ผมได้ข้อมูลจากโพสของคุณสะดุ้งมาร.ในอีกกระทู้ เลยไปสืบค้นคัดลอกมาแปะเพิ่มเติม ( คิดว่าคงไม่ซ้ำกับที่รวบรวมมาก่อนหน้านี้..
)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5139/2545
การขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน ต้องไปยื่นคำขอต่อนายทะเบียนอาวุธปืนก่อนเมื่อนายทะเบียนอาวุธปืนอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนได้ จะออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน (แบบ ป.3) ให้ ผู้ขอจึงนำใบ ป.3 ไปซื้ออาวุธปืน แล้วจึงนำไปแสดงต่อนายทะเบียนอาวุธปืนเพื่อออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) ต่อไปตามขั้นตอนดังกล่าวถือได้ว่านายทะเบียนอาวุธปืนได้อนุญาตให้ผู้ขอมีและใช้อาวุธปืนแล้วตั้งแต่ออกใบ ป.3 ส่วนการไปซื้อ จนกระทั่งออกใบ ป.4 เป็นขั้นตอนเพื่อควบคุมอาวุธปืนให้รู้ว่าแต่ละกระบอกอยู่ในครอบครองของผู้ใด ไม่ได้หมายความว่าผู้ขอเพิ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนเมื่อนายทะเบียนอาวุธปืนออกใบ ป.4 ให้ประกอบกับการที่จำเลยซื้อและครอบครองอาวุธปืนของกลางตามใบ ป.3 และดำเนินการขอออกใบ ป.4 จนได้รับใบ ป.4 ก่อนที่ใบ ป.3 จะสิ้นอายุ แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะฝ่าฝืนกฎหมาย จึงไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
จำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนของกลางก่อนที่ศาลชั้นต้นสั่งริบอาวุธปืนของกลางจึงไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32 จึงริบอาวุธปืนของกลางไม่ได้
พีครับผมขอสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกา ฉบับสมบูรได้ไหมครับ ผมโดนเรื่องแบบนี้เช่นกันครับ โดนจับปืน มีแค่ ป.3 ยังไม่มี ป.4 เนื่องจากซื้อ มาได้แค่ 6 วัน อัยการนัดครั้งแรกวันที่ 29 มี.ค. 55 นี้และครับ อีกอย่าง ผมจะนำคำสั่งบรรจุเช้าเป็น อาสามัครทหารพราน ไปยื่นให้อัยการ ว่าผมเป็น อาสสมัครทหารพรานปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความจำเป็นต้องใช้ อวป. เพื่อไม่ให้สาลสั่ง ริบ อวป. นะครับ
ขอขอบพระคุณอย่างสูงนะครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5139/2545
พนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม โจทก์
นาย สุขสันต์ จีนประดิษฐ์ จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ และมีกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 5 นัดอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และจำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร และไม่ได้รับใบอนุญาต ทั้งไม่ใช่กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33, 91, 371 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน จำคุก 1 ปีฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก6 เดือน รวมเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยพร้อมยึดได้อาวุธปืนรีวอลเวอร์ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 5 นัด และซองปืนจำนวน1 ซอง เป็นของกลาง คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจโทดิเรก ปลั่งดี และร้อยตำรวจโทสนั่น ชูสกุล ผู้จับกุมเบิกความเพียงว่าขณะจับกุมจำเลย จำเลยยอมรับว่าอาวุธปืนของกลางเป็นของจำเลยและจำเลยไม่สามารถนำใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน และใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนมาแสดงได้ พยานจึงยึดอาวุธปืนไว้เป็นของกลางเท่านั้น แต่ปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ ทรัพย์ส่งเสริม พนักงานสอบสวนพยานโจทก์อีกปากหนึ่งที่มาเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.3 ว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าอาวุธปืนของกลางจำเลยได้รับใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) แล้วอยู่ระหว่างดำเนินการออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) เจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยได้รับใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2540ตามเอกสารหมาย ล.2 จำเลยเพิ่งไปรับอาวุธปืนจากร้านค้าก่อนเกิดเหตุเพียง 1 วันขณะเกิดเหตุอยู่ระหว่างดำเนินการออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) และจำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2540ตามเอกสารหมาย ล.5 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนอาวุธปืนอำเภอหันคาให้ซื้ออาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนแล้ว จำเลยจึงซื้ออาวุธปืนของกลางมาตามใบอนุญาตดังกล่าวและอยู่ระหว่างดำเนินการจดทะเบียนรับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน เห็นว่า การขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน ผู้ขอจะต้องไปยื่นคำขอต่อนายทะเบียนอาวุธปืนท้องที่ที่ผู้ขอมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านก่อน เมื่อนายทะเบียนอาวุธปืนท้องที่พิจารณาเห็นว่าผู้ขอมีคุณสมบัติตามที่พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กำหนดแล้วจึงอนุญาตให้ซื้อหรือรับโอนอาวุธปืนได้โดยจะออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (แบบ ป.3) ให้ จากนั้นผู้ขอจึงนำใบ ป.3ดังกล่าวไปซื้ออาวุธปืนจากร้านค้าหรือผู้ขาย แล้วจึงนำอาวุธปืนพร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปแสดงต่อนายทะเบียนอาวุธปืนผู้ออกใบอนุญาตเพื่อออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน(แบบ ป.4) สำหรับอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวให้แก่ผู้ขอต่อไป ตามขั้นตอนดังกล่าวถือได้ว่านายทะเบียนอาวุธปืนผู้ออกใบอนุญาตได้อนุญาตให้ผู้ขอมีและใช้อาวุธปืนแล้วตั้งแต่ออกใบ ป.3 ส่วนขั้นตอนการไปซื้อหรือรับโอนจนกระทั่งออกใบ ป.4 เป็นขั้นตอนต่อมาเพื่อควบคุมอาวุธปืนในราชอาณาจักรให้รู้ว่าอาวุธปืนแต่ละกระบอกอยู่ในครอบครองของผู้ใดเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้ขอเพิ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนเมื่อนายทะเบียนอาวุธปืนออกใบ ป.4 ให้ ทั้งตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 23(2)ก็กำหนดให้ใบ ป.3 มีอายุ 6 เดือน นับแต่วันออกการที่จำเลยซื้อและครอบครองอาวุธปืนของกลางตามใบ ป.3 และดำเนินการขอออกใบ ป.4 สำหรับอาวุธปืนของกลางจนได้รับใบ ป.4 ตามเอกสารหมาย ล.5 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 ก่อนที่ใบ ป.3 เอกสารหมาย ล.2 จะสิ้นอายุ ประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยไปขออนุญาตจากนายทะเบียนอาวุธปืนจนกระทั่งได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ก็แสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะฝ่าฝืนกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตดังที่โจทก์ฟ้อง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการสุดท้ายว่า สมควรริบอาวุธปืนของกลางหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าต่อมาจำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนของกลางตามเอกสารหมาย ล.5 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 ก่อนที่ศาลชั้นต้นสั่งริบ อาวุธปืนของกลางจึงไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ริบอาวุธปืนของกลางจึงชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิวรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 กรณีเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน และปรับ 3,000 บาทจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก4 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7