ดีใจจริงๆ "ทักษิณ" ซื้อ "แมนฯ ซิตี้ฯ"(ได้)เสียที
โดย หัวปิงปอง 22 มิถุนายน 2550 20:59 น.
ลงเอยเสียทีสำหรับการเข้าไปซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลในเกาะอังกฤษบนเวทีพรีเมียร์ลีก อย่าง "แมนเชสเตอร์ ซิตี้" ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
หลังตกเป็นข่าวมานาน
ตามรายละเอียดของข่าวระบุว่า การซื้อในครั้งนี้เป็นการซื้อในนามของบริษัท ยูเค สปอร์ต อินเวสเมนต์ ที่บริหารงานโดยพ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงบุตรชายและบุตรสาว พร้อมกันนั้นอดีตนายกฯ ไทยก็เปลี่ยนชื่อตนเองเสียใหม่เพื่อให้แฟนเรือใบสีฟ้าได้เรียกง่ายๆ ว่า "ซินาตร้า"
บอกตรงๆ ว่า "หัวปิงปอง" รู้สึกโล่งอกเหลือเกิน ที่การเจรจาในครั้งนี้ได้ข้อสรุปเสียที (แม้จะ 90% ยังไม่ 100% ก็ตาม)
ที่ผ่านมาต้องบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สร้าง "มูลค่า" ให้กับตนเองจากกระแสข่าวการติดต่อธุรกิจในครั้งนี้ได้ในทางบวกมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริง ข่าวลือ ข่าวปล่อย เรื่อยไปแม้กระทั่งจากบทความ คอลัมน์ บทวิเคราะห์ที่มีทั้งเชียร์ ดูแคลน เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่เชื่อน้ำยา ปาหี่ ฯลฯ
ในความเป็นจริง การเข้าไปซื้อหุ้นในครั้งนี้มิใช่เรื่องของการทำ "ธุรกิจ" โดยนักธุรกิจทั่วๆ ไป หากแต่ "ถูกสร้าง" ให้ "ผูกโยง" ไปถึงการเป็นบท "พิสูจน์" เพื่อ "การันตี" ถึงคนๆ หนึ่งตั้งแต่ต้น ทั้งในแง่ของการเป็นคนที่มีคำพูดน่าเชื่อถือ การเป็นคนที่โลกให้การยอมรับ การเป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถ+วิสัยทัศน์ การเป็นคนที่เอาจริงเอาจังขยันขันแข็ง การเป็นคนที่รักษาคำพูด หรือแม้แต่เรื่องของการเป็นคนรักชาติรักประเทศบ้านเกิดเมืองนอน
แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิดเดียว และไม่สมควรเลยที่จะเอาคนละเรื่องนี้มารวมเป็นเรื่องเดียวกัน จนทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต่างเข้าใจ(ผิด)ไปเช่นนั้น
ส่งผลให้ข่าวคราวของการเข้าไปซื้อหรือไม่ซื้อหุ้นในครั้งนี้กลายเป็น "เหตุผล" อย่างหนึ่งต่อความเชื่อมั่นในความคิดเห็น และความรู้สึกที่แตกต่างกันในตัวอดีตผู้นำ ซึ่งกับบทสรุปที่ออกมาจึงกลายเป็นผลบวกกับพ.ต.ท.ทักษิณไปโดยปริยาย
จะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ "หัวปิงปอง" เป็นคนหนึ่งที่แอบเชียร์ให้อดีตนายกฯ ได้กลายเป็นเจ้าของทีมแมนฯ ซิตี้นี้ตั้งแต่เริ่มต้นที่มีข่าวออกมา ด้วยความรู้สึกว่ามันคือเรื่องส่วนตัว เรื่องของการทำมาหากินที่สื่อฯ เองไม่น่าจะหลงกลสนใจชักโยงกระทั่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่ใช้สร้างน้ำหนักของความน่าเชื่อถือ รวมทั้งเป็นการหาฐานเสียงสนับสนุนให้กับเจ้าตัวด้วยการใช้เรื่องของกีฬาเพื่อนำไปสู้กับคดีการทุจริตคอร์รัปชั่น การแสวงหาผลประโยชน์ระหว่างที่ตนเองมีอำนาจ ที่กำลังถูกตรวจสอบอยางหนัก โดยมีหลักฐานและข้อมูลต่างๆ ออกมามัดตัวอยู่เกือบจะตลอดเวลาในช่วงนี้
ในทางการเมืองกับเงื่อนไขที่ถูกสร้างโยงขึ้นมา การได้เข้าไปเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลครั้งนี้อาจจะมองได้ว่าอดีตนายกฯ ทักษิณชนะไปแล้วยกหนึ่งในความรู้สึกของใครหลายคน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายเชียร์) ทว่าในความคิดของ "หัวปิงปอง" ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่ที่เจ้าตัวได้ประกาศภาพฝันอันยิ่งใหญ่ว่าจากนี้ตนจะพาทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทาบรัศมีทีมใหญ่ๆ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - ลิเวอร์พูล รวมถึงการพาทีมคว้าแชมป์ลีกให้ได้นับตั้งแต่ฤดูกาลแรก และก้าวขึ้นสู่การเป็นสู่จ้าวยุโรป เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอนาคต
มีเงินเป็นเจ้าของทีมได้ก็จริง มีเงินจ้างโค้ช จ้างนักเตะดังๆ ได้ก็จริง มีเงินจ่ายค่าตัวแพงๆ ได้ก็จริง ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ก็หาใช่ว่าเมื่อเอามารวมๆ กันแล้วจะเป็นเครื่องหมายที่การันตีว่าจากนี้ไป "ความสำเร็จ" จะต้องตามมาเสียเมื่อไหร่
เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของกีฬาที่ต้องมี "ใจรัก" เป็นที่ตั้ง
ตัดเรื่องการเมือง เรื่องเอาเงินที่ไหนไปซื้อ ถูกต้องหรือไม่ รวมถึงคดีที่เจ้าตัวจะต้องเคลียร์ตัวเองให้ได้ว่ามิได้ผิดจริงตามข้อกล่าวหาจากหน่วยงานคณะต่างๆ ที่เยอะเหลือเกิน เรื่องที่ดีก็คือจากนี้ไปเราก็จะได้เห็นกันเสียทีถึงความสามารถของพ.ต.ท.ทักษิณคนนี้ว่าจะเจ๋งจริงอย่างที่กองเชียร์ใช้เป็นเหตุผลต่อการสนับสนุนอยู่หรือไม่
ความสามารถทางด้านบริหารที่ต้องแสดงออกมาบนความสำเร็จของสโมสร มิใช่ "ข่าวฮือฮารายวัน" ที่ถึงตอนนี้สร้างได้ไม่ยากเลยครับกับการ "จัดงาน-ทำกิจกรรม" เพื่อให้ได้หน้า ได้ภาพที่ดี โดยเฉพาะสำหรับประชาชนและสื่อมวลชนของบ้านเรา เช่น เอานักร้องไทยไปร้องเพลงที่สนาม เอานักฟุตบอลไทยไปซ้อม ไปเล่น ซึ่งต้องถามหน่อยว่าทั้งหมดนั้นเพื่อประโยชน์อะไรและของใคร?
ใครที่คิดว่านี่เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ไปโชว์ฟอร์มบนสังเวียนระดับโลก ต่อให้ทำกันจริงๆ ก็ต้องถามอีกว่าแล้วยังไง?
นี่คือการหวังดีที่จะยกระดับมาตรฐานนักบอลไทยอย่างถาวรจริงๆ หรือ?
ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้กันดีว่า "มาตรฐาน" ที่เราใฝ่หากันนั้น อย่างเดียวเลยคือต้องเริ่มต้นจากความแข็งแกร่งและความนิยมฟุตบอลลีกภายในบ้านของเราก่อน รวมถึงที่ผ่านมาใช่หรือไม่ว่ามีโครงการ มีอะไรมากมายที่เปิดโอกาสให้เด็กของเราได้เข้าไปสู่ในจุดที่ว่ามากมาย แล้วบทสรุปเป็นเช่นไร?
บังเอิญเหลือเกินครับที่เพื่อนบอกให้ไปอ่านคอลัมน์ "แตกกอ ต่อยอด" ของ "ศิลา โคมฉาย" ที่พูดถึงเรื่องนี้ในงานเขียนที่ชื่อ "ฝันกลวง" (มติชนรายสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 8 - 14 มิถุนายน") เลยมีข้อมูลบางอย่างมาบอกเล่า...
จำกันได้หรือไม่ว่าอดีตนายกฯ คนนี้เคยขึงขังสร้างภาพทำท่าเอาเจริงเอาจังกับวงการฟุตบอลไทยขนาดไหนกับโครงการที่เป็นที่ฮือฮาอย่าง "บอลไทยไปบอลโลก"
บทสรุปที่ได้ก็คือการถูกฟีฟ่าลดอันดับจาก 70 ลงมาอยู่ในอันดับที่ 120 ถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นทีมวางที่จะต้องลงไปแข่งรอบคัดเลือก
ที่สำคัญอดีตนายกคนนี้เองเคยวิพากษ์วิจารณ์ต่อนักฟุตบอลทีมชาติและทีมงานเมื่อครั้งที่ทีมไทยแพ้ในบ้านจนตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกในเดือนมิ.ย.เมื่อปี 2547 ชนิดที่กระแทกน้ำใจของคนที่ได้ฟัง กระทั่ง "ซิโก้" เองต้องออกมาสวนกลับไปอย่างไม่เกรงบารมีของเจ้าตัวในตอนนั้นว่า...
"ไม่มีใครหรอกที่อยากแพ้ เป็นไอ้ขี้แพ้ อยากถามรัฐบาลเหมือนกัน ที่ออกมาว่าเราเล่นไม่เต็มที่ ไม่ทุ่มเท แลัวรัฐบาลเคยช่วยอะไรหรือเปล่า?"
ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า พ.ต.ท.ทักษิณแกไปแสดงความเป็นคนที่มีหัวใจรักฟุตบอล มีน้ำใจที่เป็นนักกีฬาว่าอย่างไรบ้าง?
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านเล่นๆนะครับ อย่าซีเรียส...