http://manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9590000081689 เรื่องนี้น่าสนใจนิ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสทั้งทางบกและทางทะเลรอบแหลมมลายู ทรงออกจากเมืองสมุทรปราการในวันที่ ๑๖ เมษายนโดยเรือสุริยมณฑลไปขึ้นบกที่ชุมพร จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินบุกป่าฝ่าดงผ่านคอคอดกระ ไปประทับเรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศ ซึ่งจอดรอที่จังหวัดระนอง เสด็จเลียบฝั่งอันดามัน ผ่านตะกั่วป่า พังงา ภูเก็ต แล้วอ้อมแหลมมลายูเข้าอ่าวไทย กลับมาถึงกรุงเทพฯในวันที่ ๒๒ มิถุนายน เป็นเวลา ๖๗ วัน
ในระหว่างเสด็จประพาส ได้ทรงบันทึกเรื่องราวที่ได้เสด็จไปในที่ต่างๆ นำมาพิมพ์เผยแพร่ให้พสกนิกรได้อ่านกัน แต่กระนั้นในตอนหนึ่งก็ทรงบันทึกไว้ว่า
ยังการที่เที่ยวกลางคืนอีกอย่างหนึ่ง น่าเล่าเต็มที มิใช่เรามีความปรารถนาในการผู้หญิงยิงเรืออะไร....ถ้ามีเวลาจึงจะเขียนลองดูอีกที....
หลังจากนั้นก็ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องเสด็จประพาสรายการพิเศษนี้ขึ้นอีกเล่ม ทรงพรรณาที่ได้เสด็จไปในสำนักนางโลมที่ปีนังและสิงคโปร์อย่างละเอียด ทั้งยังทรงพิสูจน์ให้ประจักษ์แจ้งด้วยพระเนตรที่ว่า ผู้หญิงจีนนั้นเขาว่ารัดตีนเพื่อให้ล้นขึ้นไปข้างบน และโปรดฯให้พิมพ์ออกแจกจ่าย ซึ่งหนังสือเล่มนี้ยังมีอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ ในชื่อ เที่ยวกลางคืน
ทรงพระสำราญในการเสด็จประพาสต่างแดนที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่ถูกสกัดกั้นด้วยศักดิ์ยศ ซึ่งได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
การเที่ยวกลางคืนในเมืองปีนังและสิงคโปร์ เป็นที่ให้เกิดความสนุกสบายแก่เรามาก แต่ตามความจริงมันสบายครึ่งตัววิตกรำคาญครึ่งตัว ความสบายนั้นเกิดแต่การที่ ไม่เคยรับ คือไม่ได้เที่ยวเตร่โดยลำลองเช่นนี้ได้มาแต่เล็กคุ้มบัดนี้ การที่ได้ไปตามสบายใจไม่มีเครื่องกดขี่ คือผู้ใหญ่คอยขู่เขี้ยว หรือมีเครื่องสกัดกั้น กล่าวคือกลัวอันตราย เสื่อมศักดิเสียยศ และเป็นความลำบากแก่ผู้อื่นเป็นเครื่องห้ามหวงอยู่ ได้เที่ยวตามลำพังใจไม่ต้องระวังตัวและผู้อื่น นับว่าเป็นความสนุกสบาย ส่วนวิตกรำคาญนั้นไปเห็นบ้านเมืองเขาปกติเรียบร้อย ไม่มีคนเมามายตามถนนหรือคนวิ่งราวฉกลัก จะเดิรไปถนนใดทางใดเหมือนเดิรไปในบ้าน จนได้เห็นหนังสือพิมพ์มีข่าวคนตายกลางถนนและผู้ร้ายปล้นตีฟันกันฟังไม่น่าเชื่อ ครั้นกลับมานึกถึงบ้านเราได้ยินแต่วิ่งราวเมามายกันไม่ได้ขาดหู เป็นเหตุให้มีน้ำใจหดหู่ เอาความที่นึกเหล่านี้เข้าไปปนสนุกเสียกึ่งหนึ่ง จึงเปนอันสนุกครึ่งหนึ่งวิตกรำคาญครึ่งหนึ่ง
ผู้หญิงหาเงินที่ปีนังและสิงคโปร์ในยุคนั้น มีทั้งผู้หญิงกวางตุ้ง ฝรั่ง และญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ร่วมสำนักกัน แบ่งแยกย่านกันชัดเจน เพราะแขกที่มาเที่ยวรังเกียจที่จะปะปนใช้ร่วมกัน ซึ่งทรงบรรยายเรื่องนี้ไว้ว่า
โรงคนชั่วที่ใน ๒ เมืองนี้มีเปนคนละส่วนคือพวกจีนกวางตุ้งพวก ๑ ฝรั่งและญี่ปุ่นพวก ๑ เปนคนหาเงินออกหน้า ที่สิงคโปร์แบ่งเปนคนละถนน คือพวกจีนอยู่กำพงยาวา พวกฝรั่งพวกญี่ปุ่นที่ถนนกำพงกะลำ คนละส่วนแห่งเมือง แต่ที่ปีนังอยู่ถนนเดียวกันแต่เปนคนละตอน ยังมีพวกแขกที่หากินลับเปนเทือกคนเถื่อนอีกพวกหนึ่งต่างหาก
คนกวางตุ้งนั้นอยู่ตึกสูงๆ ๒-๓ ชั้นบ้าง คนโรงหนึ่งอยู่ตั้ง ๒๐ คนขึ้นไป การที่ตกแต่งนั้นชั้นล่างมีโต๊ะเครื่องบูชาติดโคมมีกระจกฉายข้างหลังดูสว่างแวววาวมาก ห้องที่อยู่ปันเปนชั้นๆ ชั้นบนเป็นชั้นที่ ๑ ชั้นรองมาเปนชั้นที่ ๒ ชั้นต่ำเปนชั้นที่ ๓ โรงที่เราไปดูนั้นที่ปีนังโรงเดียว เพราะเป็นตึกของเต๊กชุนให้เช่า ทั้งเขาเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงคนพวกนี้อยู่โดยมากจึ่งได้ขึ้นไปดูได้ เพราะคนพวกนี้ไม่รับคนชาติใดนอกจากจีนด้วยกันถ้ารับคนอื่นคือฝรั่งเปนต้นแล้ว พวกจีนพากันรังเกียจไม่มีใครไป...
ส่วนภายในสำนักตลอดจนวิธีรับแขกนั้น ทรงสังเกตอย่างละเอียด และบรรยายไว้ว่า
ห้องที่กั้นนั้นใช้ฝาไม้กั้นตามยาวของตึกเพียงครึ่งผนัง เปนห้องสองฟากทางเดิรกลาง ไม่มีหน้าต่างอย่างอุดอู้ตามธรรมเนียมจีน ถ้าขึ้นกระไดแลลงไปในห้อง ประตูก็มีแต่ผ้าแดงเปนม่านห้อยลงมาผืนเดียวเท่านั้น ดูน่ารำคาญเต็มที แต่ดูมันนอนสบายไม่เดือดร้อนอันใด ในห้องเช่นนั้นมียกพื้นขึ้นไปสูงสักศอกหนึ่ง มีมุ้งผ้าขาวเก่าๆหลังหนึ่ง หน้ามุ้งมีเสื่อห้องกับหมอนกำมะลอกับตะเกียงฝิ่น มีเครื่องอะไรรุงรังตั้งหรือกองอยู่ริมฝาบ้าง การที่รู้กันว่าคนอยู่ในนั้น คือปิดม่านแล้วก็เปนอันไม่มีใครเปิดเข้าไป แต่ห้องชั้นที่ ๑ นั้นมีอยู่ ๓ ห้องกั้นฝาไม้ประตูมีม่านเหมือนกัน แปลกแต่ข้างในไม่ได้ยกพื้น มีเตียงที่นอนมุ้งแพร มีที่ล้างหน้า โต๊ะแต่งตัวกับเก้าอี้ ๒ ตัวแต่กี๋คั่นกลาง ตั้งริมฝาเปนเครื่องอย่างจีนทั้งนั้น มีเจ้าพวกเครื่องกินเล่นคือเม็ดแตงและถั่วสัก ๒-๓ จาน ใช้จานตะกั่วเล็กๆ มีตะเกียงอย่างกะทะตะกั่วตั้งดวง ๑
ที่ชั้นบนนี้มีห้องกว้างกั้นฝาเพี้ยมสามด้าน เปนประตูออกไปเฉลียงหลังคาตัดด้านหนึ่ง เฟอนิชเชอรในนั้นมีโต๊ะศาลเจ้าโต๊ะหนึ่งกับเก้าอี้ยาวตั้งริมฝารอบ ที่กลางมีโต๊ะกลมกินเข้า ๒ โต๊ะๆนี้ทำเปนอย่างโต๊ะฝรั่ง แต่ที่กลางยกสูงขึ้นไปหมุนได้รอบๆ เพราะจีนกินกับเข้าทีละชาม เมื่อใครจะกินก็จับหมุนไปตรงหน้าคนนั้น ชั้นล่างเปนแต่ที่วางจานช้อนตะเกียบกับถ้วยเหล้าเท่านั้น ใช้เก้าอี้ไม้ถักหวายของฝรั่ง มีเก้าอี้อย่างเหยียดขาอ่านหนังสืออีกมากเปนที่นั่งพัก
วิธีการรับแขกนั้น คือแรกขึ้นไปเจ้าพวกผู้ชายคนใช้กาหลกันอย่างยิ่ง ชักรอกผ้าระบายที่ใต้สาหร่ายกับม่านขึ้นแขวน ขนเครื่องดีดสีตีเป่าออกมาตั้ง และสั่งให้ไปทำกับเข้าที่เตี๊ยมใกล้กับที่ตึกนั้น มีน้ำชามาเลี้ยงก่อน น้ำชานั้นใช้ถ้วยชงลายสี่รดู สีอย่างเลวมีจุ๊นกลมอย่างที่ไทยๆเราเรียกว่าจุ๊นยี่ปุ่น ทำด้วยตะกั่ว ในนั้นมีใบชาอยู่ในก้นถ้วย แล้วเอาน้ำร้อนเปล่ามาริน เวลาจะกินขยับฝาให้เคลื่อนกันใบชา ซดทางช่องข้างฝาถลำลงไปนั้น ในเวลาแรกนี้มีเด็กผู้หญิงอายุสัก ๑๓-๑๔ ปี ๒ คน ขวั้นผมเข้าไปครึ่งหัวถักเปีย ผมตีนไรไว้ยาวสัก ๒ นิ้วกริบเสมอ นุ่งกางเกงแพรสวมเสื้อแพรติดขลิบใหญ่อย่างผู้หญิง แต่ดูรูปร่างหน้าตามันเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง จนตกลงกันเรียกว่าอ้าย เด็ก ๒ คนนี้เป็นคนมาฝึกหัดการปฏิบัติตั้งแต่ดีดสีขับร้องเปนต้นไป ใครจะเล่นลูบหัวลูบคลำก็ได้ เว้นไว้แต่ถ้าจะเปิด ต้องเสียเงินมาก ในคราวแรกมีผู้หญิงออกมารับหน้าอยู่ ๒ คนยังไม่ได้แต่งตัวคือสวมเสื้อและกางเกงผ้าดำ ต่อคนอื่นแต่งตัวมาเปลี่ยนแล้วจึ่งได้กลับไปแต่งตัวใหม่ การที่แต่งตัวนั้นคือสวมกางเกงแพรสีหนึ่ง เสื้อสีหนึ่ง เป็นสีเทาๆ ต่างๆไม่ฉูดฉาด เสื้อใช้แขนโตอย่างมากติดขลิบดำและลูกไม้โตรอบ ผมเกล้าอย่างจีนมีสไตลต่างๆไม่ใคร่เหมือนกัน สวมถุงเท้ารองเท้าอย่างจีน นางคนหนึ่งตีนเล็กเหมือนตีนกวางแท้ๆ แต่ดูมันเดิรคล่องแคล่วไม่กระโผลกกระเผลกเลย เสื้อชั้นในใช้รัดเชือกอย่างเสื้อละคอน มีตุ้มหูทองเปล่าบ้างประดับหยกบ้าง ปิ่นที่ปักผมก็เหมือนกัน การปฏิบัติก็คือผลัดกันร้องและดีดสีต่างๆ และเอากล้องมรกู่มาบรรจุยาให้สูบบ้าง มีมานั่งให้หยอกเปนพื้น
สถานที่ที่เต๊กชุน ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดถวายการต้อนรับครั้งนี้ คล้ายกับเป็นภัตตาคารที่มีผู้หญิงบริการ ซึ่งเสร็จจากรับประทานอาหารแล้ว ก็สามารถหิ้วไปได้ ตามราคาที่แล้วแต่จะตกลงกันเป็นรายตัว แต่การบริการนั้นดูจะมีพิธีรีตรองมาก ซึ่งทรงบรรยายว่า
ครั้นเมื่อจัดโต๊ะพร้อมแล้วไปนั่งที่ตั้งเก้าอี้ล้อมรอบ บรรดาผู้หญิงที่มาก็ปันกันเปนผู้ปฏิบัติตามมากและน้อย บางคนก็มี ๓ คน ๒ คนจนคนเดียว ยกเก้าอี้มาตั้งนั่งข้างหลังล้อมรอบออกไปอีกชั้นหนึ่ง ที่ตรงหน้าคนที่นั่งโต๊ะ มีจานรองตะเกียบช้อนและถ้วยน้ำนมตักเหล้าคนละใบ จานน้ำปลาคนละใบ มีจานเม็ดแตงและถั่วรายไปด้วย เหล้าสำหรับที่จะจับจ่ายใช้รินลงถ้วยแก้วใบตั้งกลาง กับเข้าใช้ชามรูปต่างๆยกมาทีละชาม แต่กินแล้วไม่ได้ยกกลับไป กินจ้ำกันต่อไปอีกเท่าใดก็ได้ แต่จะกินมีพิธีมาก คือต้องสมมตินางคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่หยอดกันว่าดีว่าเพื่อนเป็นพนักงานสำหรับเชิญ แรกลงมือเชิญให้กินเหล้า คือเอาถ้วยน้ำนมกับถ้วยแก้วเหล้าถือเดิรไปรอบๆ ตักเหล้าแล้วบอกเชิญกินเหล้าเอาป้อนให้ที่ปาก ผู้กินเอาเหล้าในถ้วยของตัวให้นางคนนั้นกินทีละคนจนรอบแล้วหยุดนั่งรอกันนิ่งไปทีหนึ่ง คราวนี้ลุกขึ้นใหม่เอาตะเกียบคีบกับเข้าป้อนให้ทีละคนจนรอบ แล้วจึ่งร้องเชิญให้กินต่อไป คนที่กินจึ่งได้ลงมือกินกับเข้าเปลี่ยนไปทีละสิ่งจนหมดมีน้ำชามาให้ในระวางนั้นด้วย เมื่อถึงของหวานนางผู้เชิญลุกขึ้นเอาตะเกียบคีบป้อนทีละคนใหม่จนรอบแล้วป้อนเหล้ารอบอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้บรรดานางคนอื่นที่ล้อมอยู่นั้นลุกขึ้นจับถ้วยเหล้าเที่ยวป้อนทุกๆรอบโต๊ะทั้ง ๓๐-๔๐ คน ถ้าจะกินจริงๆสัก ๔๐ ถ้วยจะเมาเกือบตาย แต่ไม่ต้องกิน พอแจะๆปากก็เปนใช้ได้ เวลานางคนไหนมาป้อน ผู้กินก็ต้องขอให้นางคนนั้นกินด้วยทุกครั้ง อนึ่ง เมื่อกำลังกินนั้นจีนเขาเล่นทายนิ้วกันกับพวกผู้หญิง แต่พวกเราเล่นไม่เป็น เกณฑ์ให้มันเล่นกันเอง ถ้านางที่ปฏิบัติใครแพ้มันมักขอให้ผู้ชายกินเหล้าแทน ถ้ากินให้ก็ดูเป็นการกระจู๋กระจี๋ขึ้น แต่ถ้าอืดเอามันเสียมันก็กินเองได้ ดูมันกินเหล้าจุๆกันทุกคน เสียอยู่หน่อยหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าราคาสิ้นมากน้อยเท่าใดในการมาเล่นเช่นนี้ เพราะเต๊กชุนจัดเป็นการรับรอง ถามก็ไม่บอก การเลี้ยงแล้วเสร็จยังมีการที่ยืดยาวใหญ่อีกต่อไปคือการที่จะเปรียบคู่ ผู้ต้อนรับเขาอยากรู้ว่าเราจะชอบคนใด เราไม่มีความประสงค์จะทำไม ไม่รับก็ไม่ฟัง ใครๆก็ไม่ตกลงกันลงไปได้ เราเห็นจะเปนเรามากีดเขาอยู่จึ่งต้องยอมรับเลือกสำหรับดูเล่นคน ๑ คือนางตีนเล็ก เขาว่ารัดตีนเพื่อจะให้ลั่นขึ้นไปข้างบน เราไม่เชื่อจึ่งใคร่ที่จะเห็นว่าจริงหรือไม่อยู่บ้าง เรารับแล้วคนอื่นจึ่งเลือกกันต่อไป แต่เป็นการกาหลอันยิ่งใหญ่เพราะมันไม่ใคร่ยอมรับคนต่างประเทศ ต้องทาวกันแล้วทาวกันเล่าอยู่เปนเท่าหนึ่งเท่าใด อีตีนกวางยิ่งเล่นตัวยิ่งใหญ่ไปกว่าคนอื่น เขาแอบไปได้ยินว่ากันร้อยห้าสิบเหรียญแล้วยังไม่ตกลง เราเห็นเขาจะฉิบหายเพราะค่าดูเท่านั้น บอกเลิกเสียเลยก็ไม่ยอม กลับมาบอกตกลงเปนได้ ไม่รู้ว่าจะเอาเท่าใด แต่การที่จะอยู่ที่นี่สกปรกเต็มที เราลืมกล่าวถึงไป ที่ห้องเรือนนี้พื้นเต็มที ดูกลางถนนจะสอาดกว่า มันนึกจะถ่มน้ำลายหรือเทน้ำลงที่ไหนถ่มเทลงไปที่นั่น ที่ชลาหลังคาตัดนั้นเหม็นเยี่ยวออกคลุ้งไปทั้งนั้น ไม่มีที่ทางอันใดจะที่ไหนได้ที่นั่น เต๊กชุนจึ่งชวนไปที่บ้านสวน
บ้านสวนที่เต๊กชุนนำเสด็จไปนี้ถูกจัดไว้เป็นที่รับรองโดยเฉพาะ ซึ่งได้ทรงพิสูจน์ นางตีนเล็ก ที่บ้านหลังนี้ด้วย ทรงบรรยายไว้ว่า
...ครั้นเมื่อถึงใครๆก็พากันรอเราๆเห็นมันไปกีดเขาอยู่จึ่งตกลงยอมไปเข้าห้อง ดูนางตีนเล็กไม่เห็นจริงดังคำกล่าวนั้นเลย แต่เราไม่ได้มีธุระอันใดต่อไป นั่งเล่นอยู่ข้างนอกซึ่งเปนที่ประชุม ต่อเวลาดึกมากจึ่งได้กลับมา
บทพระราชนิพนธ์เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า การเสด็จประพาสแหลมมลายูครั้งนั้น ทรงศึกษาและทอดพระเนตรทุกด้านอย่างละเอียด โดยเฉพาะปีนังและสิงคโปร์ซึ่งอยู่ในความปกครองของอังกฤษ ใช้รูปแบบการปกครองและพัฒนาแบบตะวันตก และทรงนำแบบอย่างมาปรับปรุงพัฒนาเมืองไทยได้หลายอย่าง แม้แต่กิจการด้าน นางโลม ก็ยังทอดพระเนตรอย่างละเอียด นำมาเล่าให้พสกนิกรเป็นความรู้