นน้องของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งหลวงตามหาบัวเป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ที่มีปฏิปทาของพระป่าในสมัยโบราณที่ถือธุดงควัตร 13 อย่างแน่นแฟ้น และเป็นผู้ปกปักรักษาป่าอย่างถวายชีวิต ซึ่งหลวงปู่ทุยได้เจริญรอยตาม หลังจากที่หลวงตามหาบัวสร้างวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ท่านก็มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่ง
หลวงปู่ทุยได้ประมวลเรื่อง "พระป่า สมัยกรุงรัตนโกสินทร์" ไว้ตอนหนึ่งว่า พระธุดงคกรรมฐาน ประมาณปี พ.ศ.2500 ป่าเขาลำเนาไพรได้ถูกทำลายลง ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งเคยเป็นสถานที่บำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรม ถูกทางกฎหมายบ้านเมืองครอบครอง จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะเป็นยุคเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์โลกาธิปไตยทั่วโลกดินแดน ทรัพยากรที่สำคัญๆ ซึ่งเป็นที่สัปปายะ ถูกทำลาย.ให้ลดน้อยลง เนื่องจากคนเกิดเป็นจำนวนมากๆ ไม่มีมีที่อยู่อาศัยหาเลี้ยงชีพโดยพระธุดงค์สายพระอาจารย์มั่น เป็นพระป่านิสัยชินกับหลักธรรมชาติ ตามนิสัยของท่านรักธรรมชาติมาก ท่านจึงชอบสงวนที่ป่าเขาลำเนาไพร มีมากมีน้อยท่านไม่ค่อยทำลาย
หลังจากท่านฝึกกรรมฐานจนสำเร็จ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล จ.อุดรธานี (ปัจจุบันคือ จ.หนองบัวลำภู ) ก็แนะนำให้ท่านธุดงควัตรมาที่ดงสีชมพูนี้เมื่อปี 2509 ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่สีแดงที่คอมมิวนิสต์ยึดครองอยู่ ท่านอยู่ที่นี่ได้สองปีก็ตั้งวัดป่าดานวิเวกขึ้นในปี 2511 ชื่อของวัดมาจากพื้นที่แห่งนี้เป็นดานหินทราย ส่วนชื่อที่เป็นทางการคือวัดแสงอรุณ
ภายในบริเวณวัดประกอบด้วยพื้นที่ป่าหลายส่วนรวมกัน 2,400 ไร่ ส่วนพื้นที่ของวัดเองประมาณ 14 ไร่ เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เช่าโดยถูกต้องตามกฎหมาย รวมกันพื้นที่ของกรมป่าไม้ที่ให้วัดดูแลอีก 700 ไร่ และพื้นที่สปก.อีก 1,400 ไร่ เดิมเป็นพื้นที่ซึ่งชาวบ้านปลูกมันสำปะหลัง แล้วกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม ก็ยกให้หลวงปู่ทุยดูแล ท่านก็ชวนชาวบ้านใน 3 ตำบล อ.โซ่พิสัย ปลูกป่าใหม่ขึ้นมา ทั้งไม้ประดู่ ชิงชัง เต็ง รังจนไม้เติบใหญ่ขึ้นเป็นป่าใหม่อายุ 14 ปีแล้ว
พื้นที่ทั้งหมดนี้ท่านถวายเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในหลวงทรงครองราชย์ 60 ปี ให้เป็นพื้นที่สาธารณะที่ชาวบ้านทุกคนจะได้ช่วยกันดูแล นอกจากนี้ท่านยังหาแหล่งน้ำให้ชาวบ้านไว้ใช้ในการเกษตรอีกด้วย
สำหรับวัดป่าดานวิเวกไม่มีสิ่งก่อสร้างใดนอกจากศาลาใหญ่หลังหนึ่งและกุฏิที่อยู่ห่างๆ กันไปเท่าที่จำเป็น อาสนะของพระสูงกว่าพื้นดินเพียงคืบเดียว หลวงปู่ทุยท่านมีปฏิปทาว่าจะไม่สร้างวัตถุถาวรใดๆ เกินความจำเป็น มุ่งปลูกป่าอย่างเดียว
กฎข้อหนึ่งในสิบข้อของวัดนี้คือห้ามตัดไม้ใดๆ จนกว่าไม้นั้นจะล้มเองจึงนำไปใช้ประโยชน์ได้ และการใช้ประโยชน์จากไม้นั้นต้องเป็นไปเพื่อสาธารณะประโยชน์เท่านั้น คือนำไปใช้ในการทำศาลา โรงเรียน สะพาน แล้วแต่ชุมชนนั้นจะช่วยกันพิจารณา
ปกติ วัดป่าดานวิเวกจะมีการทำบุญประทายข้าวเปลือกเพียงปีละครั้งเท่านั้น ในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี โดยที่ชาวบ้านจะนำข้าวเปลือกมาทำบุญร่วมกันแล้วถวายพระโดยไม่ต้องใช้เงิน ประเพณีนี้กำนันสัญญาเล่าว่า วัดอื่นไม่มี มีที่นี่ที่เดียว หลวงปู่ทุยท่านตั้งใจพาปฏิบัติแบบโบราณ ยึดกับของเก่า ไม่ใช้เทคโนโลยี ท่านบอกว่า เทคโนโลยีเข้ามาจะเป็นผลเสีย คนสมัยนี้วิ่งเร็วเกินตัวเองไปมากอันตราย
กำนันสัญญาเล่าเพิ่มเติมว่า หลวงปู่ทุยท่านไม่ขอรับตำแหน่ง หรือสมณศักดิ์ใดๆ ท่านบอกว่า ขอเป็นพระเฉยๆ ก็พอแล้ว สำหรับพระใหม่ที่จะมาบวชต้องมาอยู่ให้หลวงปู่ทดสอบก่อน 2 เดือน ไม่ได้บวชกันง่ายๆ และเมื่อบวชแล้วท่านให้เดินเท้าเปล่าตลอด พระทุกรูปจึงเท้าหนา และถือบิณฑบาตทุกวัน ไม่มีเว้น นอกจากเจ็บป่วยจริงๆ พระรูปไหนอ้วนท่านจะเรียกไปคุยแสดงว่าขี้เกียจภาวนา
"ขนาดท่านนายกฯ มาบวช ท่านเป็นโรคเก๊าท์ก็ยังเดินเท้าเปล่าบิณฑบาตทุกวัน ไม่ว่าฝนตก หรืออากาศหนาวยังไงท่านก็ปฏิบัติเหมือนพระลูกวัดท่านอื่นๆ "
0 0 0
งานบุญครั้งนี้จึงเหมือนการรวมญาติธรรมลูกศิษย์หลากหลายรุ่นของหลวงปู่ทุยให้มาทำกุศลร่วมกัน โดยมีพิธีทอดผ้าบังสุกุลให้บรรพบุรุษผู้มีพระคุณทั้งหลายที่พลีชีพเพื่อแผ่นดินไทยเป็นจุดรวมใจให้มาพบกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการก่อตั้งวัดนี้มากว่า 40 ปี โดยที่วัดยังคงรักษาความสมถะเรียบง่ายดังเช่นบุราณกาล เพื่อปกป้องผืนป่าผืนสุดท้ายของจ.หนองคายให้คงอยู่