เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 10, 2024, 07:18:46 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 1160 1161 1162 [1163] 1164 1165 1166 ... 35779
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อนคอปืน...ด้ามขวาน  (อ่าน 25797873 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 321 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17430 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:36:38 PM »

11.อย่าปล่อยเด็กไว้เพียงลำพังในรถ แม้คุณจะติดเครื่องหรือไม่ติดเครื่อง และไม่ว่าคุณจะออกจากรถไปนานเท่าไร

12.อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง คุณจะต้องตรวจระดับและปริมาณของเหลวในห้องเครื่องทุกชนิดรวมทั้งการวัดลมยาง ไม่ยกเว้นแม้ว่ารถของคุณจะเป็นรถใหม่ในระยะรับประกัน หรือเป็นรถที่มีเทคโนโลยีในการตรวจเช็คทุกระบบบนแผงหน้าปัดแล้วก็ตาม

13.ทุกครั้งที่เปลี่ยนยางหรือกระทะล้อ จะต้องไม่เปลี่ยนขนาดให้ต่างไปจากที่มีในหนังสือคู่มือประจำรถ นอกจากนั้นการเปลี่ยนยางที่มีขนาดต่างกัน (กว้าง/สูง) ในระหว่างล้อหน้าและล้อหลังเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ นอกจากจะเป็นรถที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ

14.เมื่อขับรถบนถนนลื่น เปียกน้ำ ฝนตก ห้ามใช้การเปลี่ยนเกียร์เพื่อช่วยชะลอความเร็ว ห้ามใช้เบรกแบบรุนแรง ห้ามหักเลี้ยวแบบกะทันหัน

15.จงจำไว้ว่าบนถนนที่เปียกลื่นหรือถนนดิน ถนนลูกรัง รถที่ติดตั้งระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก (ABS) จะมีระยะเบรกที่ยาวกว่าปกติ

16.เมื่อต้องการให้ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ทำงาน อย่าเหยียบเบรกแบบย้ำเบรก (เหยียบแล้วปล่อยแล้วเหยียบ) แต่จงเหยียบแป้นเบรกให้แน่นคาไว้ตลอดเวลา

บันทึกการเข้า

                
อาร์ พี จี.
(อาวุธพื้นๆ)
Hero Member
*****

คะแนน 739
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8479


ถีบรถถีบกันเต๊อะ


« ตอบ #17431 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:40:03 PM »

สวัสดียามค่ำครับพี่น้อง Grin




บันทึกการเข้า

เวบบอร์ดมีไว้คลายเครียด อย่าซีเรียส..เดี๋ยว "บ้า"
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17432 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:44:10 PM »

การเติมน้ำมันที่ถูกต้อง

           ราคาน้ำมันดีเซลไม่มีทางที่จะแพงกว่าน้ำมันเบนซินไปได้ ในเวลาสิบปีที่จะมาถึงนี้ ยังไม่เคยได้ทราบว่ามีประเทศใดในโลกนี้ มีราคาน้ำมันดีเซลแพงกว่าน้ำมันเบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซลก็ยังคงความน่าสนใจเช่นเดิม เพราะความทนทานและค่าดูแลรักษาที่ต่ำกว่า รวมทั้งใช้งานได้ในลักษณะอากาศที่หลากหลายกว่า

           การเติมน้ำมันรถยนต์ สำหรับคนที่ชอบเติมน้ำมันตอนที่ใกล้จะหมดถัง จึงทำให้น้ำมันหมดจนเครื่องยนต์ดับอยู่บ่อยๆ จะทำให้เกิดผลเสียของการปล่อยให้น้ำมันแห้งถังจนเครื่องยนต์ดับอยู่เรื่อยๆคือ ปัจจุบันนี้ปั๊มที่ทำหน้าที่ส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปสู่ห้องเผาไหม้ที่เรียกกันว่า “ปั๊มติ๊ก” มักจะถูกติดตั้งอยู่ในถังน้ำมัน ซึ่งการที่ปล่อยให้น้ำมันแห้งปั๊มดังกล่าวก็มักจะชำรุดเร็วกว่าเวลาอันควร ในรถยนต์บางรุ่นบางยี่ห้อ เมื่อตรวจจับสัญญาณพบว่าน้ำมันในถังแห้งหรืออยู่ในระดับต่ำเกินไป ระบบอัตโนมัติจะทำการตัดฟิวส์ของปั๊มดังกล่าวทันทีเมื่อปั๊มทำงานโดยปราศจากน้ำมัน ดังนั้นแม้ว่าเจ้าของรถจะนำน้ำมันมาเติมเข้าไปในถังแล้ว แต่ก็จะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ขึ้นมาได้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนฟิวส์ตัดเสียใหม่

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17433 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:44:41 PM »

            ให้ดับเครื่องยนต์ขณะเติมน้ำมันเชื้อเพลิง หากคุณสังเกตจะพบว่าที่ปั๊มน้ำมันทั้งหลายในโลกนี้ จะมีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ติดเอาไว้ มีทั้งให้ดับเครื่องยนต์, งดใช้โทรศัพท์มือถือ และ ห้ามสูบบุหรี่ ขณะเติมน้ำมัน ทั้งหมดที่กล่าวมาถือว่าเป็นระเบียบปฏิบัติว่าด้วยความปลอดภัยของการใช้รถยนต์ทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยมีการละเมิดกันมากที่สุดทุกข้อ ลองคิดดูหากขณะที่เติมน้ำมันอยู่ ไอน้ำมันที่ลอยคลุ้งอยู่บริเวณนั้น เกิดลอยไปปะทะกับประกายไฟจากระบบไฟจุดระเบิดที่รั่ว ไฟก็จะลุกไหม้จนเกิดแรงระเบิดทันที หรือหากหัวเติมน้ำมันหลุดออกจากปากถังซึ่งพบกันบ่อยมาก แล้วน้ำมันถูกฉีดสาดไปโดนกับส่วนที่มีความร้อนสูงๆ เช่น บริเวณท่อไอเสีย หรือ ในห้องเครื่องยนต์ ไฟก็จะลุกไหม้ง่ายขึ้น หรือแม้แต่ในกรณีที่พนักงานปั๊มน้ำมันเติมน้ำมันผิดชนิด หากคุณติดเครื่องยนต์อยู่ ปั๊มเชื้อเพลิงก็ทำหน้าที่ดูดน้ำมันส่งไปที่ห้องเผาไหม้ตลอดเวลา ถ้าหากรถของคุณเป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล แล้วพนักงานปั๊มเติมน้ำมันเบนซินให้ ปั๊มเชื้อเพลิงก็จะสูบเบนซินไปจ่ายในระบบหัวฉีด ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะต้องใช้เงินซ่อมแซมนับหมื่นบาททีเดียว

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17434 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:45:09 PM »

         แต่หากคุณดับเครื่องยนต์ และคุณพบว่าพนักงานปั๊มเติมน้ำมันผิดชนิด คุณก็เพียงแค่ถ่ายน้ำมันออกจากถังเท่านั้นเอง ถือว่าเป็นการป้องกันความเสียหายร้ายแรงได้เป็นอย่างดีอีกทางหนึ่ง และในขณะที่เติมน้ำมันนั้น น้ำมันที่ถูกจ่ายออกไปจากหัวจ่ายลงสู่ถัง จะทำให้ตะกอนที่มีอยู่ตามก้นถังขุ่นข้นขึ้นมา ปั๊มจ่ายเชื้อเพลิงก็จะทำหน้าที่สูบทั้งน้ำมันและตะกอนจ่ายไปยังไส้กรองเชื้อเพลิงและหัวฉีด ทำให้ไส้กรองตันเร็วก่อนกำหนดและหัวฉีดสกปรกง่ายอีกด้วย

         ข้อแนะนำสำหรับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกต้องและเหมาะสมก็คือ จงดับเครื่องยนต์ขณะเติมน้ำมัน และลงจากรถไปเปิดฝาถังน้ำมันให้เด็กปั๊ม กุญแจฝาถังจะได้ไม่เสีย ฝาถังไม่ถูกวางมั่วจนมีสิ่งสกปรกติดมาในตอนที่ปิด และหมดโอกาสที่เด็กปั๊มจะลืมปิดฝาถังให้ พร้อมทั้งปิดโอกาสในการเติมน้ำมันผิดชนิดด้วย ท่านยังสามารถตรวจสอบมาตรวัดได้เต็มที่อีกด้วย นอกเหนือไปจากเพื่อความปลอดภัยดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ดังนั้นจึงแนะนำให้ทุกท่านดับเครื่องยนต์ขณะเติมน้ำมันครับ

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17435 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:47:57 PM »

เรื่องของแบตเตอรี่

คุณทราบหรือไม่ว่าแบตเตอรี่มีอายุการใช้เท่าไร?

         โดยทั่วไปอายุการใช้งานเฉลี่ยของแบตเตอรี่จะอยู่ราว 2 ปี แต่ก็ไม่แน่เสมอไป บางครั้งอาจเร็วหรือช้ากว่านี้แล้วแต่การดูแลรักษาและสภาพแวดล้อมในห้องเครื่อง เช่นรถยนต์ที่ภายในห้องเครื่องมีอุณหภูมิสูงมากๆ ก็อาจทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ต่ำกว่ามาตรฐานก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้เราสามารถตรวจคุณภาพของแบตเตอรี่ได้โดยเช็คจากการวัดความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดในแบตเตอรี่ ที่ร้านจำหน่ายแบตเตอรี่ทั่วไปจะมีเครื่องวัดที่ว่านี้

          หรือในบางครั้งคุณอาจต้องมีโอกาสพ่วงแบตฯ กับรถยนต์ที่แบตเตอรี่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน จนกระทั่งหาเครื่องหมายบอกขั้วไม่เจอ สังเกตดูก็ดูไม่ออกว่าขั้วไหนเป็นขั้วบวก ขั้วไหนเป็นขั้วลบ ถ้าจะมั่วลองดูรับรองว่าความเสียหายเกินกว่าคาดคิดแน่

          เรื่องนี้มีวิธีสังเกตง่ายๆ ครับ นั่นคือ พิจารณาดูขั้วทั้ง 2 ขั้วว่าจะเห็นว่ามีขนาดไม่เท่ากันครับ นั่นเป็นเพราะขั้วใหญ่กว่าก็คือขั้วบวก (+) ส่วนขั้วเล็กกว่าก็คือขั้วลบ (-)

          มาถึงอีกเรื่องก็คือการถอดและใส่ขั้วแบตเตอรี่ ที่อาจดูเป็นเรื่องง่ายๆ แค่ขันน็อตแล้วปลดออก ไม่เห็นจะมีอะไรยาก แต่เชื่อไหมครับว่าเรื่องแค่นี้ก็หลักเพื่อความปลอดภัย นั่นคือ การถอดขั้วแบตฯ ให้ถอดขั้วลบ (-) ออกก่อนแล้วจึงตามด้วยขั้วบวก (+) คิดดูนะครับหากถอดขั้วบวกออกก่อนแล้วบังเอิญขั้วบวกไปสัมผัสกับตัวถังหรืออุปกรณ์ส่วนอื่นที่เป็นขั้วลบหรือกราวนด์จะเกิดอะไรขึ้น ก็พังนะสิครับ

          ในทางกลับกันการใส่ขั้วแบต ฯ กลับเข้าไปก็ทำกลับกันนั่นคือให้ใส่ขั้วบวก (+) ก่อน แล้วจึงตามด้วยลบ (-) ครับ

 
 
บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17436 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:49:06 PM »

 เคล็ดลับขับประหยัด

        ในช่วงที่น้ำมันมีราคาแพงขึ้นทุกวันเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่ภาระจะต้องตกอยู่กับเจ้าของรถ ซึ่งหลายท่านหาทางออกด้วยการลดการเดินทาง วางแผนการเดินทางมากขึ้นหรือไม่บางทีก็หันไปพึ่งพาอุปกรณ์เสริม อุปกรณ์ประหยัดน้ำมันต่างๆ ซึ่งอาจจะได้ผลภายใต้เงื่อนไขหนึ่งๆ วิธีการประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุดคือ รักษาเครื่องยนต์และรถให้สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลาและปรับพฤติกรรมการขับของตัวเอง

           ในการขับรถแน่นอนว่าเราต้องใส่ใจต่อน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว จะให้ได้กำลังและอัตราเร่ง นั้นการรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดี หัวเทียนหรือหัวฉีดต้องสะอาด หากไม่สะอาดแล้วจะทำให้กำลังเครื่องยนต์หายไปถึง 30% ดังนั้นจึงให้ทำการตรวจสอบระยะห่างหัวเทียน หากหัวเทียนไม่สามารถจุดประกายไฟได้สม่ำเสมอรถจะเกิดอาการกระตุก กระชากไม่นุ่มนวล

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17437 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:49:46 PM »

         
            นอกจากนี้ต้องไม่บรรทุกหนักโดยไม่จำเป็น ทุกๆ การเพิ่มน้ำหนักของรถเพิ่มขึ้น 45 กิโลกรัม จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 2% พร้อมกันนี้ให้ตรวจสอบไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากสกปรกแล้วอัตราเร่งของรถอาจจะหายไปถึง 10% เพราะว่าการใช้น้ำมันแต่ละลิตรไส้กรองอากาศจะต้องกรองอากาศถึง 1 หมื่นลิตร และที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง รถยนต์จะเผาผลาญน้ำมันมากกว่าการขับขี่ที่ความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมงถึง 25%

          ความลู่ลมของรถก็มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ควรขับรถโดยปิดกระจกรถและเอาแร็คบนหลังคาออกเมื่อไม่ใช้ หรือเมื่อต้องขับเกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงรถที่ลู่ลมมากก็จะช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้น
สิ่งที่เจ้าของรถต้องให้ความสำคัญอย่างมากคือ ลมยาง ลมยางที่อ่อนกว่ามาตรฐาน 2 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 1% และทำให้เกิดการสึกหรอเพิ่มขึ้น

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17438 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:50:22 PM »


          ลองปรับการขับขี่ โดยขับขี่ด้วยความนุ่มนวล ไม่ขับเร็ว เร่งเครื่องและเบรกแรงๆ ซึ่งการขับที่นุ่มนวล สามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 45%

          การล้างรถและเคลือบเงาให้รถมีตัวถังที่ลื่นขึ้นก็สามารถช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ถึง 6% พยายามลดการใช้เครื่องปรับอากาศ จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มาก รถรุ่นใหม่ไม่ต้องเหยียบคันเร่งขณะสตาร์ทเครื่องยนต์และไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องยนต์ก่อนออกรถ เคล็ดลับเหล่านี้ล้วนทำให้ท่านสามารถประหยัดเงินได้ ครับ

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17439 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:51:28 PM »

เบรกมือ

         เบรก เป็นคำมาจากภาษาต่างประเทศที่คนไทยเราเรียกทับศัพท์จนคุ้นเคย และเกือบทุกขั้นตอนและชิ้นส่วนรวมถึงระบบการทำงานของเบรก ที่เราเรียกทับศัพท์จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป หลายครั้งที่เรียกย้อนกลับมาเป็นภาษาไทย กลับหาคนเข้าใจได้ยากยิ่งกว่าการเรียกทับศัพท์เสียอีก

           "ห้ามล้อ" คือคำภาษาไทยที่เรียกกันอย่างเป็นทางการ เบรกจาน หรือห้ามล้อชนิดจาน คือความหมายของคำว่า ดิสก์เบรก ส่วน ดรัมเบรก ในภาษาไทยเราเรียกว่า เบรกดุม หรือห้ามล้อชนิดดุม แถมยังมีคำว่าเบรกก้ามปูเพิ่มขึ้นมาอีกชนิดหนึ่งด้วยซ้ำ เบรกก้ามปูก็คือเบรกที่เราเห็นกันในรถจักรยานเป็นส่วนใหญ่ ที่ใช้การทำงานโดยมียาง 2 ชิ้นหนีบตัวเข้ามาประกบกับขอบล้อ นั่นละคือเบรกก้ามปู ซึ่งในรถยนต์รุ่นเก่า การทำงานของเบรกมือก็จะทำงานในลักษณะคล้ายกันกับเบรกก้ามปู

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17440 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:52:15 PM »


          มีเบรกชนิดหนึ่งที่ภาษาอังกฤษเรียกได้ตรงตามการใช้งานมากคือ Parking Brake ซึ่งสามารถแปลได้ว่า ห้ามล้อใช้สำหรับจอดรถ แต่พอมาเป็นภาษาไทยเราเรียกว่าเบรกมือ ซึ่งอาจจะเห็นว่าเป็นเบรกชนิดเดียวในรถยนต์ยุคแรก ที่ใช้มือเป็นตัวสั่งการบังคับให้กลไกทำงาน ในขณะที่เบรกอื่นๆ เช่นเบรกหน้า และ เบรกหลัง ต่างใช้เท้าเป็นตัวเริ่มต้นสั่งการทั้งสิ้น

          การเรียก Parking Brake ว่า เบรกมือ นี้เอง ที่ทำให้ผู้ใช้รถส่วนหนึ่งเกิดความสับสนกับหน้าที่การทำงานของเบรกดังกล่าว มีใจความสำคัญว่า ห้ามใช้เบรกมือขณะขับรถ มิฉะนั้นจะเกิดอันตราย ทำไม และจะใช้ได้เมื่อไรถึงไม่เกิดอันตราย และเขามีเบรกมือเอาไว้ทำไม

        อันที่จริงเบรกที่เรียกกันว่าเบรกมือนั้น ปัจจุบันนี้ก็ไม่น่าเรียกกันว่าเบรกมือแล้ว เพราะมีเบรกที่ทำหน้าที่แบบเดียวกันในรถยนต์หลายยี่ห้อ ที่ใช้เป็นตัวเริ่มบังคับกลไก ที่เห็นบ่อยหน่อยก็คือรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์นั่นเอง ที่ใช้เท้าเป็นตัวกดคันบังคับ แต่ยังใช้มือเป็นตัวคลายกลไกอยู่

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17441 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:52:57 PM »


            เบรกมือส่วนใหญ่จะทำหน้าที่หยุดการเลื่อนไถลของรถด้วยการจับล็อกที่เพลากลางหรือที่กลไกเบรกที่ล้อหลัง ดังนั้นหากใช้เบรกมือทำงานขณะที่รถวิ่งอยู่ โอกาสที่รถจะหมุนคว้างเสียการทรงตัวจึงมีมากกว่าการใช้เบรกปกติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าในขณะที่เหยียบเบรกตามปกตินั้น แม้ว่ากลไกจะไปบังคับให้เบรกทั้ง 4 ล้อทำหน้าที่พร้อมกัน แต่วิศวกรผู้ออกแบบก็ได้กำหนดเอาไว้แล้วว่า เบรกที่ล้อหน้าจะต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเบรกที่ล้อหลัง และเมื่อล้อหน้าทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า รถก็จะมีอาการหมุนหรือเสียการทรงตัวน้อย

            ในภาษาอังกฤษเรียกเบรกมือว่า Parking Brake นั่นหมายถึงว่า เบรกชนิดนี้ให้ใช้งานในขณะที่รถจอดเท่านั้น เป็นการใช้งานเพื่อป้องกันไม่ให้รถเกิดการเคลื่อนที่หรือเลื่อนไหลไปในขณะที่ไม่มีใครอยู่ในรถ หรือในขณะที่ต้องการจอดนั่นเอง โดยเบรกมือที่เราเรียกกันนี้ส่วนใหญ่ใช้สายสลิงเป็นกลไกสำคัญในการเหนี่ยวรั้งกลไก ดังนั้นเมื่อใช้งานไปนานๆ หรือทุกๆ 1 ปี จึงควรให้ช่างทำการปรับตั้งความตึงหย่อนของสายสลิงให้ได้ระดับ เมื่อดึงเบรกมือขึ้นมาจะได้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17442 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:53:35 PM »


        ผู้ขับขี่รถที่ดีจึงควรดึงเบรกมือขึ้นมาทุกครั้งที่จอดรถ ยกเว้นแต่ในกรณีที่ไปจอดรถขวางทางผู้อื่นเท่านั้น แม้แต่การจอดรถขณะติดไฟแดงหรือจอดรถรอการจราจรนานๆ ก็ควรดึงเบรกมือขึ้นมาเพื่อป้องการลื่นไถลทุกครั้งเช่นกัน และในรถยนต์ที่มีคันบังคับเบรกมืออยู่ระหว่างเบาะที่นั่งของผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้า พึงหลีกเลี่ยงการเอาสิ่งของใดๆ ไปวางเกะกะในบริเวณคันบังคับเบรกมือ เพราะอาจจะทำให้คันบังคับเบรกมือถูกปลดลงไม่สุดเมื่อต้องการปลด ทำให้เกิดกรณีเบรกค้างหรือเบรกไหม้ขึ้นมาได้

        เมื่อพบว่ามีไฟแสดงสัญญาณเบรกมือติดขึ้นที่หน้าปัด ทั้งที่แน่ใจว่าได้ปลดเบรกมือลงอย่างแน่นอนแล้ว ให้จอดรถให้สนิทแล้วลองดึงและปลดเบรกมือแรงๆ 2-3 ครั้ง เพราะสวิตช์สัญญาณไฟเบรกมืออาจจะค้างได้ แต่หากพบว่าสัญญาณไฟเตือนยังติดอยู่ ก็ให้ตรวจดูที่กระปุกน้ำมันเบรก เพราะรถยนต์หลายยี่ห้อที่ติดตั้งตัววัดสัญญาณไว้ที่กระปุกน้ำมันเบรก เพื่อเป็นตัววัดว่าระดับความหนาของผ้าดิสก์เบรกลดลงจนถึงระดับที่ควรเปลี่ยน ดังนั้นเมื่อผ้าเบรกบางลงมากๆ น้ำมันเบรกจะลดลงเพราะน้ำมันเบรกส่วนหนึ่งจะไหลไปแทนที่ความหนาของผ้าเบรกที่ลดลงไป พอน้ำมันเบรกลดระดับลงไปตัววัดสัญญาณจึงส่งสัญญาณไปให้ไฟเตือนแดงขึ้นนั่นเอง


บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17443 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:54:30 PM »


        ส่วนผู้ขับรถที่ดึงเบรกมือขึ้นทุกครั้งที่จอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องจอดรถค้างคืน เช้าขึ้นมาเมื่อสตาร์ทรถและจะนำรถออกไปใช้ หากพบว่ารถมีกำลังน้อยลงเหมือนกับลักษณะของเบรกติดเบรกค้าง หรืออาจจะพบว่าเมื่อเคลื่อนตัวรถไปข้างหน้าแล้วมีเสียงกระแทกเกิดขึ้นที่บริเวณใต้ท้องแถวล้อหลัง นั่นหมายถึงว่าผ้าเบรกของคุณไม่ยอมคลายตัวตามการคลายของคันเบรกมือ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบได้ เกิดจากการรัดและหดตัวของผ้าเบรกที่ถูกดึงขึ้นมาใช้งานขณะร้อนและหดตัวลงในตอนกลางคืนที่อากาศเย็น บวกกับผ้าเบรกที่รัดตัวแน่นจนเกิดสุญญากาศระหว่างหน้าสัมผัสผ้าเบรก กับหน้าสัมผัสจานเบรกทำให้คลายตัวออกได้ยาก พบอาการอย่างนี้ก็เพียงแค่ถอยหลังออกตัวแรงๆ ผ้าเบรกก็จะคลายตัวง่ายขึ้น และนำรถไปปรับตั้งสายสลิงเบรกเสียใหม่เท่านั้นเองครับ


                                                                                                            บทความโดย ออโต้คลินิค

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #17444 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2007, 08:58:01 PM »



เรื่องของเทอร์โบ

ข้อสงสัยเกี่ยวกับ เทอร์โบ ชาร์จเจอร์ และส่วนที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

ถาม : เทอร์โบ ชาร์จเจอร์ ทำหน้าที่อะไร มีประโยชน์อย่างไร?

ตอบ : เทอร์โบ ชาร์จเจอร์ทำหน้าที่อัดอากาศจากก้อนใหญ่ๆ ให้มีขนาดของก้อนเล็กลง แต่มีความหนาแน่นหรือมีเนื้ออากาศมากขึ้น เพื่อให้สามารถยัดก้อนอากาศนั้นลงไปในห้องเผาไหม้ที่มีขนาดคงที่ได้ การที่สามารถเอาอากาศที่มีเนื้อมากๆ ใส่ลงไป ทำให้น้ำมันที่ปัจจุบันนี้สามารถควบคุมการจ่ายให้มากหรือน้อยตามจังหวะการเร่งได้ สามารถคลุกเคล้ากันระหว่างอากาศกับน้ำมันในส่วนผสมที่เหมาะสม เกิดการจุดระเบิดที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทำให้ได้พลังงานจากน้ำมันเต็มที่ไม่ต้องฉีดทิ้งฉีดขว้างออกไปทางท่อไอเสียอีกต่อไป จึงเป็นคำที่กล่าวกันว่า “ทำให้ประหยัดมากขึ้น” นอกเหนือไปจากการได้พลังงานเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

ถาม : มีเทอร์โบ ชาร์จเจอร์ แล้ว จำเป็นต้องติดตั้งเทอร์โบไทม์เมอร์หรือไม่?

ตอบ : ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเทอร์โบไทม์เมอร์แต่อย่างใด เทอร์โบไทม์เมอร์ทำหน้าที่เป็นตัวหน่วงเวลาการดับเครื่องยนต์ ที่เกิดขึ้นมาในรถแข่งที่ใช้ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบ ชาร์จเจอร์ เพราะในการแข่งขันรถยนต์ทั้งหลาย เมื่อถึงจุดที่ต้องรับการซ่อมบำรุงหรือเติมน้ำมัน จะต้องดับเครื่องยนต์ลงทันทีทั้งตามกติกาและตามกฎว่าด้วยความปลอดภัย

บันทึกการเข้า

                
หน้า: 1 ... 1160 1161 1162 [1163] 1164 1165 1166 ... 35779
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.076 วินาที กับ 22 คำสั่ง