หุๆ...ธรรมชาติ มันก็เป็นของมันอยู่งี้แหละ หนักเบา เป็นธรรมชาติ...........
"คน"เองทั้งนั้น ไปว่าธรรมชาติอย่างงั้นอย่างงี้..........
ปล.ขอบ่นตามประสาคนพอมีอายุน๊ะครับ อ่านเอาฮาเข้าว่า อิๆๆ
ผมผ่านร้อนหนาวมาประมาณ 40 กว่าไปกลางๆ คำนวนกันเอาเอง....
จำได้เลาๆว่า อายุสักสิบกว่า ๆ แม่ผมเกี่ยวข้าวในน้ำ(นาปีทางใต้ เกี่ยวหลังปีใหม่ช่วงหน้าร้อนน๊ะครับ ครั้งนี้ จำเวลาได้ไม่แน่นอน)
ครั้งที่สอง ปี 31 ผมเป็นพลทหาร ไปฝึกภาคสนาม ที่นครศรีธรรมราช(ปีกะทูนล่มนั่นแหละ) ปีนั้น สงกรานต์ฝนหนักเช่นกัน
มาปีนี้.......ท่วมก่อนสงกรานต์นิดเดียว..........
เอากันตาม(ที่คิดเอาเอง) หากว่า คนไม่มากมายเช่นปัจจุบันนี้
คนไม่ปลูกสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก อะไรหลายๆอย่างขึ้นมา......รวมทั้งไม่ทำลายอะไรหลายๆอย่างไปด้วย
น้ำก็คงท่วมนั่นแหละ ใช่ว่าจะไม่ท่วม แต่คนก็จะไม่เดือดร้อน หากว่าคนไม่ไปอยู่..ในบริเวณที่น้ำจะท่วม(55+) อ่านแล้วใครคิดจะด่าแม่ก็ด่าไปน๊ะครับ แต่อย่าด่าให้ผมได้ยิน คริๆๆ
เราอย่าไปคิดเรื่องที่ว่า คนจำเป็นต้องการที่อยู่อาศัยและแหล่งทำกิน น๊ะครับ ยกตั้งใว้ แต่มันก็จะต้องเกี่ยวข้องกันอยู่ เอาเป็นว่า บ้านเราเมืองร้อน อยู่ในเขตมรสุม เป็นป่าเขตร้อน ป่าและภูเขา ธรรมชาติสร้างเอาใว้ ให้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำธรรมชาติ
เมื่อหน้ามรสุม ลมมา ฝนมา ป่ากั้นใว้ เก็บน้ำใว้ แล้วค่อยๆปล่อยลงมา ในฤดูแล้ง เป็นวัฏจักร
(เมืองหนาวไม่มีป่า มีแต่ภูเขาหิน ส่วนมาก มีหิมะเกาะอยู่เมื่อเข้าฟดูหนาว เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน หิมะก็ค่อยๆละลายปลดปล่อยน้ำลงมา)
เป็นอย่างนี้ วนเวียนไปตลอดปี ตามฤดูกาล เฉกเช่นที่เราเข้าใจกันมา
หากแต่เมื่อ...ไม่รู้ใครว่า หลายๆคนว่า โทษกันไปมา ว่ามึงว่ากู ทำโลกร้อน.................
หิมะละลายเร็ว น้ำก็มาก ก็ท่วม เพราะไหลมาเร็วเกิน ที่จะระบายได้ทัน
น้ำก็ระเหย...มาก ก็กลายไปเป็นเมฆมาก เทวดาท่านก็คงขี้เกียจที่จะอุ้มใว้ ก็เลยปล่อยกลับลงมามาก.........ก็ท่วม
มาถึงพื้นดิน ที่น้ำท่วม หากแต่ว่า.... มันมีแต่ต้นไม้ สัตว์ป่าแมลงทั้งหลาย.....มันก็คงไม่มีอะไรเดือดร้อน......ล้มหายตายจากกันไป ก็จบกันแค่นั้น..........
อีทีนี้ ในพื้นที่เหล่านั้น มันดันมามี"คน"อาศัยอยู่ด้วยน๊ะซิครับ ก็เลยเกิดความเดือดร้อนขึ้นมา............
แต่ก่อน..........คนน้อย เขาก็อาศัยกันอยู่เป็นกลุ่มๆไม่มากมายจนเกินไป ส่วนมากแล้วก็จะอาศัย....อิงแอบอยู่กับน้ำครับ สังเกตุดูชุมชนเก่าแก่ อาศัยอยู่ในที่ลุ่มริมน้ำทั้งนั้น เพราะอะไร...
เพราะคนอาศัยน้ำ หล่อเลี้ยงชีวิต น้ำให้เกือบทุกสิ่งที่จำเป็นแก่คน ไม่ว่าทั้งการเดินทาง อาหาร ใช้สอย จิปาถะ.........
กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า..."เรา"อยู่ในเขตมรสุม ยังไงๆก็หนีฝนตก น้ำท่วมไม่ได้ จะมาก จะน้อยก็แล้วแต่ว่า แต่ละปี จะมีพยานาคให้น้ำกี่ตัว 55++
คนแต่ก่อนเขารู้..บรรพบุรุษเรารู้ เขาสร้างบ้านกันอย่างไร........
แต่คนสมัยนี้ อาจจะเถียงว่า จะไปเอาอย่างคนสมัยก่อนได้อย่างไร....ผล ก็เดือดร้อนกันทุกถ้วนหน้า ผมเองก็โดนด้วยครับ....มิใช่ว่า จะไม่โดน
เรื่องที่อยู่อาศัย สมันก่อนบ้านเสาสูง เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก((ที่มาตามฤดูกาล)หรือไม่ก็ตาม) น้ำมาก็ท่วมซิ ท่วมได้ท่วมไป....ใต้ถุนบ้านมีเรือ สมบัติพัดสถานทั้งหลายแหล่ ก็ไม่ได้มีให้ห่วงมากมาย เฉกเช่นคนสมัยนี้ เขาอยู่ได้ไม่เดือดร้อน น้ำก็ไม่ได้หลากมาแบบติดเทอร์โบ เช่นสมัยนี้ เพราะมีป่า มีธรรมชาติคอยช่วยซับ ช่วยพยุงเอาใว้ น้ำท่วมสมัยก่อน (จำได้บ้านผม) น้ำใส อาบเล่นได้สนิทใจ
น้ำก็ค่อยๆไหล ไปตามทางทางมัน จากที่สูง ไปสู่ที่ต่ำ ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเขาใว้ ตามธรรมชาติ...........
อยู่มานานเข้า........คนเริ่มมากขึ้น วิ๔ีบางอย่าง หลายอย่างเปลี่ยนไป...........
เริ่มปลูกบ้านไม่มีเสา............อยู่ติดพื้น
มีรถเข้ามาวิ่งแทนเกวียน แทนม้า แทนวัวควาย แทนลาช้าง และเหตุผลอื่นๆ เหมารวมว่า "คน"พัฒนาขึ้น ตามเขาว่า(ผมก็มีกับเขาด้วย)
ก็ต้องมีถนนให้รถวิ่ง ต้องสร้างสะพานข้ามคลองหนองบึง
อีกฯลฯ
คิดต่อแล้วกันครับ
กราบขอประทานอภัย ที่พิมพ์มารกกระทู้
แต่ไม่ลบละ..........
ด้วยความเคารพ ผมเริ่มมั่วเองแระ
ขอแสดงความเสียใจ กับผู้ที่สูญเสีย และเสียหาย
ขอให้กำลังใจกับทุกท่าน