เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 19, 2024, 02:22:05 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3 4 ... 9
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กฤษฎาปาฏิหารย์ "กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์"  (อ่าน 43490 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แจ็ค
"กำบ่มีอย่าไปอู้...กำบ่ฮู้อย่าได้จ๋า"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 461
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 7529


« เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 02:34:03 PM »

...... สวัสดีครับ  อยากให้ท่าน ๆ ได้เล่าประสบการณ์ที่ประสบกับตนเอง หรือ จากการบอกเล่าของท่านที่รู้จักก็ดี  แลกเปลี่ยนกันในเว็บนี้ครับผม  โดยส่วนตัวของกระผมแล้วนั้นนับถือองค์ท่านมาก  นับถือกันทั้งบ้านเลยครับ  แล้วจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป ..... กราบเรียนเชิญครับ ........

....... โอม ... ชุมพรจุติ  อิทธิกะระณังสุโข  นะโมพุทธายะ  นะมะพะธะ   จะพะกะสะ  มะอะอุ ......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2007, 05:11:23 PM โดย แจ็ค » บันทึกการเข้า

... เมื่อความกลัวถึงขีดสุด  มันจะเกิดเป็นความกล้าที่บ้าบิ่น ...
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 03:31:37 PM »

กฤตยา อ่านว่า  [กฺริดตะ-]   เป็นคำนาม  ที่เป็นคำโบราณมักใช้ในคำกลอน
ซึ่งกวี...ในสมัยนั้น มักใช้คำ ๆ นี้ เกี่ยวกับความเสื่อมสลายลง....ทั้งหลาย 
เช่น เสื่อมกฤตยาสยามยศ...ในลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น

 
 
กฤตยา หรือกฤติยา  [กฺริดตะ-, กฺริดติ-] เป็นคำนาม  เช่นกัน
ที่มักนิยมใช้เมื่อมีการกล่าวถึงการใช้เวทมนตร์, เสน่ห์, อาถรรพณ์
แต่ก็ยังคงใช้เกี่ยวกับความเสื่อมสลาย เช่นเดิม
เช่น  มนตร์กฤตยานั้นซั้น เสื่อมสิ้นทุกอัน... จากโคลงโลกนิติ
หาแม่มดถ้วนหน้า  หมู่แก้ กฤติยา...     จากลิลิตพระลอ






ผมเองเป็นผู้หนึ่ง เช่นกัน...ที่ให้ความเคารพเสด็จในกรมฯ เสมอมา
ผมไม่ทราบ...และไม่เคยพิสูจน์ใด ๆ เกี่ยวกับการนี้ ดั่งความตั้งใจของผู้ตั้งกระทู้ ครับ

สำหรับสิ่งที่ผมเคยถวายเป็นสักการะ นอกไปจากการถวายความเคารพและสิ่งของแล้ว
ก็มีเพียง...วิ่งขึ้นและลงเขากรมหลวง ที่ ฐท.สส. เพื่อไปร้องเพลงถวายเสด็จในกรมฯ
ในทุกครั้งที่เข้ารับการฝึกทุก ๆ หลักสูตรจากทหารนาวิกโยธิน เท่านั้น



ด้วยความเคารพในความตั้งใจของทุกท่าน ครับ

จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น...





 
 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2007, 03:35:43 PM โดย 51 » บันทึกการเข้า
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 03:32:50 PM »


     นับถือตามประสาคนไทยครับ แต่ไม่เคยบูชาจริงจัง เลยไม่เจอะเจออะไรแปลกๆเกี่ยวกันท่าน

บันทึกการเข้า

                
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 03:47:52 PM »

ผมไม่แน่ใจว่า  การเล่าขานถึงกิตติศัพท์ต่าง ๆ ของเสด็จในกรมฯ
ภายหลังจากที่พระองค์ท่านได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว นั้น
จะเป็นการจรรโลงไว้ซึ่งพระเกียรติยศของพระองค์ท่าน

แต่เท่าที่ผมทราบจากบทเพลงที่เสด็จในกรมฯ พระราชทานแด่ทหารเรือ...
ได้แสดงถึงความตั้งพระทัยอันแน่วแน่ของพระองค์ท่าน
ใจความทุกตอนในบทเพลงเหล่านั้น
ทรงพระนิพนธ์   ถึงการผดุงไว้ ซึ่งเกียรติของทหารเรือแห่งราชนาวีไทย ทั้งสิ้น

ดั่งเช่น...ทั้ง South ทั้ง West ทั้ง North ทั้ง East
จะคิดถึงตัวเราใย   จักต้องตายทุกคนไป
ส่วนตัวเราตาย....ไว้ยืน  ไว้ยืนแต่ชื่อ.....
ให้โลกทั้งหลายเขาลือ   ว่าตัวเราคือ  ทหารเรือไทย....


จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2007, 03:55:46 PM โดย 51 » บันทึกการเข้า
รัตตรา
"อร่อย..อารมณ์"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 506
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6849


08-21491911 08-59591911


« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 03:51:36 PM »

นับถือครับ แต่คงมีแต่ความสบายใจเมื่อได้เคารพท่าน...และกล่าวขอเสมอ " ขอให้ลูกปลอดภัย "

และเราก็ปลอดภัยมาจนถึงปัจจุบัน...

บันทึกการเข้า


"จงคิดว่า มีใคร ได้มองอยู่...เฝ้ามองดู ตัวเรา อย่างเฝ้าจ้อง
ทำสิ่งใด รู้ได้ สายตามอง...อย่างน้อยต้อง รู้ละอาย ในหมายทำ"
ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 04:02:13 PM »

สำหรับบทเพลงพระนิพนธ์ในสมเด็จกรมหลวงนั้น รับฟังได้ที่


http://www.navy.mi.th/rtc/mp_rtc.htm

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000130153

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000132798

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000135621




บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 04:09:03 PM »

การกล่าวถึงกิตติศัพท์ต่าง ๆ อันผ่านมาแล้ว  ซึ่งเกินจะพิสูจน์ได้ นั้น
มักใช้คำว่า กฤด-  (ด.เด็กสะกด)  ขึ้นต้น

คำว่า กฤด- [กฺริดะ-] นั้น
เป็นคำวิเศษณ์  ที่ใช้ประกอบเป็นส่วนหน้าของคำสมาสหรือขยายคำนาม คำกริยา

กฤด- หมายความว่า อันกระทําแล้ว   ในบทกลอนแผลงเป็น กฤษฎา ก็มี

ยกตัวอย่างเช่น  กฤดา, กฤดาการ  ซึ่งกร่อนมาจาก กฤดาธิการ
หมายถึง บารมีอันยิ่งใหญ่ที่ทำไว้
เช่น ทรงพระกฤดาเดชานุภาพยิ่งทวีขึ้น จากพงศาวดารในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ผู้ใดมีบุญญากฤดาการ  จากเสภาของสุนทรภู่



กฤดาภินิหาร  หมายถึง อภินิหารที่ทําไว้  มีอภินิหาร 
บางครั้งใช้แผลงเป็น กฤษฎาภินิหาร ก็มี


จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2007, 04:11:17 PM โดย 51 » บันทึกการเข้า
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 04:21:28 PM »



เกร็ด

(คัดจาก เลาะวัง เล่ม ๓   ของ จุลลดา  ภักดีภูมินทร์)

เสด็จในกรมฯทรงเป็นเจ้านายในพระราชวงศ์พระองค์เดียว ซึ่งเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว เกิดมีผู้สร้างศาลถวายขึ้นมากมายหลายแห่ง

เสด็จในกรมฯนั้น ท่านเล่ากันมาว่าทรงเป็น "ลูกรัก" องค์หนึ่งของพระราชบิดา แต่มักจะทรงถูกพระบรมราชชนกค่อนขอดเรื่องทรงเป็น "นักเลง"

มีเกร็ดประวัติเล่ากันมาว่า  โปรดแต่งพระองค์เป็นชาวบ้านนักเลง  เสด็จไปตามโรงยาฝิ่น โรงขายสุรา โรงบ่อนต่างๆทั้งฝั้งพระนครและธนบุรี โดยมีนายเล่ นักเลงโตย่านนางเลิ้งและสะพานเหล็กซึ่งมีบริวารพวกอันธพาลมาก  แต่สมัครรับใช้เสด็จในกรมฯติดตามไปด้วยเสมอ  ต่อมาเจ้าพี่เจ้าน้องทรงทราบเรื่องจึงกราบบังคมทูลฟ้องพระบรมชนกนาถ  ว่าทรงประพฤติตนเป็น "กุ้ย" นอนโรงฝิ่น เข้าบ่อน  พระบรมชนกนาถจึงทรงปลอมพระองค์เป็นราษฎรเสด็จรถม้าพระที่นั่งคันเล็กๆไปจอดอยู่แถวบ่อนต้นมะขามย่านนางเลิ้ง  แล้วก็เสด็จพระราชดำเนินไปตรวจตามโรงยาฝิ่น ตามบ่อนและร้ายสุรา  พอถึงหน้าโรงยาฝิ่น ก็พอดีเสด็จในกรมฯเสด็จออกมาพร้อมนายเล่ นักเลงโตพอดี  ในหลวงชี้พระหัตถ์ตรัสว่า" นั่นแน่  อาภากรประพฤติตนอย่างนี้จริงๆ"

แล้วรับสั่งให้ตามเสด็จไปที่รถ  เสด็จในกรมฯกราบลงถวายบังคมแทบพระบาท  พระบรมราชชนกกริ้วตรัสว่าเอาต่างๆ แต่เมื่อเสด็จในกรมฯกราบทูลว่า ที่ท่านทำดังนี้ก็เพื่อจะได้รู้เรื่องราวต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและราชบัลลังค์  เพราะในโรงยาฝิ่นก็ดี ในบ่อนก็ดี ในร้านสุราก็ดี มักจะมีพวกคนพาล โจรผู้ร้ายมั่วสุมชุมนุมกันอยู่  เพราะฉะนั้น หากมีเรื่องคิดขบถ คิดการร้าย(สมัยก่อนมักมีจีนอั้งยี่ก่อกวนความสงบอยู่เสมอๆ) หรือจะไปลักขโมยปล้นที่ไหน ก็จะได้ระงับเหตุหรือปราบปรามได้ทันท่วงที

พระบรมชนกนาถจึงทรงออกอุทานว่า " อ้อ...อย่างนั้นเองหรือ" แล้วทรงลูบพระปฤษฎางค์ หายกริ้ว ส่วนนายเล่นั้น ต่อมาเสด็จในกรมฯโปรดเอาตัวไปรับราชการทหารเรือ  เป็นว่าที่นายเรือตรี คอยรับใช้ติดตามเสด็จในกรมตลอดมา

อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่เล่าว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งพระบรมชนกนาถไม่โปรดเป็นอย่างยิ่ง คือเรื่องสักร่างกาย  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรังเกียจว่าเป็นพวกนักเลงโต  มักจะรับสั่งค่อนแคะพระราชโอรสเกี่ยวกัยเรื่องนี้อยู่เสมอ  เพราะเสด็จในกรมฯทรงมีรอยสักพระองค์เช่นพวกทหารเรือทั่วๆไป ในสมัยนั้นชอบสักเพื่อให้คงกระพันชาตรี
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 04:31:36 PM »

ที่มา : หนังสือที่ระลึกในการสร้างพระตำหนักเสด็จในกรมฯ ณ หาดทรายรี ชุมพร โดยนายประมวล สาครพันธุ์

.....เมื่อปฐมวัยเด็กชายศุขชอบกระโดดน้ำ   มักว่ายน้ำเกาะเรือโยงเล่นเหมือนๆกับเด็กชายลูกแม่น้ำคนอื่นๆ  จนมารดาทำโทษไม่ให้ขึ้นจากท่าน้ำ  จะเป็นด้วยโกรธหรือน้อยใจมารดาก็ไม่ทราบได้  เด็กชายศุขเกาะเรือโยงขออาศัยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ  ทิ้งความรัก ความห่วงใยของมารดาไว้เบื้องหลัง  จากเด็กชายศุขมาเป็นพระภิกษุศุขผู้พร้อมด้วยศีลาจริยวัตรอันงดงาม  ท่านเดินทางกลับบ้านวัดสิงห์พบมารดาซึ่งป่วยเรื้อรังมานาน  ทั้งคู่ต่างดีใจอย่างเหลือล้นเมื่อได้พบกัน  โยมมารดาของท่านหน้าตาแช่มชื่น ท่านก็เต็มตื้นอิ่มเอิบ  ทั้งคู่ก็ปราโมทย์สุขสบายใจ  ต่อจากนั้นท่านมิได้ละทิ้งมารดาและชาววัดสิงห์ไปไหนอีกเลย  คงจำพรรษาอยู่ในวิหารเก่าแก่ทรุดโทรมของวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า(อีกนัยหนึ่ง คือ วัดมะขามเฒ่า)นั่นเอง

จนกระทั่งเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯเสด็จดั้นด้นมาพบท่าน  เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯทรงเลื่อมใสในไสยศาสตร์อยู่ก่อนแล้ว  เมื่อพระองค์เจ้าวิบูลพรรได้ถวายพระเครื่องซึ่งนับถือกันว่า  มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นยอดตกทอดมาตั้งแต่วังหน้าแด่พระองค์  หลังจากทรงทดสอบความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่อง  และได้ทอดพระเนตรเห็นคุณานุภาพแล้ว  จึงทรงเลื่อมใสในเรื่องไสยศาสตร์ยิ่งขึ้น  ต่อจากนั้นได้เสด็จไปตามที่ต่างๆ เพื่อเสาะหาอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษเพื่อทรงขอศึกษาวิชาการทางด้านนี้

ครั้งหนึ่งเสด็จแปรพระราชฐานภาคเหนือ  เสด็จกลับทางเรือล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยาแยกออกจากท่าจีนที่ชัยนาท  ลงมาเรื่อยๆจนเข้าเขต วัดมะขามเฒ่า  เรือเกิดติดขัดอยู่ตครงนั้นโดยหาสาเหตุมิได้  รับสั่งให้ชลอเรือและจอดที่ท่าวัดมะขามเฒ่านั่นเอง  ที่นั่นได้ทอดพระเนตรเห็น หลวงพ่อศุขเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย  เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯได้ทรงศึกษาไตร่ถามหลวงพ่อศุข  ก็ทูลถึงวิชาการเสกให้ทรงทราบมิได้ปิดบัง  และหลังจากที่หลวงพ่อศุขได้เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย  แล้วยังได้เสกพลทหารของเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ(หลังจากเจ้าตัวยินยอมให้เสกแล้ว)เป็นจระเข้ให้ทอดพระเนตรอีกด้วย  เมื่อเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯทอดพระเนตรเห็นอิทธิฤทธ์ปาฏิหาริย์ชั้นสูงสุดของหลวงพ่อศุข  ก็ทรงนมัสการด้วยความคารวะอย่างบริสุทธิ์ใจ  ฝากองค์เป็นลูกศิษย์แต่นั้นมา

หลวงพ่อศุข หรืออีกนัยหนึ่งหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่านั้น  เล่ากันว่าท่านสำเร็จธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช  สามรถจะเสกอะไรให้เป็นอะไรก็ได้ทั้งสิ้น  อีกทั้งการล่องหนหายตัว กำบังกาย ระเบิดน้ำ สะเดาะโซ่ตรวนก็เชี่ยวชาญ วิชามายาศาสตร์อีกมากมายเล่าก็จัดเจน  ตัวอย่างที่ยกมากล่าวอ้างนั้นเพียงน้อยนิด  อิทธิฤทธิ์ของท่านยังมีอีกมากมายนัก  หลวงพ่อศุขลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ  การที่หลวงพ่อศุขพระอาจารย์ของเสด็จพ่อฯ กระทำพิธีลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ  จางวางถึกเล่าให้ฟังว่า  เมื่อเสด็จพ่อฯไปถึงวัดมะขามเฒ่าเป็นเวลาเที่ยงเศษ  หลวงพ่อศุขไดเชิญเสด็จพ่อฯเสด็จขึ้นประทับบนกุฏิได้สนทนากันอยู่พักหนึ่ง  แล้วหลวงพ่อศุขก็พูดกับเสด็จพ่อฯว่า "วิชาอาคมต่างๆก็ได้ประสิทธิ์ประสาทให้พระองค์ไว้มากแล้ว  แต่ยังขาดของสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งพระองค์จะขาดเสียมิได้  จะต้องติดไว้กับพระองค์เสมอ  เป็นของวิเศษมีอภินิหารมาก  จะปรารถนาสิ่งใดได้ทุกประการ  อาตมาได้ตระเตรียมสิ่งของที่จะทำให้พระองค์แล้ว ซึ่งมีแผ่นโลหะ คือ เงินหนัก ๑ บาท  นาคหนัก ๑ บาท  ทองคำหนัก ๑ บาท  ทั้งสามสิ่งนี้เรียกว่า "สามกษัตริย์" สามารถแก้อาถรรพณ์ต่างๆได้  เมื่อลงเป็นตระกรุดแล้วเอาด้ายสายสิญจน์มาเสกแล้วควั่นร้อยผูกเอวหรือคล้องคอก็ได้  ของสิ่งนี้แหละจะได้ทำถวายพระองค์เดียวนี้"

เมื่อหลวงพ่อศุขพูดจบเสด็จพ่อก็ก้มกราบทันที  แล้วตรัสว่า "เป็นพระคุณอย่างสูงที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาต่อหม่อมฉัน(?)"  หลวงพ่อศุขหันมายิ้มแล้วพูดว่า "รอเดียวเข้าที่บูชาก่อน" พูดแล้วก็เดินเข้าห้องจุดธูปเทียน  ลมพัดควันกลบออกมาข้างนอก  สักครู่หนึ่งแล้วเรียกเสด็จพ่อฯเข้าไปในห้อง  พักหนึ่งหลวงพ่อศุขเดินออกมาในมือถือเหล็กจารกับแผ่นโลหะและด้ายควั่นสีขาว จุดเทียนลงจากกุฏิเสด็จพ่อฯก็เสด็จตามลงมา  มีจางวางถึกและทหารคนสนิทเดินตามมาด้วย  หลวงพ่อเดินออกไปถึงศาลาท่าน้ำหน้าวัด  แล้วหันมาบอกกับเสด็จพ่อว่า "พระองค์รออยู่ที่นี่ เดียวอาตมาจะระเบิดน้ำลงไปทำตระกรุดที่กลลางแม่น้ำเดี๋ยวนี้"  เสด็จพ่อฯเห็นพระอาจารย์สั่งดังนั้นก็มิได้ตรัสอย่างไร   เสด็จพ่อ--มองไปข้างหน้าเห็นแต่น้ำท่วมขาวนองเต็มตลิ่ง หลวงพ่อถือเทียนเล่มใหญ่ที่จุดไฟลุกแดงเดินลงจากบันไดศาลาท่าน้ำจมมิดลงไปในแม่น้ำ  ทำให้จางวางถึกและเสด็จพ่อฯที่เห็นอยู่นั้นพากันตะลึงงันทั่วทุกคน  และไม่มีใครพูดว่าประการใด  ทุกคนหันมามองเสด็จพ่อฯที่ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ แล้วหันกลับไปกลางแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว

ทุกคนยืนรอหลวงพ่อทำพิธีอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ  หลวงพ่อศุขก็โผล่ศีรษะพ้นน้ำเดินขึ้นจากบันไดศาลาท่าน้ำ  ถือเทียนจุดลุกแดงโร่ผ้าสบงจีวรหาได้เปียกน้ำไม่  หลวงพ่อหันมาสั่งเสด็จพ่อให้ขึ้นไปบนกุฏิ แล้วตัวท่านเดินถือเทียนนำหน้าเสด็จและบริวาร  เดินตามขึ้นไปบนกุฎิแล้วหลวงพ่อก็เดินเข้าไปในห้องบูชา  เอาเทียนปักไว้ตรงหน้าที่บูชา  จุดธูปเทียนบูชาแล้วออกมานั่งตรงอาสนะตรงกับเสด็จพ่อฯ  แล้วหลวงพ่อก็ส่งตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ  พร้อมกับบอกว่า"เก็บไว้ให้ดี  ไปไหนก็ให้เอาติดตัวไปด้วย  เก็บรักษาให้ดีของสิ่งนี้ทำให้เสด็จในกรมฯพระองค์เดียวเท่านั้น"  เสด็จพ่อทรงรับตะกรุดจากหลวงพ่อศุขแล้วกรมลงกราบ  ตรสถามว่า"ท่านอาจารย์ ตะกรุดนี้เวลานำติดตัวไปมีห้ามอะไรบ้าง"  หลวงพ่อศุขตอบว่า "ไม่มีข้อห้ามอะไร  ทองคำตกอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำอยู่นั่นแหละ"  ต่อมาก็มีการสนทนากันอีกเล็กน้อย  หลวงพ่อก็เอาพระเครื่ององค์เล็กดำๆมาแจกบริวารของเสด็จพ่อฯแล้วก็ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เสด็จพ่อฯและบริวารทั่วทุกคน  เวลา ๑๕.๓๐ น.เศษเสด็จพ่อฯก็ขอลาเสด็จลงเรือกลับในวันนั้นเอง

นายเทียบ อุทัยเวชเล่าว่าตะกรุดสามกษัตริย์นี้  เสด็จพ่อไม่เคยเอาออกห่างจากพระองค์เลย  เคยเห็นเสด็จพ่อฯนำติดพระองค์เสมอมา  ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ตกไปอยู่กับหม่อมเจ้ารังสิยากร  ที่ทราบได้ก็เพราะเวลาก่อนเสด็จพ่อฯจะสิ้นพระชนม์  พระองค์ทรงหยิบตะกรุดสามกษัตริย์ออกจากที่คาดไว้ มอบให้แก่หม่อมและรับสั่งว่า "เอาไว้ให้เจ้าตุ่น"

ตุ่นนั้นคือ หม่อมเจ้ารังสิยากรโอรสของเสด็จพ่อฯนั่นเอง
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
RroamD
Colt 1911 Semi Auto & Single Action Only
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 205
ออฟไลน์

กระทู้: 4102



« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 04:51:11 PM »

ตั้งนะโม 3 จบ
อาราธนา คาถานี้ 3 จบ
โอม...ชุมพรจุติ อิทธิกรณังสุขโข นะโมพุทธายะ
นะมะพะธะ จะพะกะสะ มะอะอุ
พุธธะสัมมิ ธรรมมะสัมมิ สังฆะสัมมิ

แล้วอฐิษฐานขอพรครับ
ผมทำทุกวัน
ด้วยความเคารพครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 09, 2007, 04:10:36 PM โดย RroamD » บันทึกการเข้า

ปลายทางของการปะทะกันด้วยปืนคือเชิงตะกอนกับเรือนจำ
ก๊วยเจ๋ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 134
ออฟไลน์

กระทู้: 2848



« ตอบ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 04:51:37 PM »

ผมไปไหว้ทุกปีครับพอดีแฟนผมเค้าจบที่พานิชย์พระนคร สมัยก่อนเป็นวังของท่านนะครับ เห็นเค้าเรียกวัน  อาภากรนะครับ
บันทึกการเข้า

Narin CZ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 05:08:54 PM »

เรียนถามคุณ watt ว่าทำไม่เวลาที่คนไปถวายความเคารพอนุสาวรีย์ของพระองค์ท่านถึงต้องยิงปืนถวายท่านด้วย (ไปเห็นมาที่ปากน้ำชุมพร) เหมือนๆกับศาลพระวอที่ จ.ตาก มีเหตุผลที่มาที่ไปไหมครับ...
บันทึกการเข้า
แจ็ค
"กำบ่มีอย่าไปอู้...กำบ่ฮู้อย่าได้จ๋า"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 461
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 7529


« ตอบ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 05:32:47 PM »

...... ต้องกราบขอบพระคุณท่าน 51 เป็นอย่างสูงครับผม  ที่ช่วยชี้แนะ  ผมไม่ทราบจริง ๆ ครับท่าน แต่ก็ได้แก้ไขแล้วนะครับ  ว่าแต่พอแก้แล้วในกระทู้อื่น ๆ ก็ไม่เห็นเปลี่ยนเลย หรือว่าผมทำผิดขั้นตอน .....  เกี่ยวกับเรื่องที่ได้ประสบพบอะไรที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านนั้น  เรื่องแบบนี้ก็แล้วแต่ความศรัทธาและความเชื่อ  ในส่วนของกระผมนั้นคงมีเรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังได้ก็ประมาณ 2 - 3 เรื่องนะครับผม  ทั้งนี้และทั้งนั้น  เป็นการเทิดทูนประกาศศักดาเกียรติยศของพระองค์ท่านให้ขจรขจายไปทั่ว  พร้อมกับบูชาศรัทธาเป็นที่สุด .......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2007, 05:43:26 PM โดย แจ็ค » บันทึกการเข้า

... เมื่อความกลัวถึงขีดสุด  มันจะเกิดเป็นความกล้าที่บ้าบิ่น ...
แจ็ค
"กำบ่มีอย่าไปอู้...กำบ่ฮู้อย่าได้จ๋า"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 461
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 7529


« ตอบ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 05:42:33 PM »

...... เริ่มจากพื้นเพกระผมเป็นคนสิงห์บุรีแต่กำเนิด  ก็พอที่จะทราบชีวประวัติขององค์หลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า จ. ชัยนาท  ในประวัติของพระองค์ท่านนั้นก็จะมีเรื่องที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านอาภากร  ในประวัติขององค์เสด็จพ่อรัชการลที่ 5 ก็จะมีเรื่องของพระองค์ท่านอาภากรเข้ามาเกี่ยวด้วยเสมอ  ทำให้อยากรู้อยากทราบประวัติความเป็นมาตั้งแต่ครั้งกระนั้น  เมื่อเริ่มรู้จักก็จะพบท่านบ่อย  โดยพบจากการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ก็จะเห็นศาลของพระองค์ท่าน  เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ก็จะจอดรถแวะพักแล้วเข้าไปนมัสการพระองค์ท่านเป็นประจำ  เลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทั้งบ้านเลยมีความเลื่อมใสในพระองค์ท่าน  และทุกคนในบ้านก็ได้พบกับเรื่องที่กระผมจะค่อย ๆ ทยอยพิมพ์ลงไปตามความเหมาะสมและความสะดวกครับ ......
บันทึกการเข้า

... เมื่อความกลัวถึงขีดสุด  มันจะเกิดเป็นความกล้าที่บ้าบิ่น ...
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2007, 06:37:26 PM »

เรียนถามคุณ watt ว่าทำไม่เวลาที่คนไปถวายความเคารพอนุสาวรีย์ของพระองค์ท่านถึงต้องยิงปืนถวายท่านด้วย (ไปเห็นมาที่ปากน้ำชุมพร) เหมือนๆกับศาลพระวอที่ จ.ตาก มีเหตุผลที่มาที่ไปไหมครับ...


ทรงเครื่องแบบนักเรียนทำการนายเรือ เมื่อมาเฝ้าสมเด็จพระชนกนาถ
ที่เมืองเบงกอล พ.ศ.๒๔๔๐


ทรงเครื่องแบบราชนาวีอังกฤษ


กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์
เมื่อทรงพระยศพลเรือตรี

 Smiley อันนี้ผมไม่ทราบที่มาจริงๆครับ คงต้องรอเพื่อนๆมาบอกกล่าวให้ทราบ แต่ผมมีเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ว่าทรงรักลูกน้องสมดังชายชาติทหาร ลองอ่านดูครับ

ที่มาจากเว็บไซท์ของกองทัพเรือ
พระประวัติ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

ทรงถูกปลดออกจากราชการ

ครั้นถึงวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้พระองค์ ออกจากราชการอยู่ ชั่วระยะหนึ่ง รวมเวลาที่เสด็จในกรมฯ ทรงรับราชการครั้งแรก ๑๑ ปี
     สาเหตุที่ออก ก็เพราะว่ามีพวกทหารเรือไปเที่ยว พบกับทหารมหาดเล็ก เกิดเรื่องวิวาท กันขึ้น เรื่องทราบไปถึง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เข้า ทรงไม่พอพระทัย รับสั่งให้เจ้าคุณรามราฆพ ไปทูลเสด็จในกรมฯ ให้ส่งทหารเรือที่วิวาทกับ ทหารมหาดเล็กไปให้ ท่านไม่ยอมส่งให้ ได้ให้ทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า เป็นเรื่องของคนวิวาทกัน ซึ่งจะว่าข้างใดเป็นผู้ผิดไม่ได้ และท่านก็รักทหารเรือ ของท่านเหมือนกับลูก ท่านไม่เคยส่งลูกไปให้ใครเขาเฆี่ยนตี ถ้าจะตีก็จะตีเสียเอง พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วรับสั่งว่า ถ้าท่านไม่ส่งไปให้ก็ต้องให้ออก เพราะว่าทำงานร่วมกันไม่ได้ เสด็จในกรมฯ จึงต้องออกจากราชการในคราวนั้น

     นอกจากนั้นในตอนฝึกเสือป่า ก็มีเรื่องไม่เป็นที่พอพระทัย คือซ้อมรบมีกันหลายฝ่าย พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงซ้อมรบด้วยหลายครั้ง ปรากฏว่าฝ่ายลูกน้อง เสด็จในกรมฯ ไปจับเอาพระเจ้าอยู่หัว และองครักษ์มาโดยไม่ทราบว่าเป็น พระเจ้าอยู่หัว แล้วมาทูลเสด็จในกรมฯ ว่าตนได้จับฝ่ายตรงข้ามได้สองคนเข้าใจว่าจะเป็นคนสำคัญ เสด็จในกรมฯ ได้แอบดูก็รู้ว่าเป็น พระเจ้าอยู่หัว จึงรับสั่งให้ปล่อยไป โดยให้ลูกน้องของพระองค์ แกล้งลืมกุญแจไว้ เพราะถ้าปล่อยโดยตรง รัชกาลที่ ๖ ก็จะไม่โปรดอีก จะกริ้วเอาเปล่าๆ จะหาว่าเสด็จในกรมฯ ทรงแกล้งแพ้

     ในระยะนั้นมีข่าวลือว่า เสด็จในกรมฯ ทรงคิดจะขบถ หากสำเร็จจะยกให้ กรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และเสด็จในกรมฯ จะเป็นวังหน้า เนื่องจากเสด็จในกรมฯ และกรมพระนครสวรรค์ เป็นพี่น้องที่รักกันมาก เพราะถูกอัธยาศัยกัน อีกทั้งฝ่ายมารดาก็ต่างเป็น คนในตระกูลบุนนาคด้วยกัน คนเป็นจำนวนมาก จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง กรมพระนครสวรรค์ฯ เอง ก็ทรงเสียพระทัยมาก คิดจะกราบถวายบังคมลาออกจากราชการอยู่หลายครั้ง แต่มีคนทูลอ้อนวอน ไม่ให้ออกก็เลยอ่อนพระทัยระงับการลาออก
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
หน้า: [1] 2 3 4 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.106 วินาที กับ 21 คำสั่ง