เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 12, 2024, 05:22:16 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องจริงที่เก็บมาเล่า..การปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานคุณทักษิณ  (อ่าน 4725 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 08:30:49 AM »

 Smiley เศรษฐกิจ หรือเรื่องของปากท้อง มีความสัมพันธ์กับเรื่องของการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...คนไทยส่วนใหญ่มีหลักคิดพื้นๆเพียงว่า "หากเศรษฐกิจช่วงไหนดีจะยกประโยชน์ให้รัฐบาลที่บริหารประเทศในขณะนั้น" และ "ถ้าเศรษฐกิจช่วงไหนไม่ดีจะโยนบาปให้รัฐบาลที่บริหารประเทศขณะนั้นเช่นกัน"

- เนื่องด้วยหลายคนไม่ได้ศึกษาเรื่องความเป็นไปทางเศรษฐกิจ หรือไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง รังแต่จะเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง...

- ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ประชาชนที่ไม่รู้ข้อมูลส่วนใหญ่จึงกล่าวโทษแก่รัฐบาลสุรยุทธ์ รวมไปถึงคมช. ว่าไม่มีความสามารถในด้านธุรกิจ ซึ่งความจริงเป็นเพราะเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยอย่างมากและต่อเนื่อง นอกจากนี้หากดูลึกลงไป เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ถูกทำการรัฐประหารด้วยซ้ำไป (หาข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนย้อนหลังได้ที่ www.bot.or.th)

- ส่วนการปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานคุณทักษิณ เพราะการจะปลดหนี้ได้นั้นต้องเป็นผลจากการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ไม่ใช่รัฐบาลคุณทักษิณมาบริหารประเทศเพียง 2 ปีแล้วใช้ความสามารถของตนเองล้วนๆ ทำให้ไทยปลดแอกจาก IMF ได้ และก็ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาโดยรัฐบาลชวน 2 เพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะปัจจัยสำคัญอีกประการคือ "วงจรธุรกิจ" หรือ "วัฏจักรเศรษฐกิจ" ที่มีขึ้น-ลงตามรอบปกติอยู่แล้ว รวมไปถึงธรรมชาติของค่าเงินที่เปลี่ยนจาก 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จะแปลงวิกฤตเป็นโอกาสสำหรับภาคการส่งออกทันที

ฉะนั้นแล้วการที่ประกาศใช้หนี้ IMF และรณรงค์ให้คนไทยติด "ธงชาติไทย" หน้าบ้านก็เป็นเพียง "การตลาดสวมรอย" คือการ "สวมรอย" เป็นผู้แก้วิกฤตชาติเสียเอง

ปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ได้นั้นมีดังนี้

ปัจจัยที่ 1 ค่าเงินบาทที่มีผลต่อการส่งออกหลังปี 2540
- การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 (กรณีของไทยเมื่อลอยแล้วเงินบาทอ่อนค่าลงจาก 25 บาท/US$ มาเป็นประมาณ 40 บาท/US$) ส่งผลให้การส่งออกเติบโตขึ้น เนื่องจากสินค้าไทยจะดูราคา ถูกลงในมุมมองของต่างชาติทันที และคิดเป็นเงินบาทได้มากกว่าเดิม อธิบายอีกมุมก็คือ "คนอเมริกันถือเงินดอลลาร์เท่าเดิมแต่ซื้อสินค้าไทยได้จำนวนมากขึ้น" ซึ่งจุดนี้ใครๆก็คิดว่าคุณทักษิณทำให้ส่งออกได้มาก ถ้าขาดคุณทักษิณแล้วประเทศไทยคงจะแย่ นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะ "ค่าเงินบาท" คือ 1 ใน 3 ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน


ปัจจัยที่ส่งเสริมให้การส่งออกดีขึ้น

1. ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง

2. ราคาสินค้า

3. เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว

- นอกจากนี้การลอยตัวค่าเงินบาทมีส่วนให้ดุลการค้าของไทยเราเกินดุลอีก การดูดุลการค้าเป็นสิ่งสำคัญกว่าการดูการส่งออกอย่างเดียว เพราะนอกจากเราจะดูว่าเราขายของออกนอกไปเท่าไหร่ ต้องหักของที่เราซื้อเข้าประเทศด้วยไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ทองคำ เหล็ก เป็นต้น


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

แผนภูมิแท่งที่มีตัวเลขกำกับสีดำ (ที่เกินจากเลข 0) คือ เกินดุลการค้า (ส่งออกมากกว่านำเข้า...ได้เปรียบเขา)

แผนภูมิแท่งที่มีตัวเลขกำกับสีแดง (ที่ต่ำกว่าเลข 0) คือ ขาดดุลการค้า (นำเข้ามากกว่าส่งออก...เสียเปรียบเขา)

ดุลการค้าคืออะไร?
ดุลการค้า = ส่งออก – นำเข้า

- ก่อนวิกฤติปี 40 ไทยขาดดุลการค้ามาตลอด การส่งออกยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าในบางปีจะ ส่งออกได้มาก แต่ก็ยังสู้การนำเข้าไม่ได้

- นอกจากนี้ ด้วยเหตุที่ว่าไทยไม่ใช่ประเทศที่สมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน เหล็ก ทองคำ จึงต้องนำเข้าวัตถุดิบเหล่านั้น รวมถึงเครื่องจักรและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ "อย่างเกินตัว" และเมื่อไทยจำเป็นต้องลอยตัวค่าเงินบาทย่อมส่งผลเสียต่อผู้ที่กู้เงินในรูปของเงินตราต่างประเทศ แต่ในด้านของผลดีคือ สินค้าไทยดูราคาถูกลงในสายตาของต่างชาติในทันที! การส่งออกได้รับผลดีในช่วงแรกคือส่งออกได้รับเงินมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้ปัจจัยใดๆ มาส่งเสริม ส่วนการนำเข้าไม่ต้องพูดถึง เพราะลดลงทันทีถึง 33.8% ในปีแรกที่ลอยตัวค่าเงินบาท คนไทยไปเที่ยวเมืองนอกลดลงทันที (ช่วงแรกๆ) ในทางกลับกันคนต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น นี่คือกระบวนการที่เกิดขึ้นตั้งแต่คุณทักษิณยังไม่มาบริหารประเทศ

- จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยจะชี้ให้เห็นว่าไทยเกินดุลการค้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2522 (ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลถึงแค่ปี 2522) ส่วนปี 41 กลับเป็นรัฐบาลชวนเสียอีก ที่ดุลการค้าเกินดุลมากเป็นประวัติการณ์ คือ เกินดุลถึง 12,200 ล้าน US$ ถามว่าเกี่ยวกับคุณชวนไหม?

- คำตอบคือ "ไม่เกี่ยว" และ "ไม่เกี่ยวกับคุณทักษิณเช่นกัน" มันเป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว หมายถึง ไม่ว่ารัฐบาลชุดใด มาบริหารหลังลอยตัวค่าเงินบาท มูลค่าการส่งออกจะมีมากขึ้นทันที

เพียงแต่ในอนาคตข้างหน้า หากจะแข่งขันให้ได้ในระยะยาว ก็ต้องเน้นการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ

- เมื่อการส่งออกของไทยสามารถเติบโตขึ้นได้หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากเงินที่เคยสูญไปกับการปกป้องค่าเงินบาทเมื่อปี 39-40 ก็กลับเป็นการสะสมเงินทุนสำรองฯ โดยการส่งออก และการท่องเที่ยว

ไม่ได้เป็นเพราะการบริหารงานของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เป็นไปตามธรรมชาติของค่าเงิน

ซึ่งกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี!

- ถึงจุดนี้ผมคิดว่ามีหลายคนแย้งว่าคุณทักษิณสามารถหาตลาดส่งออกได้ แต่หากเปรียบเทียบคุณทักษิณมาบริหารประเทศในช่วงก่อนวิกฤติที่อัตราแลกเปลี่ยน 25 บาท/US$ ผมรับรองได้ว่าต่อให้หาตลาดส่งออกสักเท่าใดมูลค่าการส่งออกของไทยก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่ และจะยังขาดดุลการค้าเหมือนเดิม

   จากแผนภูมิแท่งจะเห็นว่า กลับเป็นปี 48 ด้วยซ้ำไปที่ไทยขาดดุลถึงกว่า 8,000 ล้านUS$

ถามว่า...เป็นความบกพร่องของคุณทักษิณอย่างนั้นใช่หรือไม่?

- หรือเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่จัดการชุมนุมในรูปแบบของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ทำให้ใครๆ ต่างก็บอกว่าชุมนุมจนเศรษฐกิจไทยพัง!!! อย่างนั้นใช่หรือไม่?

- คำตอบคือไม่ใช่ทั้งคู่ เพราะถ้าเราดูในรายละเอียดจะเห็นว่าเป็นเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ขยับราคาสูงขึ้นอย่างมาก จึงเป็นผลให้ไทยขาดดุลการค้าในปีนั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 15, 2007, 08:56:31 AM โดย Watt » บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 08:40:35 AM »

 Smiley สำหรับอีกปัจจัยที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวและปลดหนี้ IMF ได้คือ

ปัจจัยที่ 2 อัตราดอกเบี้ยต่ำที่ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว

- ดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดตัวหนึ่งที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงซบเซา หรือลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจก็ได้ แล้วแต่สภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในแต่ละช่วงเวลา

   การกำหนดทิศทางของอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งประชุมกันทุก 6-8 สัปดาห์ เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลาหนึ่งๆ

- ดังนั้นในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 "ดอกเบี้ยต่ำ" จึงเป็นตัวหลักที่ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปต่อได้...ที่สำคัญ "ดอกเบี้ยต่ำ" ไม่ได้เกิดจากการสั่งการของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" แต่อย่างใด หากแต่เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจของช่วงเวลานั้น หรือเรียกง่ายๆ ว่า "เป็นไปตามกลไกตลาด"


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย (http://www.bot.or.th/bothomepage/databank/FinMarkets/FinMarket.htm)

- ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามภาวะตลาด โดยการกำหนดทิศทางโดย กนง. และนโยบายดอกเบี้ยต่ำได้เริ่มตั้งแต่ก่อนคุณทักษิณจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

เมื่อ "ดอกเบี้ยต่ำ" ก็ส่งเสริมให้คนในประเทศเริ่มจับจ่ายใช้สอย

เมื่อคนเริ่มจับจ่ายใช้สอย...ก็ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หมุนเวียนไปตามร้านค้า บริษัทต่างๆ

เมื่อเงินหมุนเวียนไปตามร้านค้า บริษัทต่างๆ...ร้านค้า บริษัทต่างๆ ก็มีรายได้ และเกิดการลงทุนเพิ่ม, การจ้างงาน

เมื่อบริษัทมีรายได้ และคนมีงานทำ...ก็มีเงินใช้จ่าย และส่งภาษี

เมื่อมีเงินส่งภาษี...รัฐฯก็มีเงินงบประมาณที่นำมาใช้จ่าย (หรือใช้หนี้) ต่อไปได้

และผลก็คือเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในที่สุด

"กระบวนการนี้อาจไม่ได้เริ่มทันทีที่ใช้นโยบายนี้ แต่จะค่อยๆส่งผล...เป็นไปตามวัฎจักรของเศรษฐกิจ"

- วิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ทำให้หลายบริษัทต้องปิดกิจการลงจริง แต่กระทบในส่วนของบริษัทที่กู้เงินในรูปของเงินตราต่างประเทศ...ที่เมื่อค่าเงินบาทลอยตัวแล้วมีผลทำให้หนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นเท่าตัวเพียงช่วงข้ามคืน...

- แต่เศรษฐกิจในส่วนอื่นแม้ว่าจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ยังมีกำลังพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ เช่นในรูปแบบของ SME หรือในภาคของสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกที่นำรายได้เข้าประเทศอย่างมาก (เรื่องส่งออกผมได้เขียนไว้ในตอน 1 แล้วว่าเป็นเพราะธรรมชาติของค่าเงินที่สร้างความได้เปรียบให้แก่ไทย...ไม่เกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ) แตกต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เกิดจากการสร้างภาระหนี้สินอย่างกว้างขวางแก่ประชาชนระดับรากหญ้า!

- บางคนอาจสงสัยว่า "จากกราฟ...ทำไมในช่วงต้นของรัฐบาลชวน หลีกภัย (หลังจากพลเอกชวลิต ลาออก พ.ย. 40) ดอกเบี้ยกลับเพิ่มสูงขึ้นมาก?...ตรงข้ามกับที่เราเข้าใจว่าเศรษฐกิจเกิดวิกฤตต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

- สาเหตุที่ไทยจำเป็นต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยสูงในช่วงแรกของวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะตอนนั้นค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างไม่หยุดยั้ง จาก 25 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าจน 60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยซ้ำไป ดังนั้นเพื่อให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพก่อน และหยุดการไหลออกของเงิน จึงต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง เมื่อค่าเงินบาทมีเสถียรภาพแล้วจึงใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นี่คือสิ่งที่ "รายการนายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน" ทุกเช้าวันเสาร์(แต่ก่อน) ไม่เคยบอกให้กับประชาชนได้รับรู้!!!

- คุณทักษิณน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจได้เอื่อต่อการบริหารประเทศบ้างแล้ว หลังจากคุณทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 44 แต่ด้วย "การตลาดนำการเมือง" จึงสร้างความได้เปรียบทางการเมือง และในทางกลับกันก็สามารถสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนแก่คนไทยจำนวนมาก

บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 08:53:48 AM »

 Smiley เนื่องด้วยภาพของภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นั้นยังติดตาและตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายคน โดยเข้าใจว่าผู้ที่กู้วิกฤตเศรษฐกิจนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

   แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนคิด! เพราะเรื่องของเศรษฐกิจนั้นประกอบด้วยหลายปัจจัย ไม่ได้จำเพาะเจาะจงในเรื่องของปัจจัยทางการเมือง พรรคการเมือง หรือตัวบุคคลเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น!

ปัจจัยที่ 3 "ภาระหนี้ต่างประเทศ" ที่ลดลงตั้งแต่ก่อนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

   เป็นที่ทราบดีว่าหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 เมื่อค่าเงินบาทลอยตัวแล้วไปในทางอ่อนค่าลงจะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นทันที ตัวอย่างเช่น ราคาพวงกุญแจนำเข้าจากสหรัฐฯ มีราคาชิ้นละ 1 US$ ซึ่งก่อนลอยตัวฯ เมื่อตีเป็นเงินบาทจะอยู่ที่ 25 บาท(โดยประมาณ) แต่เมื่อลอยตัวแล้วราคาพวงกุญแจ ณ สหรัฐฯ แม้จะมีราคา 1 US$ เหมือนเดิม แต่ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ที่ประมาณ 40 บาท/US$ จึงทำให้ราคาพวงกุญแจนำเข้าชิ้นนั้นเพิ่มราคาเป็น 40 บาท (ถ้าคิดตามปัจจุบันพวงกุญแจพวงนี้จะคิดเป็นเงินไทยประมาณ 34.40 บาท)

   ภาระหนี้ต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน เพียงชั่วข้ามคืน วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ผู้ใดก็ตามที่กู้เงินในรูปของเงินตราต่างประเทศ เมื่อตีค่าเป็นเงินบาท ก็จะมียอดหนี้สูงขึ้น เงินบาทอ่อนตัวเท่าใด ยอดหนี้ก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น

   ซึ่งจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงให้เห็นว่าก่อนที่คุณทักษิณจะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปี 2544 ภาระหนี้ต่างประเทศนั้นก็ได้ลดลงไปมากแล้ว จากที่เคยอยู่ในระดับ 105.1 พันล้านUS$ เมื่อปี 2541


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

จากแผนภูมิแยกให้เห็นชัดเจนว่าแท่งสีฟ้าคือช่วงที่คุณทักษิณบริหารประเทศ

   ในกรณีนี้หมายถึงการกู้เงินจากต่างประเทศมียอดที่ลดลง เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งปัจจัยนี้ก็ช่วยให้การบริหารงานเป็นไปโดยง่าย

   กลับเป็นช่วงก่อนเหตุการณ์ชุมนุมโดยกลุ่มพันธมิตรฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ด้วยซ้ำไปที่ภาระหนี้ต่างประเทศกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น

   คำว่า "เจ๊ง...เครียด...คิดถึงทักษิณ" จึงเป็นคำพูดของผู้ที่ไม่รู้ หรือรู้แล้วแกล้งไม่รู้เท่านั้น

ปัจจัยที่ 4 ยอดคงค้าง NPL ทั้งระบบ

   NPL หรือ สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (ภาษาปาก) ก็ได้บริหารจัดการตั้งแต่ก่อนคุณทักษิณจะเข้ามาบริหารประเทศแล้ว


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

กระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้เสียนี้จะให้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) หรือหน่วยงานปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของแต่ละธนาคารเป็นผู้ดำเนินการ

   โดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นการที่เจ้าหนี้และลูกหนี้สมัครใจแก้ไขปัญหาหนี้ด้วยกัน อาจทำได้ทั้งการยืดระยะเวลาชำระหนี้ การยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัด (เนื่องจากหลังวิกฤตเศรษฐกิจมีลูกหนี้หลายรายขาดการผ่อนชำระหนี้แก่ธนาคาร ลูกหนี้รายนั้นจึงตกไปอยู่ในเกณฑ์ของ NPL แต่แม้จะหยุดผ่อนชำระ ดอกเบี้ยก็จะยังเดินไม่หยุด อีกทั้งมีดอกเบี้ยปรับกรณีผิดนัดอีก กลายเป็นเพิ่มภาระให้กับลูกหนี้รายนั้น การยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัดให้แก่ลูกหนี้ จึงเป็นการช่วยให้ลูกหนี้ยังพออยู่ในสภาพที่จะสามารถชำระหนี้แก่ธนาคารได้ต่อไป) นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือเพียงร้อยละ 0.01

   แล้วอย่างนี้จะเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาเพื่อทำอะไรกับ "เศรษฐกิจไทย"? ในเมื่อเรื่องของ "เศรษฐกิจ" มีองค์ประกอบของ "วัฎจักรที่มีทั้งขึ้น-ลง" เป็นตัวหลัก ส่วน "นักการเมือง" ไม่ใช่ผู้ควบคุมทุกปัจจัยทางเศรษฐกิจ

   คำถามมีอยู่ว่าในเมื่อก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ได้เอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้ว แต่ทำไมประชาชนจึงยังคิดว่าเศรษฐกิจไม่ดี?

   ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า...

1. ระยะเวลาของการเกิดผล คือ หลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงของทิศทางค่าเงินบาท, ทิศทางดอกเบี้ย หรือการใช้มาตรการใดๆ แล้ว ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ขึ้น

2. เรื่องของ "ความรู้สึก" ซึ่งเรื่องนี้กลับเป็นเรื่องหลัก ผมถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะความรู้สึกของประชาชนนั้นมีผลต่อความมั่นใจในเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมา ทั้งความมั่นใจด้านการบริโภค ลงทุน ใช้จ่าย ทั้งๆ ที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจก่อนคุณทักษิณมาเป็นนายกฯ นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นมากแล้ว ดังจะเห็นได้จากหนังสือแสดงเจตจำนง ฉบับที่ 7 ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม 2542


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

(http://www.bot.or.th/BOTHomepage/BankAtWork/AboutBOT/InternationalAffairs/InterCentralBank/IMF/8-11-2000-Th-i-1/Loi7.pdf)

   ข้อเท็จจริงอีกประการคือ เงินกู้ IMF เป็นเงินกู้แบบ Stand-by ที่มีระยะเวลาเบิกถอน 2 ปี 10 เดือน คือตั้งแต่ สิงหาคม 2540 จนถึงเดือนมิถุนายน 2543

   แต่เนื่องจากฐานะดุลการชำระเงินดีขึ้นมาก รัฐบาลไทยในขณะนั้นจึงตัดสินใจไม่เบิกถอนเงินกู้ตั้งแต่ มิถุนายน 2542 หมายถึง หยุดเบิกถอนก่อนกำหนดถึง 1 ปี

(ข้อมูลจาก ธปท. http://www.bot.or.th/BOTHomepage/BankAtWork/AboutBOT/InternationalAffairs/InterCentralBank/IMF/8-11-2000-Th-i/imf.htm)

   เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ "ไทยฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น" นั่นเอง

   การที่ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนฐานของความรู้สึก ถ้าความรู้สึกไปในทิศทางไม่ดี แต่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศนั้นดีพอ ก็ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจเดินไปในทิศทางที่ดีได้

   ดังเช่นปัจจุบันนี้ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยหลายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี (ยกเว้นเรื่องหนี้สินระดับรากหญ้า) แต่ความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อเศรษฐกิจไทยนั้น "ไม่ดี" จึงเกิดความไม่มั่นใจ และผลกระทบก็เป็นอย่างที่เห็นกัน (แต่สถานการณ์ปัจจุบันที่แตกต่างกับวิกฤตปี 40 ตรงที่ปี 40 นั้นประชาชนระดับรากหญ้า หรือรากแก้ว ก็ไม่ได้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเท่ากับปัจจุบันนี้!)

ในตอนที่ 4 ซึ่งเป็นตอนจบ คงไม่เกี่ยวกับเรื่องของตัวเลขให้ปวดหัวอีก แต่เป็นข้อเท็จจริงบางอย่างที่ใครหลายคนอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนไป...โปรดติดตามตอนต่อไป

 Cheesy ไม่สงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่...เพื่อสร้างความกระจ่างแก่คนรักทักษิณแต่ยังขาดข้อมูล

 หลงรัก แหล่งข้อมูล ขอบคุณ คุณ.กฤษณกมล
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 09:17:18 AM »

พย.2540 ประเทศไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเหลืออยู่3600ล้านเหรียญ
กพ.2544 ประเทศไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ32,200ล้านเหรียญ

GDPของไทย(ติดลบ)-11 ..... ตอนทักษิณมารับช่วงเป็นรัฐบาลGDPของไทยตีกลับมารอให้ใช้อยู่ที่+4.4

พย.2540ธ.ก.ส.ซึ่งแบกรับชีวิตของเกษตรกรประมาณ30ล้านคน มีเงินทุน10,000ล้านบาท....แต่ต้องเจอกับค่าเงินที่ดิ่งลงร่วม40%
ต้นปี2544 ธกส.ได้รับการเพิ่มทุนขึ้นอีก20,000ล้านบาท(200%) ทักษิณมาสวมรอยชูนโยบายรักรากหญ้าได้ทันที


ถามว่าตอนนี้มันทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าไหร่?

สอนนิสัยเสียๆให้พวกรากเน่าไว้ขนาดไหนแล้ว....ข้าวยังมีให้ลูกกินได้ไม่ครบมื้อ สะเออะติดนิสัยต้องพกมือถือ , ค่าเทอมลูกยังต้องผัด แต่หวยบนดินรากเน่าจะซื้อ ทีวี32"รากเน่าจะผ่อน  Tongue

รักมันเข้าปายยยยยยยยยย เจริญแน่ๆ คนรุ่นหลังสรรเสริญแน่ๆ ฮ่วย Undecided
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 15, 2007, 10:08:45 AM โดย E_mail » บันทึกการเข้า
Army - รักในหลวงครับ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 151
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2251



« ตอบ #4 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 10:01:27 AM »

มาปรบมือให้คุณ Watt ครับข้อมูลน่าสนใจมาก  Cheesy
บันทึกการเข้า
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 10:05:21 AM »

Tongue
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
S.W.A.T
Hero Member
*****

คะแนน 6
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1023

Ceska Zbrojovka


« ตอบ #6 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 10:42:11 AM »

ทุกสมัยรัฐบาล ก็ส่งเงินมาตลอด
บันทึกการเข้า

อรินทราช 26
som36
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 29
ออฟไลน์

กระทู้: 404


« ตอบ #7 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 11:27:07 AM »

ต้องยอมรับข้อเท็จจริง ว่า คุณทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สยามประเทศ ได้แสดงบทบาทได้อย่างไม่เคยมีอดีตนายกรัฐมนตรี สยามประเทศ เคยแสดงหรือกล้าแสดงมาก่อน ปัจจัยที่มาหลักของการแสดงบทบาท คือ การที่คนๆ หนึ่ง มี 2 สปีซี่ (นิสัย หรือสันดาน) ระหว่าง เป็นพ่อค้ากับเป็นตำรวจ  ลักษณะบ่งชี้อย่างหยาบๆ ทั่วไป คือ เอาเปรียบ ค้ากำไรเกินควร ตอหลดตอแหล ฯลฯ + โกง เอาตัวรอด ไม่รับผิดชอบ แบบหน้าด้านๆ ฯลฯ
คนทั่วไป โดยเฉพาะท่านบรรดารากหญ้า  รากแก้ว ซึ่งไม่ได้ติดตามข่าวสาร อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และขาดพื้นฐานความรู้ที่จะใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล หรือภาพที่เห็น ก็จะหลงเข้าใจผิด กล่าวคือจะเป็นเหยื่อถูกหลอกได้ง่ายๆ ประกอบกับได้รับน้ำจิ้มผลประโยชน์สบัดมาโดน ก็ถูกอกถูกใจ
แต่หารู้ไม่เลยว่า เนื้อๆ ชิ้นโตๆ ซึ่งเป็นของส่วนรวมมันโดน คนบางคน บางกลุ่ม ล่อกันบนโต๊ะ ซะพุงปลิ้น ผลพวงที่ได้รับก็คือ คนส่วนใหญ่ในสยามประเทศ จะมีลักษณะเป็นคนมักง่าย  ไม่มีวินัยทางการเงิน เสพติดกับการนำรายได้ในอนาคตมาใช้จ่ายในปัจจุบัน ในสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต  กาลข้างหน้ามืดมนอนธกาล แน่ๆ  ทางรอดที่เห็นในตอนนี้ และอนาคต คือ แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พ่อของแผ่นดิน ทรงชี้ทางสว่างให้ 
 
บันทึกการเข้า
โป้ง*กันบอย - รักในหลวง
YOU'LL NEVER WALK ALONE
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1629
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16886


คนฮัก เต้าผืนหนัง........คนจัง เต้าผืนสาด


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 12:14:31 PM »

-หวยบนดิน.............ที่หลอกคนส่วนใหญ่ได้สำเร็จ ว่าถ้ามันขึ้นมาบนดินแล้วใต้ดินจะศูนย์1000

แถมคนขายพิการ ตาบอด ที่ไปประท้วง โดนลากโดนจับแบบหมู หมา กา ไก่ ช่างใจดีเหลือเกิน หัวเราะร่าน้ำตาริน

-เอนเตอร์เทนเม้นท์ฯ หรือบ่อนดีๆนี่เอง  ที่หลังจากที่ตีบทแตกเป็นพ่อพระมาจากหวยบนดิน

แต่มีอันต้องม้วนเสื่อกลับบ้านแทบไม่ทันเพราะมีคนรู้ทัน.............. Grin Grin Grin

-ปตท. ขายหุ้นไปโดยประชาชนส่วนใหญ่ได้ถือกันคนละนิดละหน่อย ยังจำได้ก่อนปล่อยราคาน้ำมันลอยตัว

ช่วงก่อนเลือกตั้ง ยังปากแข็งว่าไม่มีทางปล่อยแน่นอน อุ้มไหวๆ พอเลือกตั้งได้ไม่กี่วันบอกรัฐไม่สามารถอุ้มได้แล้ว

เพราะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ๆก็พวกตรูเอง อยากได้เงินแล้ว.........เหอๆ โดนชก

*ระบบของนายทุนก็คือทำอย่างไรก็ได้ ขอให้กำไรสูงสุด ...ผิดกับรัฐฯ ที่ผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

-ไฟฟ้า....ก็เกือบไป...โดนสั่งว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยังพูดดีบอกไม่เป็นไรๆไม่ถูกใจ เดี๋ยวเอามาขายใหม่ๆ ผิดพลาดทางเทกกะนิก....*+*

ยังมีอีกเยอะที่คน คนนี้...........ทำไว้ ไม่ใช่มาลืมตัวหน้ามืด...ตอนมีอำนาจ จูบบบบ

ยังจำได้ไหม เลือกตั้งผู้ว่ากทม.หลายปีก่อน ป้ายโฆณาเกลื่อนเมือง ตัวอย่างเช่น "ป้ายม้าลายที่พูดว่า พี่ๆเคยเห็นผมอะเปล่า" Grin

หลังจากนั้นก็เริ่มขบวนการ โดยการเข้าร่วมรัฐบาลสมัยนั้น เข้าไปเซ็นสัมรับประทานโทรฯ (แบบผูกขาดกินคนเดียวก็อิ่มแล้วง่ายยิ่งกว่านับ123)

แล้วก็ลาออกจากการเมือง โดยให้เหตุผลแบบนักบุญแนวๆว่า การเมืองไม่สะอาดผมออกดีกว่า ....(สมใจแล้วนี้) หลังจากนั้นก็เริ่มสะสมเงิน...

เอาไปซื้อเครื่องดูดส.ส. กดที่ละล้านต่อ1หน่อถูกจริงๆ ดูดเป็นพรรคก็ดูดได้เย้....... Tongue

แล้วก็เอาผ้าแดงมาผูกคอแบบซูเปอร์แมนบอกว่า...ผมพร้อมแล้วที่จะมาช่วยประเทศไม่ต้องกลัวผมโกงเพราะผมรวยแล้ว(ระดับหนึ่ง)

กว่าจะทำให้ท่านจนลงได้ ก็ต้องซุกไปซุกมา กว่าจะรอดมาแบบ บกพร่องโดยสุจริต Grin

เข้ามาไม่กี่ปีท่านจนเอ้าจนเอา......... น่าสงสาร ...........จริงเน้อ..........ฮ้วย

ด้วยความเคารพครับ

 Grin Grin Grin






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 15, 2007, 12:21:11 PM โดย กำลังสำรองgUnbOy » บันทึกการเข้า


^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^
มีภัย มีเรา biw199
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 224
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3412



« ตอบ #9 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 01:25:49 PM »

ใครว่าคนดีไม่มีที่อยู่ดูซิคนดีของPTVอยู่นอกโน้น Grin
บันทึกการเข้า





พายุยิ่งพัดอื้อ....................ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อิศานนับแสนแสน..............สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ?
jakrit97 - รักในหลวง -
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 164
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5466


Dead boy can't shoot!


« ตอบ #10 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 01:36:38 PM »

-ปตท. ขายหุ้นไปโดยประชาชนส่วนใหญ่ได้ถือกันคนละนิดละหน่อย ยังจำได้ก่อนปล่อยราคาน้ำมันลอยตัว

ช่วงก่อนเลือกตั้ง ยังปากแข็งว่าไม่มีทางปล่อยแน่นอน อุ้มไหวๆ พอเลือกตั้งได้ไม่กี่วันบอกรัฐไม่สามารถอุ้มได้แล้ว

เพราะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ๆก็พวกตรูเอง อยากได้เงินแล้ว.........เหอๆ โดนชก

*ระบบของนายทุนก็คือทำอย่างไรก็ได้ ขอให้กำไรสูงสุด ...ผิดกับรัฐฯ ที่ผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก


FYI. ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ปตท. คือกระทรวงการคลังครับ ข้อมูลของวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๐ มีอยู่ ๕๒.๓๒% ครับ

และที่ดู ๑๕ รายแรกที่ถือหุ้นมากที่สุด ไม่มีบุคคลเลยครับ เป็นนักลงทุนสถาบันเสียส่วนใหญ่ (รวม ๆ ประมาณ ๘๐%)

ที่นี่ครับ => http://www.settrade.com/S13_FastQuote.jsp?txtBrokerId=IPO&txtSymbol=PTT&selectPage=5

ปีที่แล้วปันผล ๒ ครั้ง รวม ๑๐.๕๐ บาท กระทรวงการคลังรับไป = 1,467,750,743 x 10.50 = 15,411,382,801.50 บาท

ใครเป็นสมาชิก กบข. บ้างครับ ปีที่แล้วรับไป = 18,762,800 x 10.50 = 197,009,400 บาท

ส่วนประกันสังคมสุดรักของผม รับไป 2 x 217,900,000 x 10.50 = 4,575,900,000 บาท ..... (แต่ให้เบิกทำฟันปีละ ๔๐๐ บาท ...ฮ่วย)

บ. ปตท. เนี่ย ผมว่าตอบสนองคำสั่งของรัฐบาลเต็มที่เลยครับ กดราคาขายหน้าปั้มจนต่ำชนิด ปั้มเอกชนยี่ห้อตัวเองปิดหนี เลิกขายน้ำมัน แถมเจ้าใหญ่อย่าง conocco ยังต้องขายกิจการหนีกลับบ้านไป (ปั้ม Jet) ...

และถ้าผมไม่ผิด การที่ปีที่แล้ว ปตท. จ่ายปันผล ๒ ครั้ง เพราะรัฐบาลกำลังหาเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายครับ (ถังแตกงัย จำได้ไหม) ..... Grin Grin Grin
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 15, 2007, 01:41:41 PM โดย jakrit » บันทึกการเข้า

7 x 7 # รักในหลวง #
I will never walk Alone
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 52
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 852


นิ่งดั่งภูผา ไปมาไร้ร่องรอย รุกถอยประดุจลม


« ตอบ #11 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 02:14:20 PM »

....รัฐบาล(ทักษิโนมิค)ถังแตก  โดนชก  ถูกใจด่วน...... Grin
บันทึกการเข้า

ความรู้...คู่คุณธรรม
Sig228-kolok
KU47 AGGIE / SOTUS HS9VOL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2947
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 40236



« ตอบ #12 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 02:27:31 PM »

"โคตรเกลียดเอ็งเลย"
บันทึกการเข้า

ขายที่ดิน 20 ไร่ บริเวณคลอง 8 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมฯ ไร่ละ 1.8 ล้าน โทร 086-2859988
กดที่นี่ >>http://www.wikimapia.org/#lat=14.0499777&lon=100.7824481&z=17&l=0&m=b
โป้ง*กันบอย - รักในหลวง
YOU'LL NEVER WALK ALONE
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1629
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16886


คนฮัก เต้าผืนหนัง........คนจัง เต้าผืนสาด


เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 02:50:05 PM »

-ปตท. ขายหุ้นไปโดยประชาชนส่วนใหญ่ได้ถือกันคนละนิดละหน่อย ยังจำได้ก่อนปล่อยราคาน้ำมันลอยตัว

ช่วงก่อนเลือกตั้ง ยังปากแข็งว่าไม่มีทางปล่อยแน่นอน อุ้มไหวๆ พอเลือกตั้งได้ไม่กี่วันบอกรัฐไม่สามารถอุ้มได้แล้ว

เพราะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ๆก็พวกตรูเอง อยากได้เงินแล้ว.........เหอๆ โดนชก

*ระบบของนายทุนก็คือทำอย่างไรก็ได้ ขอให้กำไรสูงสุด ...ผิดกับรัฐฯ ที่ผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก


FYI. ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ปตท. คือกระทรวงการคลังครับ ข้อมูลของวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๐ มีอยู่ ๕๒.๓๒% ครับ

และที่ดู ๑๕ รายแรกที่ถือหุ้นมากที่สุด ไม่มีบุคคลเลยครับ เป็นนักลงทุนสถาบันเสียส่วนใหญ่ (รวม ๆ ประมาณ ๘๐%)

ที่นี่ครับ => http://www.settrade.com/S13_FastQuote.jsp?txtBrokerId=IPO&txtSymbol=PTT&selectPage=5

ปีที่แล้วปันผล ๒ ครั้ง รวม ๑๐.๕๐ บาท กระทรวงการคลังรับไป = 1,467,750,743 x 10.50 = 15,411,382,801.50 บาท

ใครเป็นสมาชิก กบข. บ้างครับ ปีที่แล้วรับไป = 18,762,800 x 10.50 = 197,009,400 บาท

ส่วนประกันสังคมสุดรักของผม รับไป 2 x 217,900,000 x 10.50 = 4,575,900,000 บาท ..... (แต่ให้เบิกทำฟันปีละ ๔๐๐ บาท ...ฮ่วย)

บ. ปตท. เนี่ย ผมว่าตอบสนองคำสั่งของรัฐบาลเต็มที่เลยครับ กดราคาขายหน้าปั้มจนต่ำชนิด ปั้มเอกชนยี่ห้อตัวเองปิดหนี เลิกขายน้ำมัน แถมเจ้าใหญ่อย่าง conocco ยังต้องขายกิจการหนีกลับบ้านไป (ปั้ม Jet) ...

และถ้าผมไม่ผิด การที่ปีที่แล้ว ปตท. จ่ายปันผล ๒ ครั้ง เพราะรัฐบาลกำลังหาเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายครับ (ถังแตกงัย จำได้ไหม) ..... Grin Grin Grin

ขอบคุณครับพี่ jakrit ชัดเจนครับ

แต่ตรงส่วนที่ผมหมายถึงคือส่วนที่เอามาออกขายให้กับประชาชนทั่วไปครับ

ที่เปิดจองอะครับ

พี่พอมีข้อมูลหรือเปล่าครับ รบกวนด้วยครับ

ด้วยความเคารพครับ
บันทึกการเข้า


at75
Hero Member
*****

คะแนน 99
ออฟไลน์

กระทู้: 3511



« ตอบ #14 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2007, 03:01:57 PM »

ชาวบ้าน ส่วนใหญ่ ชอบดูปาหี่ มากกว่าชอบฟังธรรมมะ ก็ไม่แปลกอ่ะไร ที่จะมีชาวบ้านชอบ ทักษิณ มากกว่าที่จะชอบมองความเป็นจริง  ผมเองเคยคุยกับ อาจารณ์ จุฬา ท่านนึงที่เคยเป็นที่ปรึกษา ทักษิณ และลาออกจาก ทรท สมัย ทรท1(ท่านเห็นแล้วทนอยุ่ต่อไม่ได้)  ท่านเคยบอกว่า นโยบายทักษิณเป็นเหมือนเกมโชว์ เรียลลิตี้ ที่ดูสนุก เอามันส์ เร้าใจคนดู แต่เอามาปฎิบัติจริงได้ไม่ถึง10% ตอนที่ชาวบ้าน กำลังสนุก กับเกมโชว์ ทักษินก็แอบขโมยเงินประเทศเข้ากระเป๋า ตัวเองสนุกสนาน จนน้ำตาเล็ด  ได้ยินแล้วเศร้าใจจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 15, 2007, 03:09:53 PM โดย at75 » บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.116 วินาที กับ 22 คำสั่ง