ชาวอาวุธปืนมาถ่ายภาพกันเถอะ

[yod - รักในหลวง ครับ]

PL ที่เรารู้จักกันว่าคือPLธรรมดา ความจริงแล้วชื่อเรียกจริงๆคือ Linear polarizing filter ส่วนที่เรียกว่า C-PL ชื่อเต็มๆคือ Circular polarizing filter หากแปลตามตัวก็สามารถบ่งบอกความหมายของแต่ละชนิดได้อยู่แล้วครับ
ฟิลเตอร์linear กรองแสงเข้าสู่กล้องเป็นแนวระนาบเดี่ยว
ส่วนC-PLจะกรองแสงเข้าสู่กล้องเป็นเกลียวหมุนวน

ทำไมต้องทำออกมาเป็นสองแบบแล้วเราควรจะเลือกใช้แบบไหน?
คำตอบคือ การเลือกควรจะดูที่ตัวกล้องเป็นหลัก ปัจจุบันกล้องทุกรุ่นที่เป็นระบบ autofocus ทั้งที่เป็นกล้องฟิลม์และกล้องดิจิตอลต่างก็ใช้กระจกสะท้อนภาพที่เรียกว่า semi-silver mirror ทั้งสิ้น ซึ่งกระจกแบบนี้จะไม่สามารถใช้กับฟิลเตอร์ PL แบบธรรมดาได้ ต้องใช้C-PLเท่านั้น เนื่องจากแสงที่ผ่านกระจกไปนั้นจะกลายเป็นแสงระนาบเดี่ยวคล้ายกับการใช้ PL ดังนั้นเมื่อใช้PLแบบธรรมดา แสงระนาบเดี่ยวที่ผ่านPLมาแล้วอาจเป็นคนละระนาบกับที่กระจกสะท้อนภาพ ผลก็คือมันไม่สามารถผ่านไปยังเซลวัดแสงซึ่งวางอยู่หลังกระจกสะท้อนภาพได้อย่างสมบูรณ์

หากใช้ผิดประเภทผลจะออกมาเป็นแบบใด?
คำตอบคือ ผลจะเกิดเฉพาะกับระบบวัดแสง ระบบวัดแสงกล้องจะอ่านแสงได้น้อยกว่าความเป็นจริง จึงทำการชดเชยแสงให้เองส่งผลให้ภาพที่ได้overเกินความจริง การตัดสินใจว่าควรจะซื้อPLแบบใด ก็ควรจะดูที่ความต้องการของกล้องเป็นหลัก เช่น ถ้าคุณใช้กล้องmanualพวก Nikon Fm,Fm2,Fm3a Pentax K1000 ฯลฯ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเงินเกินความจำเป็น เพราะระบบต้องการแค่ PL ธรรมดา แต่หากคุณมีเงินพอจะซื้อ C-PL ไปเลยก็ซื้อเถอะครับเพราะว่า C-PL มีคุณสมบัติครอบคลุมทุกด้านอยู่แล้ว

เขาว่ากันมา นะ เจ๊

[เบิ้ม]

PL ที่เรารู้จักกันว่าคือPLธรรมดา ความจริงแล้วชื่อเรียกจริงๆคือ Linear polarizing filter ส่วนที่เรียกว่า C-PL ชื่อเต็มๆคือ Circular polarizing filter หากแปลตามตัวก็สามารถบ่งบอกความหมายของแต่ละชนิดได้อยู่แล้วครับ
ฟิลเตอร์linear กรองแสงเข้าสู่กล้องเป็นแนวระนาบเดี่ยว
ส่วนC-PLจะกรองแสงเข้าสู่กล้องเป็นเกลียวหมุนวน

ทำไมต้องทำออกมาเป็นสองแบบแล้วเราควรจะเลือกใช้แบบไหน?
คำตอบคือ การเลือกควรจะดูที่ตัวกล้องเป็นหลัก ปัจจุบันกล้องทุกรุ่นที่เป็นระบบ autofocus ทั้งที่เป็นกล้องฟิลม์และกล้องดิจิตอลต่างก็ใช้กระจกสะท้อนภาพที่เรียกว่า semi-silver mirror ทั้งสิ้น ซึ่งกระจกแบบนี้จะไม่สามารถใช้กับฟิลเตอร์ PL แบบธรรมดาได้ ต้องใช้C-PLเท่านั้น เนื่องจากแสงที่ผ่านกระจกไปนั้นจะกลายเป็นแสงระนาบเดี่ยวคล้ายกับการใช้ PL ดังนั้นเมื่อใช้PLแบบธรรมดา แสงระนาบเดี่ยวที่ผ่านPLมาแล้วอาจเป็นคนละระนาบกับที่กระจกสะท้อนภาพ ผลก็คือมันไม่สามารถผ่านไปยังเซลวัดแสงซึ่งวางอยู่หลังกระจกสะท้อนภาพได้อย่างสมบูรณ์

หากใช้ผิดประเภทผลจะออกมาเป็นแบบใด?
คำตอบคือ ผลจะเกิดเฉพาะกับระบบวัดแสง ระบบวัดแสงกล้องจะอ่านแสงได้น้อยกว่าความเป็นจริง จึงทำการชดเชยแสงให้เองส่งผลให้ภาพที่ได้overเกินความจริง การตัดสินใจว่าควรจะซื้อPLแบบใด ก็ควรจะดูที่ความต้องการของกล้องเป็นหลัก เช่น ถ้าคุณใช้กล้องmanualพวก Nikon Fm,Fm2,Fm3a Pentax K1000 ฯลฯ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเงินเกินความจำเป็น เพราะระบบต้องการแค่ PL ธรรมดา แต่หากคุณมีเงินพอจะซื้อ C-PL ไปเลยก็ซื้อเถอะครับเพราะว่า C-PL มีคุณสมบัติครอบคลุมทุกด้านอยู่แล้ว

เขาว่ากันมา นะ เจ๊

รู้ไว้ก่อนเสียตังค์  +

[ozero++รักในหลวงมากค่ะ++]

ขอบคุณค่ะพี่ยอด

[K@RN # รักในหลวง]

ขอลอง TESTกล้อง FUJI S100FS บ้าง ครับ

[ozero++รักในหลวงมากค่ะ++]

งามค่ะ

[เบิ้ม]

ขอลอง TESTกล้อง FUJI S100FS บ้าง ครับ

ภาพสวยคมกริบเลยครับ มือนิ่งมั่กๆ 

[Boatski]

ขอลอง TESTกล้อง FUJI S100FS บ้าง ครับ

ภาพสวยมากเลยครับ ทั้งแสง สี เสียง(?) ตามความรู้สึกของผม ผมว่ามันดูลงตัวมากๆ

[Boatski]

ว่างๆเลยถ่ายต้นกระบองเพชรดูครับ

ต้นแรก คนขายเรียกต้นนี้ว่า "หนูน้อยหมวกแดง"



ต้นนี้ชื่อ".....                        อะไรหว่า??

[K@RN # รักในหลวง]

ขอลอง TESTกล้อง FUJI S100FS บ้าง ครับ

ภาพสวยมากเลยครับ ทั้งแสง สี เสียง(?) ตามความรู้สึกของผม ผมว่ามันดูลงตัวมากๆ

ไม่ยากครับผมว่าทุกคนก็ทำได้ครับถ้ามีใจรักในการถ่ายภาพ ไม่มีอะไรยากครับ
ขั้นตอนในการถ่ายของผมมีดังนี้เลยครับ
1. BACK GROUND  ที่เป็นด้านหลังนั้นที่เป็นสีดำผมใช้ เสื้อยืดที่สีดำสนิท 1 ตัว ครับ
2. ผม เปิดไฟที่เป็นแสงสีส้ม อยู่บนเหนือศีรษะผมประมาณ 1 เมตร
3. จากนั้นประกอบกล้อง DIGITAL เข้า กับขาตั้งกล้อง
4. จัดวางองค์ประกอบ ไม่ซ้ายไม่ขวา ให้วัตถุที่เราจะถ่ายอยู่ตรงกลาง อย่าให้ส่วนใดของวัตถุที่เราจะถ่ายขาดหาย
5. ปรับเข้า MODE A ของกล้อง DIGITAL ทั่วไปที่สามารถปรับได้ ปรับไปที่รูรับแสงที่กว้างที่สุด
6. จากนั้น ตั้งระบบ ถ่ายภาพอัตโนมัติ ไปที่ 2 วินาที ให้กล้องถ่ายภาพเอง กันการเคลื่อนไหวของภาพ
7. จากนั้นก็ได้เป็นภาพออกมาเป็นแบบนี้แหละครับ ไม่ยากครับลองทำกันได้ทุกท่านครับ มีแค่นี้จริง ๆ
8. อยากได้ภาพที่ สว่างมากน้อย ก็ปรับ ภาพ OVER หรือ UNDER ได้ตามใจชอบเลยครับ
ปล.ล. ผมไม่มีความรู้ในการถ่ายภาพหรอกครับ แต่ถ่ายจากความรู้สึกครับ มีดีบ้างเสียบ้างปน ๆ กันไป ครับ

[K@RN # รักในหลวง]

  เรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ครับ 


UNDER 2 STOP


OVER 2 STOP

[cht.]

ขอถามอะไรหน่อย (อีกแล้วครับ)

คือผมแต่งภาพโดยเอารูปถ่ายหลายๆรูปมารวมกันโดย Photoshop แล้วกะจะปรินท์ลงบนกระดาษสำหรับพิมพ์ภาพ ขนาด A4 ให้เต็มแผ่นน่ะครับ เรื่องของเรื่องคือจะใช้ไฟล์นามสกุลอะไรดี ถึงจะได้คุณภาพแบบเต็มๆพิกเซลครับ เคยเรียนมาจำได้ว่าให้เป็นไฟล์ TIFF จะเหมาะกับงานพิมพ์ที่สุด แต่ก็ยังอดสงสัยว่าไฟล์ TIFF กับไฟล์ PSD ของ Photoshop เอง อันไหนพิมพ์แล้วจะได้ผลที่ดีกว่ากันครับ

ปล. ปรินท์เองครับผม

ขอบคุณมากครับ

คุณบาร์ทซีเรียสขนาดไหนครับ สีต้องตรงเป๊ะเลยหรือเปล่าครับ หรือสนุกๆ เพราะ colour management ของจอ และ printer มันไม่เหมือนกัน แล้วมันขึ้นอยู่กับ profile ของภาพนั้นๆ ด้วยครับ (หมายเหตุ ผมเองก็ไม่ค่อยซีเรียส และไม่ค่อยจะพิมพ์ออกมาดูเท่าไหร่  )

[บาร์ท รักในหลวง]

ขอถามอะไรหน่อย (อีกแล้วครับ)

คือผมแต่งภาพโดยเอารูปถ่ายหลายๆรูปมารวมกันโดย Photoshop แล้วกะจะปรินท์ลงบนกระดาษสำหรับพิมพ์ภาพ ขนาด A4 ให้เต็มแผ่นน่ะครับ เรื่องของเรื่องคือจะใช้ไฟล์นามสกุลอะไรดี ถึงจะได้คุณภาพแบบเต็มๆพิกเซลครับ เคยเรียนมาจำได้ว่าให้เป็นไฟล์ TIFF จะเหมาะกับงานพิมพ์ที่สุด แต่ก็ยังอดสงสัยว่าไฟล์ TIFF กับไฟล์ PSD ของ Photoshop เอง อันไหนพิมพ์แล้วจะได้ผลที่ดีกว่ากันครับ

ปล. ปรินท์เองครับผม

ขอบคุณมากครับ

คุณบาร์ทซีเรียสขนาดไหนครับ สีต้องตรงเป๊ะเลยหรือเปล่าครับ หรือสนุกๆ เพราะ colour management ของจอ และ printer มันไม่เหมือนกัน แล้วมันขึ้นอยู่กับ profile ของภาพนั้นๆ ด้วยครับ (หมายเหตุ ผมเองก็ไม่ค่อยซีเรียส และไม่ค่อยจะพิมพ์ออกมาดูเท่าไหร่  )

จริงๆแล้วก็ซีเรียสค่อนข้างมากครับ ผมลองปรินท์ออกมาหลายต่อหลายภาพ บอกตรงๆเลยว่าสิ่งที่เห็นบนจอและสิ่งที่มันออกมาบนกระดาษมันที่ใช้พิมพ์ภาพ มันต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ ด้วยเหตุนี้มันก็เลยทำให้ผมเปลืองหมึกพิมพ์ คือผมพิมพ์ภาพโดยใช้ความละเอียดต่ำสุดๆ พิมพ์ลงบน A4 ธรรมดาก่อน เพื่อเป็นการประหยัดหมึก เพื่อที่จะดูว่าสีของภาพออกมาถูกใจหรือเปล่า ถ้าถูกใจผมก็ปรับไปใช้คุณภาพสูงสุด พิมพ์ลงกระดาษจริงอีกทีครับ

ผมคิดว่าพิมพ์เองน่าจะดีกว่าไปจ้างพิมพ์ เพราะบางทีอย่างถ้าเกิดปัญหาเช่นความมืด-สว่างของภาพมันไม่พอดีกับที่เราต้องการ เราแก้ได้เลย ถ้าไปจ้างพิมพ์ร้านก็คงปัดความรับผิดชอบ ผมก็เลยต้องใช้วิธีนี้แหละ ยอมเปลืองหมึกจำนวนน้อยก่อน ถ้าพอใจก็ค่อยใช้คุณภาพการพิมพ์ที่ดีที่สุดแล้วพิมพ์จริงอีกทีครับ น่าจะสิ้นเปลืองน้อยกว่าจ้างพิมพ์อยู่เยอะเลย

ที่ผมต้องการคุณภาพที่แน่นอนจริงๆก็เพราะว่าผมตั้งใจจะรวบรวมรูปภาพบางรูปที่ผมชอบมากที่สุด เอามาพิมพ์ ทำ Portfolio ส่วนตัวครับ ก็เลยต้องเน้นคุณภาพอย่างมากครับ

[Boatski]

ไม่ยากครับผมว่าทุกคนก็ทำได้ครับถ้ามีใจรักในการถ่ายภาพ ไม่มีอะไรยากครับ
ขั้นตอนในการถ่ายของผมมีดังนี้เลยครับ
1. BACK GROUND  ที่เป็นด้านหลังนั้นที่เป็นสีดำผมใช้ เสื้อยืดที่สีดำสนิท 1 ตัว ครับ
2. ผม เปิดไฟที่เป็นแสงสีส้ม อยู่บนเหนือศีรษะผมประมาณ 1 เมตร
3. จากนั้นประกอบกล้อง DIGITAL เข้า กับขาตั้งกล้อง
4. จัดวางองค์ประกอบ ไม่ซ้ายไม่ขวา ให้วัตถุที่เราจะถ่ายอยู่ตรงกลาง อย่าให้ส่วนใดของวัตถุที่เราจะถ่ายขาดหาย
5. ปรับเข้า MODE A ของกล้อง DIGITAL ทั่วไปที่สามารถปรับได้ ปรับไปที่รูรับแสงที่กว้างที่สุด
6. จากนั้น ตั้งระบบ ถ่ายภาพอัตโนมัติ ไปที่ 2 วินาที ให้กล้องถ่ายภาพเอง กันการเคลื่อนไหวของภาพ
7. จากนั้นก็ได้เป็นภาพออกมาเป็นแบบนี้แหละครับ ไม่ยากครับลองทำกันได้ทุกท่านครับ มีแค่นี้จริง ๆ
8. อยากได้ภาพที่ สว่างมากน้อย ก็ปรับ ภาพ OVER หรือ UNDER ได้ตามใจชอบเลยครับ
ปล.ล. ผมไม่มีความรู้ในการถ่ายภาพหรอกครับ แต่ถ่ายจากความรู้สึกครับ มีดีบ้างเสียบ้างปน ๆ กันไป ครับ

ขอบคุณครับ ว่างๆเดี๋ยวจะลองไปถ่ายดูครับ แต่ปืนเป็นรมดำ ไม่รู้จะสวยเท่าสแตนเลสหรือเปล่า 

ผมคิดว่าพิมพ์เองน่าจะดีกว่าไปจ้างพิมพ์ เพราะบางทีอย่างถ้าเกิดปัญหาเช่นความมืด-สว่างของภาพมันไม่พอดีกับที่เราต้องการ เราแก้ได้เลย ถ้าไปจ้างพิมพ์ร้านก็คงปัดความรับผิดชอบ ผมก็เลยต้องใช้วิธีนี้แหละ ยอมเปลืองหมึกจำนวนน้อยก่อน ถ้าพอใจก็ค่อยใช้คุณภาพการพิมพ์ที่ดีที่สุดแล้วพิมพ์จริงอีกทีครับ น่าจะสิ้นเปลืองน้อยกว่าจ้างพิมพ์อยู่เยอะเลย

ผมเอารูปไปอัดมา เป็นภาพถ่ายตอนเช้ามืด เห็นเงามืดของภูเขาและมีแสงเล็กน้อย ทางร้านเล่นเอาไปปรับความสว่างเองเฉยเลย จากมืดๆ กลายเป็นสว่างยังกะตอนหกโมงเย็น ภาพสวยๆของผมเลยกลายเป็นภาพอะไรก็ไม่รู้ 
วันหลังมาผมจะไม่ไปอัดรูปร้านนั้นอีกเลย 

[บาร์ท รักในหลวง]

ผมเอารูปไปอัดมา เป็นภาพถ่ายตอนเช้ามืด เห็นเงามืดของภูเขาและมีแสงเล็กน้อย ทางร้านเล่นเอาไปปรับความสว่างเองเฉยเลย จากมืดๆ กลายเป็นสว่างยังกะตอนหกโมงเย็น ภาพสวยๆของผมเลยกลายเป็นภาพอะไรก็ไม่รู้ 
วันหลังมาผมจะไม่ไปอัดรูปร้านนั้นอีกเลย 

นี่แหละครับ ผมถึงทำเอง กลัวร้านทำออกมาได้ได้ดังใจ เพราะเค้าไม่รับผิดชอบตามความต้องการอยู่แล้ว เค้าทำแค่ให้งานเสร็จ ทำเองดีกว่า คิดแล้วถึงจะแพงหน่อย แต่ก็ยังประหยัดและไม่หัวเสียด้วยครับ

[cht.]

จริงๆแล้วก็ซีเรียสค่อนข้างมากครับ ผมลองปรินท์ออกมาหลายต่อหลายภาพ บอกตรงๆเลยว่าสิ่งที่เห็นบนจอและสิ่งที่มันออกมาบนกระดาษมันที่ใช้พิมพ์ภาพ มันต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ ด้วยเหตุนี้มันก็เลยทำให้ผมเปลืองหมึกพิมพ์ คือผมพิมพ์ภาพโดยใช้ความละเอียดต่ำสุดๆ พิมพ์ลงบน A4 ธรรมดาก่อน เพื่อเป็นการประหยัดหมึก เพื่อที่จะดูว่าสีของภาพออกมาถูกใจหรือเปล่า ถ้าถูกใจผมก็ปรับไปใช้คุณภาพสูงสุด พิมพ์ลงกระดาษจริงอีกทีครับ

ผมคิดว่าพิมพ์เองน่าจะดีกว่าไปจ้างพิมพ์ เพราะบางทีอย่างถ้าเกิดปัญหาเช่นความมืด-สว่างของภาพมันไม่พอดีกับที่เราต้องการ เราแก้ได้เลย ถ้าไปจ้างพิมพ์ร้านก็คงปัดความรับผิดชอบ ผมก็เลยต้องใช้วิธีนี้แหละ ยอมเปลืองหมึกจำนวนน้อยก่อน ถ้าพอใจก็ค่อยใช้คุณภาพการพิมพ์ที่ดีที่สุดแล้วพิมพ์จริงอีกทีครับ น่าจะสิ้นเปลืองน้อยกว่าจ้างพิมพ์อยู่เยอะเลย

ที่ผมต้องการคุณภาพที่แน่นอนจริงๆก็เพราะว่าผมตั้งใจจะรวบรวมรูปภาพบางรูปที่ผมชอบมากที่สุด เอามาพิมพ์ ทำ Portfolio ส่วนตัวครับ ก็เลยต้องเน้นคุณภาพอย่างมากครับ

  แบบนี้มีเรื่องให้เสียตังค์แน่นอนครับ อย่างแรกก่อนโพรเซสภาพนั้นจะต้องตั้งค่าต่างๆ ของจอให้ตรงหรือที่เรียกว่า calibrate ใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์จะเที่ยงตรงกว่าฃอร์ฟแวร์ ผมแนะนำ Spyder3 ราคาไม่แน่ใจเพราะผมยืมมา (แต่เราต้องทำประจำทุกเดือนนะครับ) ที่สำคัญคุณสมบัติจอนั้นไม่ผิดเพี้ยนมาก ถ้าเราจริงจังมากกับการโพรเซสภาพมีเวิร์คโฟร์วงานจริงจังจอเป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง จอเทพคือ EIZO รองลงมาเป็นของ Apple (Apple cinema display) ที่ทำ calibrate มาแล้วจากโรงงาน เมื่อก่อน Apple ให้ ADC ทำ OEM ให้ปัจจุบันไม่แน่ใจครับ เคยได้ยินว่าปัจจุบันใช้บริการ Dell จริงเท็จแค่ไหนก็ต้องลองคนคว้าดูครับ ว่าด้วยเรื่องจอมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะครับ เช่น ประเภทจอ ค่า whitepoint ฯลฯ จอในการทำงานประเภทนี้จึงแตกต่างจากจอดูหนังที่ต้องสว่างๆ เร็วๆ 

จากนั้นที่ปรินเตอร์เราก็เข้าไปหาโพรไฟล์รุ่นที่เราจะใช้จากเว็บของแต่ละยิี่ห้อ เช่น Epson ส่วนมากจะมีพร้อมกับกระดาษที่ใช้ กระดาษแต่ละอย่างมันดูดซึมสีต่างกัน มีคนแนะนำกระดาษของ Epson รุ่น velvet fine art เพราะมีโพรไฟล์ให้ในเว็บ แต่ผมก็ยังไม่เคยลองนะครับ

สุดท้ายกลับมาที่ภาพของเราผมจะบอกว่าให้ sharpen นั้นแต่ละรูปเวลาพิมพ์ออกมาไม่เหมือนกันในจอเห็นคมชัด แต่พิมพ์แล้วจะดูไม่ชัดเราจะต้องลองปรับ โดยปกติแนะนำภาพที่จะพิมพ์ต้อง sharpen สูงๆ ไว้ก่อน ซึ่งภาพจากจอจะดูค่อนข้างน่าเกลียดเพราะเนื่องจากว่าโดยส่วนมากปรินเตอร์มีความสามารถในการแสดงค่าสีได้ไม่เท่ากับจอ จากนั้นก็มาที่ Protoshop ของเราต้องสร้าง working space ให้เหมาะสมก่อน ส่วนมากแนะนำให้ใช้ Adobe RGB (1998) เพราะเป็น working space ที่เหมาะสมสำหรับงานที่ต้องการนำไปพิมพ์ ซึ่งมีช่วงสีที่ครอบคลุมการทำงานที่หลากหลาย ไปที่เมนู edit->Color Settings เลือก Adobe RGB (1998) สำหรับค่า CMYK Working Space ขึ้นอยู่กับโรงพิมพ์นั้นๆ ข้อนี้ข้ามไป เลือกค่า Gray และ Spot เป็น Dot Grain 20% เพื่อกำหนดระดับความเข้มของสีดำและหมึกสีพิเศษที่เหมาะสม เลือก Preserve Embedded Profiles ให้กับโหมดสี RGB, CMYK และGray สำหรับ Color Management Policies เพื่อคงให้โพรไฟล์ต้นทางของภาพไว้เมื่อเปิดใช้งานใน Photoshop เพราะบางครั้งผมเองเซ็ตกล้องเป็น sRGB มาก็เพราะต้องการใช้ ดังนั้นเวลาที่บันทึกภาพควรคลิกเครื่องหมายถูกหน้า ICC Profile ไว้ด้วยเพื่อแนบโพรไฟล์สีติดไปกับภาพเพราะเปิดภาพที่ไม่มีโพรไฟล์สีและต้องกำหนดเองอาจทำให้เกิดปัญหาสีเพืี้ยนได้ เอาคร่าวๆ ก่อนนะครับผมว่าคุณบาร์ทอาจจะพอทราบบ้างถือว่าแลกเปลี่ยนกันเพราะผมเองก็ไม่ค่อยได้พิมพ์ภาพออกมาเท่าไหร่ ลองหาข้อมูลเรื่อง Color  Management System (CMS) ดูนะครับ สำหรับเรื่องอื่นๆ เช่น Gamut , CMYK เพราะถ้าซีเรียสเรื่องพิมพ์ต้องจัดการระบบสีบนอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องครับ