เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 18, 2024, 07:32:43 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3 4 ... 20
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สมรภูมิบ้านร่มเกล้า(สงครามที่ถูกลืม)  (อ่าน 151274 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^
มีภัย มีเรา biw199
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 224
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3412



« เมื่อ: มิถุนายน 23, 2007, 10:49:56 PM »

**ภาพเนิน 1428 อดีตสมรภูมิรบอันดุเดือด (มุมมองภาพถ่ายจาก อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว) เมื่อ 20 ปีที่แล้ว( พ.ศ.2530-พ.ศ.2531 )
สมรภูมิบ้านร่มเกล้า ศึกประวัติศาสตร์ ระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว ณ บริเวณ ยุทธภูมิบ้านร่มเกล้า ในช่วง กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 จากการสู้รบอย่างหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมากทั้งฝ่ายไทยและลาว และนับเป็นการสูญเสียชีวิตทหารมากที่สุดในการรบของไทยเท่าที่เคยมีมา จากคำบอกเล่าของทหารที่อยู่แนวหน้า ซึ่งทำการรบ ณ ยุทธภูมิบ้านร่มเกล้า ทำให้ทราบว่า ศึกครั้งนี้เราต้องรบกับข้าศึกที่มียุทธภูมิดีกว่า มีอำนาจการยิงสนับสนุนต่อเนื่องและรุนแรง ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะแนวกับระเบิด ทหารหลายนายซึ่งผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน กล่าวว่า เป็นการรบที่หนักที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมาในชีวิตการเป็นทหาร โดยเฉพาะบริเวณเนิน 1182 , 1370 , และ 1428 ซึ่งถือว่าเป็นเนินแห่งสมรภูมิเลือดอย่างแท้จริง

ยุทธการบ้านร่มเกล้า ได้เริ่มขึ้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 เมื่อ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ผบ.ทบ. (ในขณะนั้น) ประกาศจะผลักดันกองกำลังต่างชาติที่เข้ามายึดครองพื้นที่ในเขตไทยทุกรูปแบบด้วยการใช้กำลังทหาร จึงทำให้เกิดการสู้รบอย่างดุเดือดทหารไทยทั้ง ทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ และทหารพราน ได้รุกตอบโต้ยึดที่มั่นต่างๆที่ลาวครองไว้กลับมาได้เ็้ป็นส่วนมาก รวมทั้งได้ทำการโอบล้อมบริเวณตีนเนิน 1428 ไว้ได้ แต่ไม่สามารถบุกขึ้นไปถึงยอดเนินซึ่งทหารลาวใช้เป็นฐานต่อต้านได้ ถึงแม้จะใช้กำลังทางอากาศบินโจมตีทิ้งระเบิดอย่างหนักก็ตาม จนทำให้ ทอ. ไทย ต้องสูญเสียเครื่องบิน เอฟ 5 อี และ โอวี 10 ไปอย่างละ 1 เครื่อง อันเป็นผลมาจากการยิงของฝ่ายลาว ทางภาคพื้นดิน ด้วย ปตอ. และจรวดแซม

หลังจากที่ทหารลาวสูญเสียที่มั่นต่างๆ ได้รวบรวมกำลังพลเข้ารักษาเนิน 1428 ไว้อย่างเหนียวแน่นโดยมีกำลังรบและกำลังสนับสนุนดังนี้คือ กองพลที่ 1 จำนวน 4 กองพัน พร้อมอาวุธหนักปืนใหญ่ 130 มม. 3 กระบอก ปืน 105 มม. 3 กระบอก รถถังอีก 4 คัน รวมกำลังพล 372 คน

กองพลที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่หลวงพระบาง จำนวน 4 กองพัน เช่นกัน มีกำลังพลกว่า 418 คน สนับสนุนด้วยปืนใหญ่ 130 มม. 3 กระบอก ปืนใหญ่ 105 มม. 3 กระบอก รถถัง 5 คัน ปืน ค. ขนาด 62 และ 82 มม. รวมทั้ง ปตอ. ด้วย นอกจากนี้กองกำลังหลักซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ ไชยบุรี มีปืนใหญ่ 130 มม. 2 กระบอก ปืนใหญ่ขนาด 122 มม. อีก 3 กระบอกรวมทั้งหน่วยจรวดต่อสู้อากาศยานแบบ แซม 7 ซึ่งเป็นปืนที่ทหารอากาศมีความเชี่ยวชาญมาก

ในระยะแรกของการรบนั้น ทหารไทยใช้ทหารม้าและทหารพรานรุกคืบหน้าเข้าสู่บริเวณเนิน 1428 ซึ่งพบกับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายลาวอย่างคาดไม่ถึงโดยเฉพาะกับระเบิดและการยิงปืนใหญ่จากลาวอย่างหนาแน่นและต่อเนื่อง ทำให้การรุกคืบหน้าเป็นไปได้ช้าและสูญเสียอย่างมาก สาเหตุสำคัญที่เราไม่สามารถเผด็จศึกได้อย่างที่คาดหมาย เนื่องจากทหารลาวมีชัยภูมิที่ได้เปรียบ ที่มั่นบนเนิน 1428 มีความแข็งแรง สามารถส่งกำลังบำรุงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว การยิงอาวุธหนักของฝ่ายลาวมีความแม่นยำและได้ผลมาก การพิชิตเนิน 1428 ให้ได้นั้น ทางที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดคือต้องโอบอ้อมบุกตะลุยขึ้นจากตีนเนินด้านเขตประเทศลาว และสยบฐานปืนใหญ่ที่อยู่ในฝั่งลาวให้เงียบเสียงเสียก่อน ซึ่งในขั้นแรกทหารไทยมีความคิดที่จะผลักดันทหารลาวออกจากดินแดนไทยเท่านั้น การรบจึงจำกัดเขตอยู่แต่ในประเทศไทย แต่หลังจากการรบในช่วงแรกฝ่ายเราไม่ประสบผลสำเร็จดังที่คาดหมายไว้ คณะนายทหารจึงได้ปรับยุทธการรบเสียใหม่ โดยใช้กำลังปืนใหญ่ระยะยิงไกลแบบ เอ็ม 198 และปืนใหญ่แบบต่างๆ ระดมยิงเข้าไปในดินแดนลาว ที่หมายคือการยิงฐานปืนใหญ่และที่ตั้งกำลังทหาร พร้อมทั้งส่งหน่วยรบพิเศษเข้าไปตัดการส่งกำลังสนับสนุนของฝ่ายลาว จนกระทั่งการสนับสนุนการรบของลาวได้ลดประสิทธิภาพลงไปอย่างมาก ซึ่งคาดว่า หลังจากวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2531 เนิน 1428 จะต้องกลับคืนมาเป็นของไทยอย่างแน่นอน แต่แล้ววันที่ 19 กุมภาพันธ์ ก็ได้มีการเจรจายุติศึกแยกกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายออกจากกันฝ่ายละ 3 กม. อันเป็นการสิ้นสุดการรบที่ไม่สามารถชี้ชัดไปได้ว่า ใครคือผู้ชนะ

**ข้อสังเกตจากการรบ
การรบครั้งนี้ผิดกับการรบเท่าที่ทหารไทยได้เคยผ่านมา ทำให้ต้องระดมกำลังทหารหน่วยต่างๆ เข้าสู่ยุทธบริเวณจำนวนมาก ทั้งจากเหล่าม้า เหล่าราบ เหล่าปืนใหญ่ เหล่าทหารช่าง หน่วยรบพิเศษ รวมทั้งการรบนอกแบบที่ต้องใช้ทหารพรานเข้าเกาะฐานที่มั่นของฝ่ายลาวด้วย
การส่งกำลังบำรุงของทหารไทยเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากเส้นทาง สภาพถนนที่ค่อนข้างแคบและขรุขระ อีกทั้งเป็นทางสูงชันคดเคี้ยว ลัดเลาะไปตามไหล่เขาที่ค่อนข้างสูงไม่ต่ำกว่า 1000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
สาเหตุที่ทหารลาวได้ยึดเนิน 1428 ชนิดหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมถอย เท่าที่ดูจากภูมิประเทศแล้ว เนิน 1428 เป็นเนินบนยอดเขาที่สูงที่สุด สามารถมองเห็นชัยภูมิรอบๆ ได้เป็นอย่างดี และ ผตน. ของลาวจะคอยชี้เป้าให้ปืนใหญ่ยิงถล่มทหารไทยที่กำลังรุกคืบหน้าอยู่เบื้องล่างอย่างได้ผล และที่สำคัญคือ เนิน 1428 นั้นทหารลาวได้ทำบังเกอร์ถาวร (คอนกรีตเสริมเหล็ก) ขุดอุโมงเชื่อมต่อกับรอบฐาน ปรับพื้นที่ ขุดร่องเหลดไว้พร้อมสรรพ เป็นฐานที่มั่นแข็งแรง สามารถทนทานการโจมตีทางอากาศได้อย่างดี น่าสงสัยว่าการข่าวของเราดีแค่ไหน ทำไมปล่อยให้ทหารลาวมาตั้งฐานที่มั่นอยู่ได้ตั้งนาน แถมวางกับระเบิดนับหมื่นๆลูกไว้เต็มไปหมด การกระทำเช่นนี้คงไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น ต้องใช้เวลาเป็นแรมเดือน และที่สำคัญที่สุดคือ การประเมินค่า ขีดความสามารถในการรบของทหารลาว ซึ่งทหารลาวในครั้งนั้นได้รับการฝึกจากเวียตนาม มีรัสเซียสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะทหารปืนใหญ่ และหน่วยป้องกันภัยทางอากาศ ซึ่งต้องใช้ฝีมือและเทคโนโลยีเข้าช่วย จึงจะปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การที่ทหารไทยไม่สามารถชนะได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากเราต้องต่อสู้กับกองกำลังทหารลาวและกำลังของประเทศที่ 3 พร้อมๆกันด้วยอาวุธหลายอย่างที่ทันสมัย ชัยภูมิในการรบทหารไทยเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการรบก็ต้องฟังคำสั่งจากรัฐบาล รบในกฎเกณฑ์ ทำให้การรบทำอย่างไม่เต็มที่ แถมสูญเสียกำลังผลไปอย่างมากมาย
การใช้สุนัขสงคราม ตรวจหาทุ่นระเบิด นับว่าเป็นวิธีที่ประหยัดและได้ผลดีที่สุด แต่เมื่อถึงสนามรบจริง สุนัขบางตัวกลับเดินหนีสงสัยจะเวียนหัวกลิ่นกำมะถัน เพราะลาววางไว้เต็มไปหมด นักรบบางท่านจึงต้องเหลือช่วยตนเองเอาไม้ไผ่มาทำเครื่องค้นหากับระเบิดไปพรางๆก่อน เพราะเครื่องมือตรวจค้นทุ่นระเบิดของเรามีจำนวนจำกัด
ได้ยินจากทหารที่ลงมาจากเนิน 1428 ในแนวรบระหว่าง ไทย – ลาว ห่างกันแค่ 200 – 300 เมตรเท่านั้น เล่าให้ฟังว่า วันที่ทหารลาวสามารถสอย เอฟ 5 อี ร่วงลงได้ ทหารลาวยินดีปรีดากันทั่วหน้า แถมตะโกนบอกไทยว่ามือจรวดที่พิชิต บ. ตัวเก่งของไทย มีชื่อเสียงเรียงนามว่า "ไอ้ไฮ้" วีรบุรุษของชาวลาว
ศึกประวัติศาสตร์ ไทย – ลาว ถึงแม้จะยุติกันไปนานกว่า 10 ปีแล้ว ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดของนักรบไทยและลาว อันเป็นผลจากการเจรจาของผู้นำทางทหารของแต่ละประเทศ ที่มีถ้อยคำแถลงว่า ต่อไปนี้ไทยและลาวจะไม่ตีรันฟันแทงกันอีกแล้ว เลือดไทย – ลาว จะไม่มีให้เห็นกันอีกต่อไป สายสัมพันธ์ของทั้ง 2 ชาติจะยั่งยืนเสมือนสายน้ำโขงที่ไม่มีวันเหือดแห้ง แต่คำเหล่านี้ น่าจะได้ยินก่อนที่จะเปิดยุทธการบ้านร่มเกล้า เป็นที่น่าเสียดายที่พวกนักรบที่กล้าหาญได้สังเวยชีพไปแล้วไม่มีวันจะได้ยินคำเหล่านี้ เลือดและวิญญาณของพวกเขาที่ไหลนองและสิงสถิตย์อยู่บนเนินร้าง 1428 คงทำให้เนินนรกแห่งนี้ เป็นดินแดนอาถรรพ์ต่อไปอีกนาน




โดย : thaiboy@mid.nt.uni. (Guest !)
อีเมล์ : thaiboy_boy@mid.nt.university.com
วันที่ : 2007-04-05 16:23:50
บันทึกการเข้า





พายุยิ่งพัดอื้อ....................ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อิศานนับแสนแสน..............สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ?
^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^
มีภัย มีเรา biw199
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 224
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3412



« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2007, 10:50:37 PM »

๑. มูลเหตุของการรบ

ยุทธการบ้านร่มเกล้า เกิดขึ้นในกรณีพิพาทระหว่าง ไทย-ลาว ณ บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก อันเนื่องมาจากปัญหาเส้นเขตแดน ซึ่งไทยและลาวอ้างสนธิสัญญาคนละฉบับ โดยลาวได้ส่งกำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ส่วนที่เป็นปัญหา ไทยจึงได้ส่งกำลังทหารเข้าผลักดัน และเกิดการปะทะกันด้วยกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายอย่างหนักหน่วง ในช่วงเดือนธันวาคม ๒๕๓๐ - กพ.๒๕๓๑ และมีการหยุดยิงของทั้งสองฝ่ายเมื่อ ๑๙ กพ. ๒๕๓๑

๒. ปัญหาเส้นเขตแดน จุดก่อของสงคราม

ตามสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ กำหนดให้น้ำเหืองเป็นเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส แต่ปีถัดมาพนักงานสำรวจทำแผนที่พบว่ามีน้ำเหืองสองสาย ฝรั่งเศสตัดสินเอาเอง (เข้าใจว่าไม่ได้แจ้งให้กรุงเทพฯ ทราบ) ว่าเลือกสายน้ำที่ทำให้ฝรั่งเศสได้ดินแดนมากขึ้นหน่อย เขตแดนตรงนั้นไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งปี ๒๕๓๐ ทางลาวอ้างว่าบริเวณบ้านร่มเกล้าเป็นของลาว เนื่องจากแผนที่คนละฉบับกับไทย ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดพลาดในการสำราจครั้งนั้น ภายหลังพบว่าลำน้ำเหืองมี ๒ สาย ซึ่งไม่ตรงกับแนวลำน้ำในปัจจุบัน ซึ่งปรากฏในแผนที่สหรัฐทำให้รัฐบาลไทยช่วงสงครามเวียดนาม อีกทั้งลำน้ำในปัจจุบันเรียกว่าเหืองป่าหมัน ซึ่งไม่ใช่ชื่อที่เคยปรากฏในเอกสารใด ๆ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐-๒๔๕๑

๒.๑ จุดที่น่าสังเกตของเหตุการณ์ครั้งนี้

๒.๑.๒ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวคือปี ๒๕๒๘-๒๕๓๐ ทหารเวียดนาม-เฮงสัมริน ได้ส่งกองกำลังจำนวนมากเข้ากวาดล้างกองกำลังเขมรฝ่ายต่อต้าน ตามแนวชายแดนไทยที่จังหวัดอุบลราชธานี จนเกิดกรณีการรบกันอย่างหนักกับไทยที่ช่องบก ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.น้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี. เป็นพื้นที่ชายแดนซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกัน ๓ ประเทศ คือ ไทย,ลาว และกัมพูชา มีทิวเขาพนมดงรัก กั้นเป็นแนวเขตแดน เนื่องจากพื้นที่ทางฝั่งเขมรเป็นที่ราบต่ำ ทหารเวียดนามจึงได้รุกล้ำเข้ามาตั้งฐานที่มั่นลึกเข้ามาในเขตไทยประมาณ 5 กม. มีการปรับปรุงดัดแปลงที่ตั้งเพื่อรับการโจมตีจากทางไทยเป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นการตัดการติดต่อระหว่างไทยกับกองกำลังกลุ่มต่อต้านในการสนับสนุนยุทธปัจจัยการรบที่ช่องบก ที่ช่องบกนั้นมีการปะทะกันอย่างหนักระหว่างไทยและเวียดนาม (ไทยใช้กำลังส่วนต่าง ๆ จากกองทัพภาคที่ ๒ ประกอบด้วย ๕ กองพันทหารราบ, ๑ ร้อยลาดตระเวนระยะไกล, ๒๗ กองร้อยทหารพราน, ๑ ร้อยรถถัง สนับสนุนด้วยปืนใหญ่ และกำลังทางอากาศ โดยเครื่องบิน A๓๗ และเอฟ ๕) การรบมีความรุนแรงไม่น้อยไปกว่าที่บ้านร่มเกล้า การปฏิบัติการกวาดล้างกองกำลังทหารเวียดนามที่ช่องบก ตั้งแต่ ม.ค.๒๕๒๘-ธ.ค.๒๕๓๐ ทหารไทยสูญเสีย กำลังพล ๑๐๙ นาย บาดเจ็บ ๖๔๔ นาย ยึดอาวุธจากฝ่ายเวียดนามได้จำนวนมาก (ตัวเลขที่เปิดเผยจากทางการไทย) ทหารเวียดนามเสียชีวิตประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน จากการรบในเขมรและชายแดนไทยตั้งแต่บุกเข้ามาจนถอนออกไป บางส่วนถูกจับเป็นเชลยและหนีทัพมอบตัวกับไทยประมาณ ๕๐๐ คน

จุดที่น่าสังเกตเรื่องหนึ่งก็คือการรบครั้งนี้มีการเตรียมการอย่างดี ทหารเวียดนามมีอาวุธและระบบการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัยมาก คาดว่าได้รับมาการสนับสนุนจากรัสเซีย ( ปี ๒๕๒๒ เวียดนามตีเขมรแดงแตกและถอยไปตั้งฐานที่ชายแดนไทย แถบเทือกเขาพนมมาลัย และเกิดการรบเรื่อยมาในเขมร โดยฝ่ายเขมรต่อต้านคือ เขมรแดง ได้จีนสนับสนุน กลุ่มซอนซาน และเจ้าสีหนุ (มีไทย สหรัฐ ฝรั่งเศสให้การสนับสนุน) กับทหารเวียดนาม ผสมกับเขมรกลุ่มเฮงสัมริน มีนายฮุนเซน เป็นผู้นำซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นเขมรแดงมาก่อน แต่แตกคอกันและไปเข้ากับเวียดนาม นำทหารเวียดนามมาขับไล่เขมรแดงออกไป)

นอกจากนี้ยังมีรายงานจากบางหน่วยของกองทัพบกว่าทหารเวียดนามมีการใช้อาวุธเคมีในบริเวณดังกล่าวด้วย ซึ่งมีการยืนยันจากทหารเขมรในการปะทะหลายครั้งว่ามีการโปรยหรือทิ้งสารบางอย่างลงมา ซึ่งมีผลต่อผิวหนังและระบบหายใจ นอกจากนั้นแหล่งน้ำในบริเวณดังกล่าวยังเต็มไปด้วยสารพิษ จากการปะทะและกวาดล้างทหารเวียดนามในเนิน ๕๖๕ ,๔๐๘ ,๕๐๐, ๓๘๒ พบหน้ากากและชุดสำหรับป้องกันอาวุธเคมี ด้วย
๒.๑.๓ หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่ากรณีพิพาทระหว่างไทยกับลาวครั้งนี้เป็นแรงผลักดันที่ลาวได้รับจากเวียดนามและโซเวียต ซึ่งพยายามขัดขวางการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ และเป็นหนึ่งในแผนตัดขาดและยึดภาคอิสานของไทยตามยุทธการตัว L (L Operation) และรวมภาคอิสานของไทย ลาว เขมร เวียดนาม เป็นสหพันธ์อินโดจีน โดยมีเวียดนามเป็นผู้นำ

ลักษณะภูมิประเทศรูปตัวแอลใหญ่

คือพื้นที่ป่าภูเขาบริเวณรอยต่อจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย ทอดตัวยาวลงมาทางใต้ตามแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ มาบรรจบกันบริเวณเขาใหญ่ บริเวณรอยต่อ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครนายก และจังหวัดสระบุรี ซึ่งทอดตัวยาวมาจากทิศตะวันตก ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุริทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก เขาบรรทัด เขากำแพง และบรรจบกันที่ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

๒.๑.๔ ในช่วงดังกล่าวบางรายงานแจ้งว่ามีทหารเวียดนามในลาวประมาณ ๖๐,๐๐๐ คน และในเขมรประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ คน ซึ่งอาจจะต้องการเปิดศึก ๒ ด้าน ให้ไทยพะว้าพะวงทั้งการรุกที่บ้านร่มเกล้าตีเจาะมาทางเหนือ และตีรุกเข้ามาที่ช่องบกทางใต้ เพื่อตัดและยึดภาคอิสาน เลยหากรณีมาอ้าง เพื่อทำการรบ

๒.๑.๕ จากการปะทะกันระหว่างทหารไทยและลาวนั้น มีรายงานจากบางหน่วยแจ้งว่ามีฝ่ายลาวมีทหารต่างชาติบัญชาการรบ อาจเป็นคนรัสเซีย และถูกทหารไทยยิงตายไปหลายคน (กองทัพไทยไม่ได้ให้ข้อมูลกับเรื่องนี้มากนัก) จากการปะทะหลายครั้งบางหน่วยรายงานว่า ทหารที่เข้าใจว่าเป็นทหารลาว บางคนพูดร้องสั่งการเป็นภาษาเวียดนาม คาดว่าเป็นกองกำลังผสมระหว่างเวียดนามและลาวที่รบกับไทย ในการรบที่บ้านร่มเกล้านี้จึงไม่ใช่กรณีพิพาทระหว่างไทยกับลาวธรรมดา

๒.๑.๖ ระบบอาวุธและการติดต่อสื่อสารในการรบที่ทางฝ่ายลาวใช้นั้น ทันสมัยมาก สามารถรู้พิกัดที่ตั้งปืนใหญ่ของไทย และยิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีการรบกวนระบบการสื่อสารของทหารไทย ซึ่งกองทัพประชาชนลาวคงไม่มีระบบที่ทันสมัยอย่างนี้

๒.๑.๗ ที่ตั้งบนเนิน ๑๔๒๘ มีการดัดแปลงการตั้งรับอย่างดี บังเกอร์เป็นคอนกรีต เสริมเหล็ก ลักษณะเป็นเนินเขาบีบแคบ ในการเข้าตีต้องเข้าตีจากด้านหน้าอย่างเดียว ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบในการรบ หากจะต้องทำการรบในกรอบปกติ

๒.๑.๘ ข้อกล่าวหาของลาวต่อไทยอีกอย่างหนึ่งคือ ลาวกล่าวหาว่ามีบริษัทคนไทยบุกรุกเข้าไปตัดไม้และชักลากไม้ของลาวเข้ามาในอาณาเขตไทย ทหารลาวต้องการเงินค่าไม้ เมื่อไม่ได้รับจึงดำเนินการในลักษณะรุกรานดังกล่าว แต่บางรายงานก็กล่าวว่ามีคนไทยบางคนสมคบกับทหารลาวในพื้นที่ทำธุรกิจไม้เถื่อนจากลาวเข้ามาในไทย มีการติดต่อค้าขายกันมานาน ก่อนเกิดเหตุมีการคดโกงกันขึ้น คือผู้ประกอบธุรกิจฝ่ายไทยไม่ยอมจ่ายค่าไม้เถื่อนให้กับทหารลาวในวงเงินประมาณ ๕ ล้านบาท ทหารลาวจึงทำการเผารถแทรกเตอร์ รถบรรทุก และรถจี๊บเป็นการตอบแทน ซึ่งมีหลายฝ่ายของไทยกล่าวว่า การตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าว เพื่อเป็นการเสริมเรื่องไทยรุกล้ำแดนลาว และยังเข้าไปต้ดไม้ด้วย เพื่อหาเหตุผลในการรุกราน

ลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญของสงครามบ้านร่มเกล้า

ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๒๐ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) เคลื่อนไหวรุนแรงที่จะยึดอำนาจรัฐ พื้นที่ติดต่อเขตลาวในเขตนี้ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเผ่าม้ง ใช้เป็นพื้นที่หลบซ่อนและปฏิบัติการ เพราะสามารถข้ามลำน้ำเหืองเข้ามาในเขตไทยได้ง่าย และบริเวณพื้นที่นี้กลายเป็นยุทธบริเวณอันสำคัญระหว่างทหารกับพคท. ชาวม้งซึ่งเป็นแนวร่วมกับพคท.ถูกปราบปรามอย่างหนัก หนีข้ามลำน้ำเหืองเข้าไปในเขตลาว

ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๕ สถานการณ์ในอินโดจีนเปลี่ยนแปลง ประกอบกับนโยบาย ๖๖/๒๕๒๓ ของรัฐบาลไทยคือใช้ยุทธวิธี “กวนป่า ล้อมบ้าน” ใช้ยุทธศาสตร์ “การเมืองนำทหาร” ทำให้ชาวม้งตัดสินใจกลับเข้ามาตามโครงการเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กองทัพภาคที่ ๓ ได้ตัดถนนสายยุทธศาสตร์และแนวชายแดนจาก อ.นาแห้ว จ.เลย ขึ้นไปสิ้นสุดที่บ้านร่มเกล้า กลายเป็นเขตสัมปทานป่าไม้ มีการจัดตั้งชุดทหารพรานคุ้มครองที่ ๓๔๐๕ ขึ้น

๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๐ ทหารลาวยกกำลังเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งไทยอ้างว่าอยู่ในเขต อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ทำลายรถแทรกเตอร์ของบริษัทป่าไม้เอกชนเสียหาย ๓ คัน มีผู้เสียชีวิต ๑ คน หายสาบสูญ ๑ คน ทหารพรานชุด ๓๔๐๕ เข้าปะทะกับทหารลาว

๑ มิถุนายน ๒๕๓๐ ทหารลาวเข้าโจมตีม้งที่บ้านร่มเกล้า โดยอ้างว่าเป็นการกวาดล้างม้งที่เคลื่อนไหวต่อต้านทางการลาว (กลุ่มกองกำลังต่อต้านลาว ซึ่งมีการจัดตั้งในสมัยสงครามเวียดนาม ผู้นำคือนายพลวังเปา เพื่อใช้ต่อต้านการรุกรานของคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือและลาวแดง ปัจจุบันมีการเคลื่อนไหวในภาคเหนือของลาว บางพื้นที่ทหารลาวยังไม่สามารถควบคุมได้ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีการปะทะระหว่างทหารลาวและลาวฝ่ายต่อต้านหลายครั้ง เช่น ที่ด่านวังเต่าติดชายแดนไทยเมื่อไม่นานมานี้ และลาวกล่าวหาไทยว่าให้การสนับสนุน บางรายงานแจ้งว่าม้งกลุ่มนี้ได้รับการสนุบสนุนด้านการเงินจากม้งที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศ ) และมีทหารลาวอีกชุดหนึ่งยกกำลังข้ามพรมแดนเข้ามาที่เขตบ้านนาผักก้าม และบ้านนากอก อ.นาแห้ว จ.เลย ยิงราษฎรไทยตาย ๑ คน จับกุมตัวไป ๖ คน หนีรอดมา ๑ คน โดยกล่าวหาว่าราษฎรเหล่านั้นลักลอบเข้าไปตัดไม้ในลาว

๗ สิงหาคม ๒๕๓๐ ทหารลาวประมาณ ๒๐๐ นาย เข้าโจมตีฐานปฏิบัติการของทหารพรานชุดคุ้มครองที่ ๓๔๐๕ ที่บ้านร่มเกล้า ( บางรายงานแจ้งว่าทหารลาวประมาณ ๑ กองพัน ซึ่งประมาณ ๘๐๐ คน เข้าโจมตี โดยการระดมยิงด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด จรวดอาร์พีจี และปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลังอย่างหนัก ก่อนจะโหมกำลังเข้าตี ตามกลยุทธ์ของคอมมิวนิสต์ ที่จะบุกเข้าตีข้าศึกด้วยกำลังมากกว่า ๑๐ เท่า และกองทัพภาคที่ ๓ ได้รายงานด่วนไปยังกองทัพบกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น)

๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๐ สถานีวิทยุลาวเสนอบทสัมภาษณ์ประธานคณะปกครองเมืองบ่อแตนแขวงไทรบุรี กล่าวหาบริษัททำไม้เอกชนของไทยกับฝ่ายทหารไทยว่าได้ร่วมกันสร้างเส้นทางเข้าไปตัดไม้ในลาว และได้เรียกร้องให้ไทยยุติการกะทำดังกล่าว รวมทั้งกล่าวหาฝ่ายไทยว่าใช้กำลังทหารเข้ารุกรานเบียดบังเอาดินแดนของลาวไป

ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ๒๕๓๐ ทหารไทยเคลื่อนกำลังเข้าประจำการในพื้นที่ที่เกิดปัญหาทั้งจากทหารราบ ทหารม้า ทหารพราน และหน่วยปืนใหญ่ เช่นเดียวกับทางลาวก็มีการเคลื่อนย้ายทหารและอาวุธจำนวนมาก ทหารไทยเข้าตีและทำลายเนินต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ที่ทหารลาวมาตั้งฐานอยู่ เพื่อยึดจุดยุทธศาสตร์

๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ กองทัพภาคที่ ๓ เปิดยุทธการภูสอยดาว โหมการรบอย่างรุนแรงทั้งทางภาคพื้นดินและทางอากาศ โดยส่งเครื่องบินขับไล่เอฟ ๕ อี ไปทิ้งระบิดในยุทธภูมิอย่างหนัก การสู้รบยังคงต่อเนื่องและรุนแรงยังคงดำเนินอยู่ ตัวเลขของความเสียหายของทั้งสองฝ่ายไม่เป็นที่เด่นชัด บางรายงานแจ้งว่าทางลาวเสียหายอย่างหนักที่โรงพยาบาลเมืองไทรบุรีของลาวเต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บ จนล้นโรงพยาบาล

๑๑ ธันวาคม ๒๕๓๐ กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่าลาวมีความประสงค์ที่จะให้มีการเจรจาเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ หลังจากการเจรจาสองครั้งที่ผ่านมาคือครั้งแรก ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๐ ครั้งที่สอง ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ประสพความล้มเหลว (หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าทุก ๆ ครั้งที่ฝ่ายลาวเกิดการสูญเสียในการรบอย่างหนัก จะยื่นเจรจา เพื่อให้ทางไทยชะลอการรุก และทำการเสริมกำลังของฝ่ายลาว และปรับปรุงการตั้งรับ)

๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๐ กองทัพภาคที่ 3 ออกปฏิบัติการกวาดล้างเข้าโจมตีฐานทหารลาวเกิดการปะทะกันอย่างหนักของทั้งสองฝ่าย อย่างหนักหน่วง

๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๐ กระทรวงการต่างประเทศลาวเชิญอุปทูตไทยเข้ารับบันทึกช่วยจำ มีเนื้อความว่า เครื่องบินไทยละเมิดน่านฟ้าลาว และทำการทิ้งระเบิดพื้นที่แขวงไทรบุรีของลาว รวมทั้งมีการยิงปืนใหญ่ใส่บริเวณต่างๆของลาวอีกด้วย

สำหรับในกรณีนี้นั้นจากการวิเคราะหของหลายฝ่ายกล่าวว่า เนื่องจากเนิน ๑๔๒๘ เป็นที่ตั้งที่ดี การเข้าตีต้องเข้าตีจากด้านหน้า ทางลาวตั้งฐานปืนใหญ่ด้านหลัง ซึ่งเป็นแนวเขาซับซ้อน ยากต่อการค้นหา และยิงตอบกลับ ในช่วงนั้นมีข่าวว่า กองทัพไทยประกาศว่าหากจะทำการบุกข้ามแม่น้ำโขงเข้าไปก็ต้องทำหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งมีผู้ใหญ่หลายฝ่ายออกมามาปรามในเรื่องนี้ เพราะไม่อยากให้สถานการณ์รุนแรงจนกลายเป็นสงครามเต็มขั้นระหว่างไทยกับลาว และจากการรบในช่วงแรกที่ทางไทยเข้าตีตามกรอบคือเข้าทางด้านหน้าได้รับการต้านทานอย่างหนัก และยากต่อการเคลื่อนกำลัง จึงมีการใช้เครื่องบินรบ เอฟ ๕ เข้าไปทิ้งระเบิดบนเนิน ๑๔๒๘ และที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในเขตลาว จนเสียหายยับเยิน เช่น สนามบินบ้านน้ำทาของลาว จากภาพถ่ายทางอากาศเนิน ๑๔๒๘ ราบเป็นหน้ากลองไม่มีต้นไม่เหลืออยู่เลย เพราะถูกระดมยิงจากปืนใหญ่ และการทิ้งระเบิดจากเอฟ ๕ แต่ทางลาวมีที่ตั้งแข็งแรง และเตรียมการตั้งรับอย่างดี บางรายงานกล่าวว่าเมื่อไม่สามารถเข้าไปตรง ๆ ได้ กองทัพไทย ได้ส่งหน่วยสงครามพิเศษ แทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ของลาว เพื่อทำการโจมตีระบบส่งกำลังบำรุง และค้นหาที่ตั้งปืนใหญ่ ทำให้การปฏิบัติการของลาวถูกกดดันมากยิ่งขึ้น ( ซึ่งทางการไทยได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการรบใหม่เนื่องจากมีการสูญเสียกำลังพล และไม่สามารถรุกคืบหน้าได้ )

๑๗ ธันวาคม ๒๕๓๐ กองทัพบกออกแถลงการณ์ว่าขณะนี้กองทัพปลดปล่อยประชาชนลาวได้เคลื่อนย้ายกำลังพลและอาวุธอย่างต่อเนื่องเข้ามาในพื้นที่เมืองบ่อแตน แขวงไทรบุรี และได้เข้ามาในพื้นที่ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก เพื่อลาดตระเวนวางกับระเบิดและทุ่นระเบิด พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ บินด่วนเพื่อตรวจสถานการณ์ และหาหนทางคลี่คลายสถานการณ์

๑๗ ธันวาคม ๒๕๓๐ นายกิทอง วงสาย เอกอัครราชทูตลาวประจำองค์การสหประชาชาติ ยื่นหนังสือประท้วงไทยต่อเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ โดยมีใจความว่า ไทยใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดแขวงไทรบุรี และมีการระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในพื้นที่อย่างรุนแรง ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ ที่ผ่านมา

๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๐ สำนักข่าวเอพี รายงานว่าการรบระหว่างไทย-ลาวในวันที่ ๑๕ ธันวาคมที่ผ่านมา นับเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงที่สุดของทั้งสองฝ่าย ( มีรายงานจากบางหน่วยที่เข้ายึดฐานทหารลาวได้แจ้งว่าพบชุดป้องกันอาวุธเคมี แบบเดียวกันกับที่ยึดได้จากทหารเวียดนามในช่องบก บางรายงานแจ้งว่าทางการลาวมีแผนจะใช้อาวุธเคมีด้วย และในช่วงนั้นหนึ่งกรมทหารราบของลาว จะมี 1 กองร้อยอาวุธเคมีประจำการอยู่)

๒๙ ธันวาคม ๒๕๓๐ พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศยืนยันว่าพื้นที่บ้าร่มเกล้าเป็นของไทย โดยหลักฐานมีแน่ชัด และได้กล่าวถึงเรื่องการเจรจาปรับความสัมพันธ์นั้น ทางไทยตั้งเงื่อนไขให้ลาวเปลี่ยนตัวหัวหน้าผู้แทนการเจรจา เพราะผู้แทนลาวมักไม่มีความจริงใจในการเจรจา เอาการเจรจาเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อทำลายไทย

๓๐ ธันวาคม ๒๕๓๐ รายงานข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยว่า ไทยได้เสนอผ่านประเทศที่สาม ให้ลาวแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศลาวคนใหม่แทนท้าวคำพัน สิมาลาวงศ์ ซึ่งมีพฤติกรรมชัดแจ้งหลายอย่างที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ผู้นำไทย และไม่สร้างบรรยากาศการแก้ไขปัญหาพิพาทให้ดีขึ้น

๕ มกราคม ๒๕๓๑ นักศึกษาลาวและพระภิกษุจำนวนหลายร้อยคนเดินขบวนประท้วงไทย ผ่านหน้าสถานทูตไทยประจำเวียงจันทน์ เรียกร้องให้ไทยยุติการโจมตี และให้ไทยถอนกำลังออกจากบ้าร่มเกล้าโดยเร็ว

๒๐ มกราคม ๒๕๓๑ ใกล้บริเวณเนิน ๑๔๒๘ ทหารลาวซุ่มโจมตีรถบรรทุกทหารช่างและทหารพรานเกิดความเสียหายครั้งสำคัญยิ่งของไทย

๒๑ มกราคม ๒๕๓๑ มีการปรับยุทธวิธีการสู้รบครั้งใหญ่ต่อยุทธการภูสอยดาว เพราะไทยเริ่มมีการสูญเสียมากขึ้น และเพื่อลดความสูญเสียดังกล่าว จึงมีการปรับปรุงยุทธการรบให้เหมาะสมยิ่งขึ้นต่อยุทธภูมิที่เป็นอยู่ ( ทางไทยเริ่มมีการใช้การรบนอกแบบ และได้ผล สร้างความกดดันต่อการปฏิบัติการของฝ่ายลาวเป็นอย่างมาก)

๒๒ มกราคม ๒๕๓๑ พลเอกเปรม ติณสูรานนท์ นายกรัฐมนตรี พลอากาศเอกพะเนียง กานตรัตน์ รมว.กระทรวงกลาโหม พลเอกประจวบ สุนทรางกูร รมว.กระทรวงมหาดไทย พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา รมว.กระทรวงการต่างประเทศ และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ พร้อมทหารระดับสูงอีกหลายนาย เดินทางไปดูสถานการณ์การรบในพื้นที่ และเน้นให้ทหารผลักดันกองกำลังทหารลาวไปให้เร็วที่สุด แต่ก็ให้ทหารทำการรบในขอบเขตจำกัดที่สุด

๒๖ - ๒๗ มกราคม ๒๕๓๑ ได้มีการเคลื่อนไหวของประชาชนนับแสนคน ในประมาณ ๒๐ จังหวัดที่ประเทศ ทำการเคลื่อนไหวประท้วงลาวอย่างต่อเนื่อง เช่นที่เลย หนองคาย มุกดาหาร สงขลา ระนอง และลำปาง เป็นต้น

๒๗ มกราคม ๒๕๓๑ กระทรวงการต่างประเทศนำทูตประจำประเทศไทยจาก ๒๒ ะเทศพร้อมทั้งสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง ไปดูสถานการณ์ในพื้นที่บ้านร่มเกล้าท่ามกลางการต่อสู้อย่างหนักของกองกำลังทั้งสองฝ่าย

๒๙ -๓๐ มกราคม ๒๕๓๑ สถานการณ์ตึงเครียดรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณเนินยุทธศาสตร์ 1428

นายชีวิน สุทธิสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ได้มีคำสั่งปิดพรมแดนด้านอำเภอปากชม เชียงคาน ภูเรือ ด่านซ้าย และนาแห้ว เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายลาวลักลอบเข้ามาซื้อสินค้ายุทธปัจจัยอันจะเป็นประโยชน์ในการรบของลาวต่อไป (ฐานทหารลาวที่ถูกไทยตีแตกพบว่าอาหารมีการซื้อมาจากฝั่งไทย ด้านจังหวัดเลย)

๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ การปฏิบัติการทางอากาศของเครื่องบิน เอฟ-๕ อี อย่างหนัก และรุนแรงในวันๆ หนึ่งมีเที่ยวบินไม่ต่ำกว่า ๓๐ เที่ยวบินรบ

๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ เครื่องบินขับไล่ เอฟ-๕ อี ของไทยลำหนึ่งถูกยิงตกขณะบินปฏิบัติการเหนือยุทธภูมิร่มเกล้า โดยจรวดแซม 7 ทำจากโซเวียต แต่นักบินปลอดภัย นับเป็นความสูญเสียที่สำคัญอีกครั้งของฝ่ายไทย เครื่องบินถูกยิงที่บริเวณส่วนหางและเครื่องยนต์ด้านขวา ทำให้เครื่องยนต์ระเบิดกลางอากาศ ได้รับความเสียหายอย่างหนักไม่สามารถบังคับเครื่องบินต่อไปได้ จำเป็นต้องสละเครื่องบินเหนือพื้นที่ที่ฝ่ายตรงข้ามครอบครองอยู่และได้ถูกควบคุมตัวโดยกำลังฝ่ายตรงข้าม จนกระทั่งในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ได้รับนักบินทั้งสองนายกลับประเทศไทย รายงานบางกระแสแจ้งว่าทหารเวียดนามเป็นคนยิง โดยยิงพร้อมกันทีละ ๗ กระบอก การรบครั้งนี้ไทยยังเสียเครื่อง โอวี๑๐ ไปอีก ๑ เครื่องด้วย และมีเครื่องเอฟ ๕ อีกเครื่องหนึ่งโดนจรวดแซมยิงเข้าที่เครื่องยนต์ท้าย ในการเข้าโจมตีของเครื่องเอฟ ๕ จำนวน ๔ เครื่อง ที่เป้าหมายในการเข้าโจมตีทิ้งระเบิดต่อเป้าหมายครั้งหนึ่ง แต่นักบินสามารถนำเครื่องกลับมาลงที่สนามบินได้อย่างปลอดภัย และกองทัพอากาศทำการแก้ไข ซ่อมแซมนำกลับมาบินได้อีกครั้ง

๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ หลังการสูญเสียเครื่องบิน เอฟ - 5 อี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศกร้าวที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ อีกทั้งย้ำว่าทุกครั้งที่ทหารไทยที่เสียชีวิต ๑ คน ทหารลาวต้องเสียชีวิตอย่างน้อย ๓ คน และกล่าวถึงว่าถ้าหากจำเป็นจะเปิดศึกข้ามโขงก็ต้องทำ นายฮาเวียร์ เปเรซ เดอ เ:-)า (Javier Perez de Cuella ) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้มีสาสน์ถึง พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา ขอให้ฝ่ายไทยและลาวใช้ความอดกลั้นให้ถึงที่สุดเพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก และขอให้หาทางยุติปัญหาโดยสันติโดยเร็วที่สุดและพร้อมที่จะช่วยเหลือในการเจรจายุติปัญหาดังกล่าว

๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ มีการเปิดเผยโดยอ้างแหล่งข่าวระดับสูงของกองทัพบกว่า ลาวและกลุ่มประเทศอินโดจีน มีแผนตั้งสหพันธ์อินโดจีน และจะมีการส่งกำลังรบจากลาวบุก ๑๖ จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แล้วตัดส่วนที่อยู่เหนือบริเวณ ๓ จังหวัด คือ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และเลย เป็นรูปตัว L เพื่อเป็นฐานที่มั่นของขบวนการดาวเขียวที่เวียดนามหนุนอยู่

๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ มีการประชุม และปรับยุทธการการรบของฝ่ายไทยอย่างเต็มที่ หลังจากมีการสูญเสียมากขึ้นโดยเน้นการประสานงานระหว่างหน่วยต่างๆ ในพื้นที่การรบ และที่สำคัญคือกำลังจากไทยเสียเครื่องบินรบไปในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

๙-๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ คณะผู้แทนฝ่ายไทย นำโดย พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปลาว ซึ่งหลายฝ่ายให้ความเห็นว่าเป็นการเดินทางไปทำงาน ให้รัฐบาลไทยในการหาทางหาข้อยุติในปัญหาพิพาทด้วยการเจรจา

๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ นายไกรสอน พรมวิหาร นายกรัฐมนตรีลาวได้ส่งสาสน์ถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีของไทย เสนอให้ทหารทั้งสองฝ่ายพบแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้โดยเร็ว ลาวพร้อมที่จะส่งคณะผู้แทนทหารมากรุงเทพมหานคร และยินดีที่จะต้อนรับคณะผู้แทนทหารของประเทศไทย ที่จะเดินทางไปนครเวียงจันทน์เพื่อปรึกษาหารือ ดังนี้ :-

๑. ให้ทั้งสองฝ่าย หยุดยิงและแยกกำลังทหารออกไกลจากกันโดยทันทีแล้วตั้งคณะกรรมการทหารผสมของทั้ง ๒ ฝ่ายขึ้น เพื่อตรวจตราการหยุดยิง และแยกกำลังทหารทั้งสองฝ่ายออกไกลจากกันโดยเด็ดขาด

๒. ให้ทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งคณะกรรมการวิชาการไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงและหาวิธีการแก้ไขปัญหาชายแดนในบริเวณดังกล่าวนี้ เพื่อเสนอต่อรัฐบาลทั้งสองฝ่ายต่อไป

๓. ให้ทั้งสองฝ่ายเสนอข้อร้องเรียนไปยังเลขาธิการ องค์การสหประชาชาติ เพื่อขอความอุปถัมภ์ให้แก่การปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ตอบตกลงตามข้อเสนอของฝ่ายลาว และได้กำหนดวันพบปะหารือระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายขึ้น ในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑

๑๖-๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ คณะผู้แทนลาวนำโดย พล.อ. สีสะหวาด แก้วบุญพัน พร้อมคณะเดินทางถึงไทยเพื่อเจรจาปัญหากับคณะผู้แทนฝ่ายไทย โดยมีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าคณะ หลังการเจรจาตกลงได้มี แถลงการณ์ร่วมไทยลาวดังนี้

๑. ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มหยุดยิงในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2531

๒. ทั้งสองฝ่ายจะแยกทหารออกจากกันฝ่ายละ ๓ กิโลเมตร ภายใน ๔๘ ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลาหยุดยิง

๓.ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานทางทหารเพื่อพิสูจน์ตราและประสานการปฏิบัติตาม ข้อตกลง ข้อ ๑ และ ข้อ ๒ อย่างเคร่งครัด

๔. ให้ทั้งสองฝ่าย สั่งทหารของตนให้หลีกเลี่ยงการปะทะด้วยอย่างเคร่งครัด เน้นการประสานความเข้าใจ

๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ เริ่มวันแรกของการหยุดยิง และแยกทหารออกจากกัน มีการประชุมฝ่ายปฏิบัติการหยุดยิงทั้งสองฝ่ายที่บ้านร่มเกล้า

๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ การแยก และถอนทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่การสู้รบ ๓ กิโลเมตร เริ่มขึ้น

๒๓-๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และคณะเดินทางไปลาว เพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้แทนลาวมาไทย และเป็นการไปปรึกษาหารือเพื่อหาหนทางแก้ไขให้เพิ่มระดับสันติภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากจะพบกับผู้บริหารประเทศแล้ว พลเอกชวลิต ยังได้เข้าพบเสด็จเจ้าสุภานุวงศ์ ประธานสมัชชาซึ่งมีสายสัมพันธ์กับตัวท่านเองในฐานะ อา-หลาน และตกลงที่จะเจรจาครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๓-๔ มีนาคม ๒๕๓๑ ที่เวียงจันทน์

๓-๔ มีนาคม ๒๕๓๑ คณะผู้แทนไทยนำโดย มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปเจรจากับลาวที่เวียงจันทน์โดยฝ่ายลาวมี พลเอก ทองไหล กมมะสิด รองหัวหน้ากรมใหญ่การเมืองกองทัพประชาชนเป็นหัวหน้า แต่ยังตกลงกันไม่ได้ในประเด็นของแผนที่ที่จะนำเอามาอ้างชี้เขตแดน และประเด็นเรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการปักปันพรม

๖-๑๒ มีนาคม ๒๕๓๑ มีการออกเผยแพร่ใบปลิวลงท้ายว่า “ทหารม้า” โจมตีการปฏิบัติการที่ล้มเหลว และการสร้างความสูญเสียของกองทัพอากาศต่อฝ่ายไทยด้วยกันเอง โดยแจ้งว่าครึ่งหนึ่งของความสูญเสียมาจากการโจมตีผิดเป้าหมายของกองทัพอากาศไทยเอง ( สำหรับการสูญเสียของทหารม้า จากตัวเลขที่เปิดเผยของกองพันทหารม้าที่ ๘ ที่จัดกำลัง กองพันทหารม้าผสม ปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศชายแดนไทย - ลาว กรณี บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลกนั้น กำลังพลของหน่วยได้สละชีวิตในการป้องกันอธิปไตยของชาติไทยไว้ จำนวนทั้งสิ้น ๒๔ นาย และมีผู้ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญ จำนวน ๓ นาย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ายอดสูญเสียสูงมาก แค่หน่วยเดียวถึง ๒๕% ของยอดสูญเสียที่ช่องบก ถึงแม้จะมีรายงานว่าจำนวนทหารลาวที่เสียชีวิตจากการรบครั้งนี้มีจำนวนหลายเท่าของทหารไทย กระแสข่าวการสูญเสียดังกล่าวยังคงสร้างความสงสัยให้กับหลายคน)
บันทึกการเข้า





พายุยิ่งพัดอื้อ....................ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อิศานนับแสนแสน..............สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ?
^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^
มีภัย มีเรา biw199
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 224
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3412



« ตอบ #2 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2007, 10:51:04 PM »

ในกรณีการทิ้งระเบิดใส่ฝ่ายเดียวกันเองนี้ เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาก มีรายงานหลายกระแส เช่น

๑. เกิดจากความผิดพลาดในการประสานงานระหว่างกองกำลังภาคพื้น และเครื่องบินที่จะเข้าทิ้งระเบิด เช่น ทางภาคพื้นมีการแจ้งยกเลิกการโจมตี แต่กองทัพอากาศไม่ได้รับแจ้ง เมื่อมีการแจ้งยืนยันการทิ้งระเบิดที่เป้าหมาย มีการแจ้งกลับว่าให้ทำการโจมตีได้

๒. เกิดการรบติดพันรุนแรง และประชิด ไม่สามารถระบุเป้าหมายที่แน่นอนได้ (ในสงครามเวียดนามหรือกรณีอิรักครั้งล่าสุดยอดทหารสหรัฐที่เสียชีวิตจาการยิงหรือทิ้งระเบิดฝ่ายเดียวกันมีจำนวนมาก)

๓. ทหารไทยยึดฐานทหารลาวได้ก่อนกำหนดการณ์ และมีการเคลื่อนกำลังปะทะติดพัน ไม่สามารถแยกแนวรบที่ชัดเจนได้ ตอนที่นักบินทิ้งระเบิดลงไปโจมตี

๔. ทางลาวทำการรบกวนระบบการสื่อสารของไทย มีการดักฟัง ทำการถอดรหัส และรวมทั้งมีการเลียนเสียงการสั่งการ ซึ่งได้รับอุปกรณ์ที่ทันสมัยจากรัสเซีย

๕. เกิดการขัดแย้งกันในกองทัพ และสายทางการเมือง ที่ต้องการแย่งอำนาจการเมืองจากทางทหาร เลยทำการสร้างความแตกแยกในกองทัพ และมีการให้ข้อมูลแก่ฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวกับแผนการรบ ๆลๆ เนื่องจากในช่วงนั้น ส.ส. หลายคนอดีด เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาก่อนและมีความสัมพันธ์กับทหารบางกลุ่ม บางคนเคยเป็นสมาชิกของเขมรแดง หลังจากนโยบาย ๖๖/๒๓ จึงเข้ามาต่อสู้ทางการเมือง อีกทั้งฝ่ายทหารยังแตกแยกเรื่องการบังคับบัญชา

๖. การวางแผนการรบที่ผิดพลาด ขาดความยืดหยุ่นในการรบและการตั้งรับ และเรื่องยุทโธปกรณ์ที่ไม่พร้อม รวมทั้งการประเมินกำลังและขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามต่ำไป

บทเรียนและการเปลี่ยนแปลงที่ได้จากสงครามครั้งนี้

๑. หลังจากที่พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการประกาศนโยบาย เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า มีการไปเยี่ยมเยี่ยนกันของผู้นำทางทหารของไทย ที่ลาว และเวียดนาม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ รวมทั้งลดความตึงเครียดทางการทหารระหว่างกัน ปัจจุบันไทยกับลาวมีการร่วมมือกันมากขึ้นในด้านต่าง ๆ และลาวยึดไทยเป็นแบบอย่างในการพัฒนาเศรษฐกิจ แทนการเดินตามเวียดนาม แต่ลาวก็ดำเนินนโยบายกับไทยอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวไทยครอบงำและเข้าแทรกแซงทางสังคม และวัฒนธรรม เนื่องจากขนบธรรมเนียมและประเพณีที่ใกล้เคียงกัน

๒. กองทัพบกได้ทำการปรับปรุงกำลังรบให้มีความคล่องตัวในการเคลื่อนที่เข้าหาพื้นที่ที่เกิดปัญหา ปรับลดกำลังคนลงตามภัยคุกคามที่เปลี่ยนไป และเพิ่มระบบอาวุธให้มีความทันสมัยและคล่องตัวมากขึ้น ตามนโยบาย "จิ๋วแต่แจ๋ว" รวมทั้งมีการจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็ว

๓. แนวทางในการป้องกันประเทศเปลี่ยนไป มีการดำเนินการของฝ่ายทหารและการเมืองเป็นระบบมากขึ้น ประสานการทำงานกัน โดยฝ่ายทหารทำการรบและสร้างความได้เปรียบและอำนาจการต่อรอง ส่วนฝ่ายการเมืองคือกระทรวงการต่างประเทศจะทำการเจรจา เมื่อมีกรณีปัญหาตามแนวชายแดนกองทัพจะส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นหน่วยที่มีความคล่องแคล่ว และมีอำนาจในการยิงสูง ตรวจหาและตอบโต้กลับทันที เข้าตีและยึดพื้นที่ชิงความได้เปรียบในยุทธศาสตร์ก่อน อย่างในกรณีกระเหรี่ยงก็อดอาร์มีที่โดนทางการไทยโจมตีและกดดันจนต้องสลายกลุ่มและยอมมอบตัว หรือการปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารพม่าผสมว้า กรณีบ้านปางหนุน อ. แม่ฟ้าหลวง และพื้นที่ปัญหากู่เต็งนาโยง อ.แม่สาย จว.เชียงราย ที่มีการประสานงานระหว่างกองทัพบกและกองทัพอากาศเป็นอย่างดี จากเหตุการณ์นี้มีการใช้เครื่องบินรบแบบ เอฟ 16 เข้าปฏิบัติการด้วย ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน

๔. การจัดหาอาวุธและระบบป้องกันประเทศ เช่น

๔.๑ RTAD เฟส ๑ เฟส ๒

๔.๒ ระบบตรวจจับการยิงปืนใหญ่ ระบบปืนใหญ่แบบอัตตาจร

๔.๓ การพัฒนาและผลิตอาวุธขึ้นมาใช้เอง การพัฒนาระบบสื่อสารระหว่างหน่วยใหม่ที่เป้นความลับมากขึ้น

๔.๔ การจัดตั้งคลังอาวุธร่วมไทย-สหรัฐ ที่สามารถนำอาวุธมาใช้ได้กรณีฉุกเฉิน

๔.๕ การจัดหาเครื่องบินรบเอฟ ๑๖ รถถังหลัก รถสายพานลำเลียงพลจากสหรัฐและจีน เข้าประจำการจำนวนมาก การจัดหาระบบต่อสู้อากาศยานและต่อสู้รถถังที่ทันสมัยเข้าประจำการ

๔.๖ การจัดตั้งหน่วยนาวิกโยธิน

๔.๗ การฝึกร่วมกับกองทัพสหรัฐและต่างประเทศ เพื่อเรียนรู้ระบบการรบและพัฒนากองทัพอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการรบและการรักษาสันติภาพ

๔.๘ การซ้อมรบของหน่วยกำลังรบผสมของกองทัพไทย เพื่อสร้างความคุ้นเคยและเพิ่มประสิทธิภาพในการรบ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์รุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น (ครั้งล่าสุดมีรการเคลื่อนย้ายกำลังพลหลายหมื่นคนและยุทโธปกรณ์จำนวนมากไปฝึกในพื้นที่จริง จนประเทศเพื่อนบ้านขนลุกต้องปิดชายแดนไปก็มี
**ยอดการสูญเสียที่ทางการเปิดเผยมีดังนี้ ส่วนข้อเท็จจริงผมไม่รู้ ถ้าเป็นทางการลาวก็คงจะเปิดเผยว่าสังหารทหารไทยได้มากกว่า

นี้เป็นหลักฐานจากข้อมูลของไทยครับ

ฝ่ายไทย

-เสียชีวิต147นาย

-พิการ55นาย

-บาดเจ็บสาหัส167นาย

-บาดเจ็บเล็กน้อย550นาย

ฝ่าย สปปล.

-ทหาร สปปล.เสียชีวิต286นาย,บาดเจ็บ301นาย

-ทหารเวียดนาม เสียชีวิต157นาย,บาดเจ็บ112นาย

-ทหารโซเวียตเสียชีวิต2นาย,บาดเจ็บ2นาย

-ทหารคิวบา เสียชีวิต2นาย

**ตั้งแต่ ปี 1961-1962 และ ปี 1974-1991 โซเวียตส่งทหารเข้ามาในลาวทั้งหมด 1840 นาย เสียชีวิตในลาว 8 นาย ( อันนี้ได้จากการข่าวกรอง)
บันทึกการเข้า





พายุยิ่งพัดอื้อ....................ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อิศานนับแสนแสน..............สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ?
^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^
มีภัย มีเรา biw199
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 224
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3412



« ตอบ #3 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2007, 10:52:44 PM »

เชิญท่านผู้รู้ให้ความเห็นหรือเพิ่มเติมตามสบายเลยนะครับ Smiley
บันทึกการเข้า





พายุยิ่งพัดอื้อ....................ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อิศานนับแสนแสน..............สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ?
Narin CZ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2007, 10:57:01 PM »

ผมก็เคยไปรบที่นี่และยังจำเรื่องที่น่ายกย่องในความกล้าหาญ เสียสละ และสุดจะทุเรศๆบางอย่างได้ไม่เคยลืม....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 23, 2007, 11:11:37 PM โดย Narin CZ » บันทึกการเข้า
@ NaZaReth >>>
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 2
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 293


OSK99


« ตอบ #5 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2007, 12:15:38 AM »

ขอบคุณครับ...ที่นำมาให้อ่านกัน..
บันทึกการเข้า

Audy452 ♥ รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1180
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14952



« ตอบ #6 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2007, 12:50:21 AM »

ช่วงสงครามผมกำลังเข้าค่ายฝึกร.ด.ปี3อยู่ที่เชียงใหม่ครับ...เสียวมากครับ

พี่ชายเพื่อนผมเป็นนายทหารยศร้อยเอก(ขณะนั้น)...มาไซโคทุกครั้งที่เจอกัน

ว่าเขาจะเกณฑ์ร.ด.จากเขตทัพภาค3เข้าร่วมรบด้วย...ให้ฝึกให้หนักไม่งั๊น

เวลาไปรบจะไม่รอดกลับมา...ไอ้เราก็ผอมเหลืองซางกำลังแ-กแค่แบกปลย.88

ก็แทบตายแล้ว....แล้วเราจะรอดมั๊ยเนี่ย...ฝึกไปฝึกมาข่าวออกมาว่าเราชนะแล้ว

โทรศัพท์กลับบ้านไปบอกแม่...ขอเงินด่วน...แม่ผมด่าใหญ่เลยเพิ่งส่งให้ไปไม่ถึง

สิบวันขอเงินอีกแล้ว...ต้องสารภาพกับแม่เลยครับว่า..."จะเอาไปแก้บน" Grin Grin
บันทึกการเข้า

S.W.A.T
Hero Member
*****

คะแนน 6
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1023

Ceska Zbrojovka


« ตอบ #7 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2007, 08:52:39 AM »

ทหารม้าตายเกือบทั้งรุ่น  เพราะความผิดพลาดของฝ่ายไทย
บันทึกการเข้า

อรินทราช 26
JUNGLE
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
Hero Member
*****

คะแนน 1204
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17188


การต่อสู้คือชัยชนะ


« ตอบ #8 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2007, 09:46:21 AM »

ในนี้มีหลายท่านครับ... ที่เป็นทหารกล้าจากยุทธภูมิร่มเกล้า...
บันทึกการเข้า
สหายเล็กน้อย
ความรักเป็นเรื่องตลก...อกหักเป็นเรื่องขำ ๆ
Hero Member
*****

คะแนน 2113
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11510


...มีแต่ตัวกับหัวใจ... เธอจะรักฉันไหม ... !!!


« ตอบ #9 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2007, 02:33:12 PM »

 Smiley Smiley Smiley...เพื่อนผม(ทหารจากโคราช)....บอกมีฐานปืนใหญ่ฝ่ายเราถูกยึดด้วย...เครื่องบินมาทิ้งบอมบ์ช้ากว่ากำหนด...แต่มันก็จบไปแล้วหล่ะ...รัฐบาลสมัยนั้นเชื่องช้ามาก... Smiley Smiley Smiley
บันทึกการเข้า



...ล้มแล้วจงลุกใหม่...จนกว่าลูกแกะจะกลายเป็นราชสีห์...
flyingkob-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 361
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2396


"สุวิชาโน ภวัง โหติ" ผู้รู้ดี เป็นผู้เจริญ


« ตอบ #10 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2007, 05:01:28 PM »

การเมืองใน ทอ. จึงเกิดความผิดพลาดในการทิ้งระเบิด
บันทึกการเข้า

ตึกยาวหลังนี้ สอนให้เรารู้สำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน
MadFroG
Si vis pacem para bellum
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 46
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1985


Father and Son


« ตอบ #11 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2007, 09:07:44 PM »

ข้อเท็จจริง (ที่ถูกต้อง)คงไม่มีใครเอามาเล่าได้กระมังครับ
กระทบกระเทือนกันหลายฝ่ายมากจนเกินไป

แต่ดูตัวเลขการสูญเสียดีๆ สงครามตอนนั้น 147 นาย
ส่วนสงครามคราวนี้ ที่ทางใต้ สูญเสียไปแล้วเท่าไหร่
และยังไม่มีทีท่าจะจบลงได้เร็ววันนี้.............


บันทึกการเข้า

เมื่อเกิดวงเล็บ จึงเกิดการก้าวกระโดดทางตรรกะ
Udomkd
รักษ์ธรรมชาติ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3700
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 41046



« ตอบ #12 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2007, 07:15:05 AM »

ร่มเกล้า

สมัยนั้น ผมได้รับคำสั่งแค่ เตรียมพร้อม (นอนทั้งเครื่องแบบ ละครับ) เพื่อพร้อมที่จะเคลื่อนกำลัง ถ้ามีคำสั่งมา ผมอยู่ทัพภาค4 ผมได้แค่นั้นครับ

ปลายปี 49 มีโอกาส ได้ขับรถผ่านไปบริเวณนั้น สิ่งที่เห็นได้ คือความแห้งแล้ง กันดาร หดหู่ และครับ ส่วนอย่างอื่น ไม่ทราบ เพราะไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกัน

ผ่านมาแล้ว ไม่สามารถแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงได้ครับ วันนี้ หรือพรุ่งนี้ต่างหาก ที่ทำ และจะทำ

อย่ามัวไปคิดถึงที่ผ่านมาครับ ระลึกถึงได้ (ผมว่า) เพื่อเป็นบทเรียนเตือนใจ

คิดทำกับปัจจุบัน และคาดอนาคต กันดีกว่าครับ เรายังสามารถทำ หรือเปลี่ยนแปลงกันได้

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

รักมิตร รักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีด้ามขวาน
   รักมิตรรักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีคมขวาน
   รักมิตร รักเพื่อน
ทุกปัญหาของชาติเริ่มต้นที่ "คอรัปชั่น"
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 74
ออฟไลน์

กระทู้: 667



« ตอบ #13 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2007, 08:19:54 AM »

ผมว่าคราวนั้นนี่ฝ่ายไทยน่าจะเอาปืนใหญ่ไปวางบนยอดเขาแล้วยิงถล่มเวียงจันทร์ ไปเลยครับ ระยะก็ไม่ไกลมาก สงครามน่าจะยุติได้เร็วขึ้น
บันทึกการเข้า

"ไม่เคยคิดหวังเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดจะเห็นชาติพินาศสลาย"
Army - รักในหลวงครับ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 151
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2251



« ตอบ #14 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2007, 09:59:21 AM »

สนใจสงครามครั้งนี้เหมือนกันครับ อยากทราบรายละเอียดมากๆ ฟังมาหลายทางไม่ค่อยตรงกันซักเท่าไหร่ จำได้ว่าเอฟ 5 ตก นักบินเสียชีวิตนะครับ นักบินยศนาวาอากาศโท ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนม.ต้นอยู่เลยครับ แต่เรื่องที่เอฟ 5 กับโอวี 10 โดนยิงตกก็เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเป็นนักบินเครื่องบินขับไล่ ไปสอบเตรียมทหารส่วนของนายเรืออากาศ ผ่านการสอบข้อเขียนไปแล้วแต่สุดท้ายตกการตรวจโรคเพราะตาบอดสี  Cheesy
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2007, 10:03:56 AM โดย Army » บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4 ... 20
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.111 วินาที กับ 22 คำสั่ง