บทความเรื่องตะเกียงเจ้าพายุบางส่วน จาก
http://www.thailandoutdoor.com/ โดย
หนูเล........
http://www.thailandoutdoor.com/OutdoorGear/StoveAndLantern/Lantern/lantern.htmlองก์หนึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ครองความเป็นจ้าวโลก
(และกลายเป็นผู้ล่า ทำลาย เผ่าพันธุ์อื่น หลาย species ให้สูญหายไปจากโลกเบี้ยวๆใบนี้มาโดยตลอด)
นั่นก็คือความสามารถในการนำไฟมาใช้งาน ในการให้ความอบอุ่นยามหน้าหนาว
และให้สว่างในเวลากลางคืน อันเป็นการกำจัดจุดอ่อนของมนุษย์ที่ไม่มีโสตสัมผัสที่ดีในความมืดให้หมดสิ้นไป
หลังจากที่มนุษย์นำไฟมาใช้งานแล้ว บรรพบุรุษของเราก็มีความผูกพันกับไฟมาก
เริ่มตั้งแต่การเทิดทูน (บูชา)ไฟ ดังจะเห็นได้จากการนับถือสักการะเทพเจ้าแห่งไฟมีอยู่ในวัฒนธรรมของหลายชนชาติ
และหลังจากมนุษย์ได้นำไฟมาใช้เป็นแสงสว่างในเวลากลางคืนแล้ว
ก็ได้พยายามปรับปรุงให้ได้แสงสว่าง "อย่างมีประสิทธิภาพ" กล่าวคือมีโคมไฟดวงน้อย แต่ให้แสงมาก
แต่เชื่อหรือไม่ครับว่ามนุษย์ได้ใช้แสงสว่างจากเปลวไฟ
-ตั้งแต่ กองไฟฟืน คบไฟ เทียน จนมาถึงตะเกียงน้ำมัน มาเป็นหลายหมื่นปีแล้ว
แต่มนุษย์ก็ยังไม่สามารถเอาชนะความมืดชนิดขาดลอยได้
เพราะแสงสว่างจากเปลวไฟนั้นยังมีข้อจำกัดในเรื่องของประสิทธิภาพการให้แสงสว่าง
ตัวอย่างเช่นถ้าเราต้องการความสว่างมาก เราก็ต้องมีเปลวไฟกองใหญ่
-อย่างเช่นที่เราเล่นแคมป์ไฟกัน- ซึ่งทำไม่ได้ในอาคารบ้านเรือนของคนทั่วไป
หรืออีกวิธีคือการใช้เปลวไฟขนาดเล็กจำนวนมาก
อย่างเช่นต้องจุดเทียนเป็นสิบเป็นร้อยแท่งเป็นต้น ซึ่งการจะจุดจะดับกันแต่ละครั้งก็แสนจะยุ่งยาก
ข้อเสียอีกประการใหญ่ของแสงสว่างจากเปลวไฟก็คือ เปลวไฟนั้นมีความสามารถในการเผาไหม้วัตถุอื่นที่ติดไฟ
อันเป็นต้นเหตุของอัคคีภัยทีดี ถ้าเผลอไผลไม่ดูแลโคมไฟ หรือเทียนกันให้ดีแล้ว ก็มีสิทธ์จะต้องหาบ้านใหม่อยู่กันง่ายๆ
โดยไม่ต้องรอการพิสูจน์หลักฐานว่าต้นเพลิงเกิดมาจากไฟฟ้าลัดวงจร...เอ๊ย เกิดจากตะเกียงน้ำมันกลางบ้าน
ศตวรรษ ที่ผ่านมา นับว่าโลกเราเข้าสู่ยุค Revolution หรือการพัฒนาแบบก้าวกระโดดโดยแท้
ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมานี้มีนวตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นและถ้าไม่แจ๋วจริง ก็ล้มหายตายจาก ไปมากมาย
รวมทั้งฝันที่เป็นจริงของบรรพบุรุษเราก็คือ การมีตะเกียงดวงเล็ก ที่ให้แสงความสว่างสูงๆ
นั่นคือ "ตะเกียงเจ้าพายุ"ได้เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในปลายปี ค.ศ. 189x
และกลายมาเป็นอุปกรณ์ประจำทุกบ้านพี่เฮือนน้องในช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 193x มาจนถึง ค.ศ. 195x
และแสงเจ้าตะเกียงเจ้าพายุทั้งหลายบนโลกใบนี้ก็ค่อยๆดับลงทีละดวง
เนื่องจากมนุษย์ได้หันไปใช้แสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าแทน
ทำให้ตะเกียงเจ้าพายุซึ่งครั้งหนึ่งเป็นของสำคัญประจำบ้าน
ได้ถูกโยนเข้ากรุกลายเป็นของไร้ค่าและถูกลืมเลือนอย่างรวดเร็ว
แรงบันดาลใจ ผมเป็นชาวกรุงที่เกิดมาพร้อมกับบ้านที่มีไฟฟ้าแล้ว
จึงไม่ได้มีโอกาสสัมผัสการใช้ตะเกียงเจ้าพายุที่บ้าน เหมือนกับสหายรุ่นเดียวกันบางท่าน
ตะเกียงเจ้าพายุนั้นก็กลายเป็นของที่ "ตื่นตาตื่นใจ" เมื่อเห็นยามไปเที่ยวงานวัด หรือ งานเทศกาลนอกเมือง
ส่วนชีวิตการเดินทางเที่ยวธรรมชาติ Thailand Outdoor ในตอนแรกๆนั้น
ก็อาศัยไฟฟืนในหุงต้มอาหารและการให้แสงในกลางคืน
ส่วนยามจะไปทำกิจกรรมหฤหรรษอื่นๆในเวลากลางคืน (อย่าคิดมากครับ...แค่ไปอาบน้ำ) ก็ใช้ไฟฉายดวงน้อยใหญ่
ไม่ว่าจะเป็น Maglite ดุ้นใหญ่ หรือ ท่อนจิ๋ว ไฟฉายทหาร ไฟฉายกันน้ำ(ซึ่งเป็นไฟฉายที่ติดเป้ทุกวันนี้)
และไฟฉายตีกบ(ไฟฉายติดในลังหมัศจรรย์คู่ใจ) ก็ลองมาหมดแล้ว
เมื่อเริ่มแก่ตัว...เอ๊ย..เริ่มมีฐานะ
ผมก็เริ่มหันมาพึ่งเครื่องทุ่นแรงโดยใช้พาหนะในการท่องเที่ยวธรรมชาติแบบ "แคมป์คาร์" มากขึ้น
และแน่นอนว่าเมื่อรถเข้าถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทั้งหลายทั้งปวงเช่นเต๊นท์, ชุดทำครัว, เตาสนามก็เริ่มตามมา
อย่างไรก็ตามผมก็ยังไม่ได้คิดจะซื้อตะเกียง.. ไม่ว่าตะเกียงรั้วหรือตะเกียงเจ้าพายุ...
อาจเป็นเพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้...แพ้อากาศดีๆครับ ไปนอนในป่าทีไร 2-3 ทุ่มก็ง่วงแล้ว...
เลยยังไม่ได้สนใจจะหาตะเกียงดีๆมาไว้ใช้งาน
จนกระทั่งการไปพักแรมที่แค้มป์บ้านกร่างหลายปีก่อน
ในขณะที่นั่งกินข้าวเย็นผ่านแสงสลัวที่มาจากตะเกียงไส้ทำจากกระป๋องนมนั้น
ทันใดนั้นมุมหนึ่งของแค้มป์บ้านกร่างที่มืดมิด
ก็กลับสว่างไสวไปด้วยแสงสีเหลืองนวล ประหนึ่ง มีใครเปิดไฟหลายดวงพร้อมกัน
และผมก็ได้เห็นต้นกำเนิดของแสงสว่างนั้น
มาจากตะเกียงเจ้าพายุขนาด 500 แรงเทียนของเพื่อนร่วมทาง
เจ้าพายุดวงแรก หลังจากที่ได้ตื่นตาตื่นใจไปเห็นเพื่อนร่วมทางเต็นท์อื่นใช้ตะเกียงเจ้าพายุอยู่กลางวงสนทนาพร้อมอาหารมื้อเย็นแล้ว
ผมก็จัดการไปถอยตะเกียงเจ้าพายุตราผีเสื้อ Butterfly ดวงใหม่เอี่ยมมาพร้อมกับตาเกิ้นจากร้านแดงรัสเซียมาคนละ 1 ดวง
โดยส่วนประกอบภายนอกของเจ้าตะเกียง Butterflyดวงนี้
ไม่ว่าจะเป็นถังน้ำมันและฝาตะเกียงมันวาววับด้วยวัสดุเหล็กชุมโครเมียม
ก้านสูบและแก้วครอบมีตราสัญลักษณ์ผีเสื้อติดอยู่ ในลังกระดาษใส่ตะเกียงนั้น
ยังมีคู่มือภาษาอังกฤษหนึ่งแผ่นและภาษาไทย(แปล)อีกหนึ่งแผ่นให้มาพร้อมกับไส้ตะเกียง 3 ชุด
กาแอลกอฮอล์พลาสติก และประแจขนาดเล็ก 1 ตัวที่สามารถไขน๊อตได้หลายขนาด
เจ้าพายุ primus 1060 ครับ ผมบุญน้อย
เลยได้เห็นแต่รูป
ผมได้แอบหมายมั่นปั้นมือว่าการกินข้าวเย็นในทริปถัดไปที่ทุ่งแสลงหลวงของผมนั้น
จะสว่างไสวจนสามารถแยกแยะพริกขี้หนูสวนเม็ดเขียวออกจากผัดผักบุ้งได้
แต่ด้วยความ"อ่อนซ้อม" -จริงๆคือไม่ซ้อม- ผนวกกับความเชื่อมั่นในตัวเองว่า
อ่านคู่มือแล้วก็ทำได้ ทำให้หน้าของผมแตกไปพร้อมกับแก้วครอบตะเกียง
เนื่องจากแทนที่จะใช้แอลกอฮอล์ในการอุ่นน้ำมันกลับไปใช้น้ำมันซิปโป้
(ไม่ควรใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่นในการจุดเพื่ออุ่นน้ำมันครับ เพราะทำให้แก้วครอบแตกได้)
อีกทั้งไม่ได้ทำการแช่น้ำมันและนวดลูกยางปั้มลมที่ทำมาจากหนังทำให้จุดอย่างไรก็จุดไม่ติด
เพราะปั้มลมไม่เข้า และเมื่อทำการอุ่นน้ำมันหนที่สอง แก้วก็แตกดังเปรี๊ยะเช่นเดียวความฝันอันเจิดจ้าของผม
หลังจากกลับมาจากทุ่งแสลงหลวง
ผมก็เอาเจ้าพายุสัญชาติสิงคโปร์ ตราผีเสื้อเก็บเข้าตู้เก็บของพร้อมกับความขยาดต่อฤทธิ์พยศของมัน
จนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอประกาศใน pantip
โฆษณาร้านขายอะไหล่-รับซ่อมตะเกียงเจ้าพายุซอยแปลงนามชื่อ "เชียงเฮงเส็ง"
ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องหาซื้อเจ้าแก้วครอบมาเปลี่ยนเพื่อให้เจ้าผีเสื้อสมบูรณ์พร้อมขาย(ทิ้ง)
ตามคติพจน์ของน้าผมซึ่งทำฟาร์มเลี้ยงวัวที่ว่า "ถ้าดื้อก็...ขาย!!"
ตอนบ่ายผมกลับมาจากร้าน"เชียงเฮงเส็ง" พร้อมกับครอบแก้วใหม่ 2 ชิ้นอยู่ที่ถุงในมือซ้าย...
และในมือขวาก็ถือถุงใส่ตะเกียงเจ้าพายุเก่าขนาด 350 แรงเทียนอีกดวงที่มีอายุอานามกว่า 40 ปีสัญญาติเยอรมัน
โดยที่ข้างถังน้ำมันมีตราสินค้าพิมพ์นูนเป็นรูปกวางกระโดดกลางวงกลม
พร้อมกับตัวอักษรปั้มลงในเนื้อโลหะว่า "AIDA"......
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของ ความชื่นชอบ... หลงใหล... ตะเกียงเจ้าพายุอีก 10 ดวงเศษของผม และเรื่องราว(น่าเบื่อ)เรื่องนี้
อ่านต่อคลิ๊กที่นี่........
http://www.thailandoutdoor.com/OutdoorGear/StoveAndLantern/Lantern/lantern.htmlCredit: บทความจาก
http://www.thailandoutdoor.com/ โดย หนูเล