ที่ผมทักท้วงเรื่อง "ความเห็นส่วนตัว" ก็เพราะว่า
ตามปกติแล้ว คนที่เขาจะออกตัวว่า "กำลังให้ความเห็นในฐานะส่วนตัว"
เขามักจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ นายกสมาคม ประธานบริษัท ซึ่งอาจจะถูกมองว่ากำลังออกความเห็นในนามองค์กร
คนที่ไม่มีสิทธิออกความเห็นในฐานะผู้แทนองค์กร อย่างเช่นตัวผมเอง จะไม่ต้องออกตัวว่ากำลังให้ความเห็นในฐานะส่วนตัว เพราะยังไง ๆ ก็ไม่มีโอกาสที่จะออกความเห็นในฐานะอื่น ๆ อยู่แล้ว การออกตัวว่า "กำลังให้ความเห็นในฐานะส่วนตัว" รังแต่จะทำให้คนอื่นคิดว่า พยายามอวดอ้างว่าตนเองมีความสำคัญ สามารถออกความเห็นต่อสาธารณชนได้ในหลายสถานภาพ
และควรจะมองโลกอย่างที่เป็นอยู่จริง ๆ บ้าง
คุณซื้อซีแซด 75 จากร้านปืน แล้วต่อมาถูกจับว่าซองกระสุนบรรจุได้ 16 นัด
คุณจะมีปัญญาพิสูจน์ได้หรือว่า นายทะเบียน ฯ ออกใบ ป.4 ให้คุณในสภาพนั้น
ร้านปืน + นายทะเบียนฯ + ศุลกากร จะพร้อมใจกันให้การว่าเมื่อปืนกระบอกนี้ผ่านมือเขาไปนั้น ได้ตรวจสอบแล้วว่าซองกระสุนบรรจุได้ไม่เกิน 10 นัด
ด้วยความเคารพครับ ท่านผู้การ ฯ
ตัวอย่างที่ยกมา เกี่ยวกับปืน ซีแซด 75 และ ซองกระสุน
ผมเชื่อว่า เป็นผู้นำเข้าถึงจะผิด ส่วนผู้ครอบครองไม่ผิด
ถ้าจะว่าผมเป็นผู้นำเข้า ผู้กล่าวต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์
ไม่ใช่รือครับ ( เว้นแต่เกี่ยวกับ กฎมาย ศุลกากร )
หลงประเด็นไปแล้ว
การแก้ปัญหา ต้องเปิดใจ มองปัญหาแบบตรงไปตรงมา ไม่ใช่ไปปักใจอยู่ที่ที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง และถึงหาเหตุผลมาสนับสนุน ถ้าเจอคนแบบคุณในที่สัมมนา ผมจะหลอกให้วนอยู่กับวังวนที่ตัวเองตั้งขึ้นมา พอเข้ามุมแล้วค่อยทุบให้น่วม
ข้อหาที่ตั้งคือ "มีส่วนของอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตไม่ได้"
ถ้าจะมาเถียงผมเรื่องชื่อ "ใบอนุญาตให้มีและใช้" ก็ขอให้ไปอ่านฎีกาอาวุธปืน ปี 45 ให้ครบเสียก่อน
การโต้แย้งเอาชนะคะคานในปัญหาข้อกฎหมายเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้สติปัญญาแตกฉาน แต่ควรจะทำเฉพาะในหมู่นักกฎหมายเท่านั้น การนำมาพูดในที่สาธารณะ มีผลเสียตรงที่คนที่ไม่ใช่นักกฎหมาย จะเลือกหยิบไปใช้เฉพาะส่วนที่ตัวเองพึงพอใจ และเกิดปัญหาในกับตนเองในภายหลัง
เป็นกระทู้ที่น่าเบื่อมาก
สพป.ได้รับคำขอให้ช่วยดูแลผู้ทที่เดือดร้อน ถูกจับกุมเรื่องซองกระสุนเกิน 10 นัดหลายราย
สพป.ลงทุน ลงแรงไปมากมาย เพื่อให้เกิดการแก้ไขกฎกระทรวง คนสิบกว่าคน ได้ใช้เวลานานถึง 2 ปี กว่าที่กรมการปกครองจะยอมรับความเป็นตัวตนของ สพป. จากนั้นก็วางหมากกล เพื่อให้เกิดวัวพันหลัก ทำให้กรมการปกครอง ต้องจำใจยอมเริ่มต้นแก้ไขกฎกระทรวงเรื่องซองกระสุน 10 นัด
แต่กลับมีคนออกมาพยายามโต้แย้งว่ากฎกระทรวงที่มีอยู่ไม่มีสภาพบังคับตามกฎหมาย
บอกให้ไปอ่านฎีกา ปี 45 ก็ไม่สนใจ ศาลฎีกาวางหลักไว้ว่าชื่อของใบอนุญาตไม่สำคัญ ประเด็นอยู่ที่เจตนารมณ์ของกฎหมาย และการตีความกฎหมาย ก็ต้องให้มีสภาพบังคับ เพื่อให้ใช้งานได้
เชือว่า ป่านนี้คณะกรรมการแก้ไขกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายที่คัดค้านว่าไม่ต้องแก้ไขกฎกระทรวงเรื่องซองกระสุน 10 นัด ก็คงจะได้ข้ออ้างว่ามีประชาชนเห็นด้วยกับฝ่ายตน
ความผิดมันอยู่ที่ตัวซองกระสุน ไม่ใช่กระสุนที่อยู่ข้างใน
และข้อหานี้ ยังเป็น "มีส่วนประกอบอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้บ่ได้" ซึ่งมีอัตราโทษตามกฎหมายรุนแรงเทียบเท่าปืน M16 เพียงแต่ศาลท่านคงไม่กำหนดโทษรุนแรงปานนั้น
ประเด็นมันไม่ใช่ ป.4 หรือตัวปืน
ในทางปฏิบัติ พงส.เขาไม่สนใจกับตัวปืน อย่างมากก็ตั้งข้อหาพกพา
แต่เขาจะตั้งข้อหาซองกระสุน ว่าเป็นชิ้นส่วนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และเขาก็ไม่สนใจว่ามันเป็นซองกระสุน อันเดียวกับที่ตรวจผ่านตอนที่ออกใบ ป.4 หรือเปล่า เรื่องเจตนา ก็ไม่ต้องนำสืบ เพราะมันเป็นของที่มีความผิดอยู่ในตัวเอง และอยู่ในความครอบครองในขณะถูกจับ
นายทะเบียนอาวุธปืน ที่มาเป็นพยานก็จะให้การว่า ในขณะตรวจปืนเพื่อออก ป.4 ได้ตรวจสอบแล้วว่าซองกระสุนที่มากับปืนบรรจุได้ 10 นัด ดีไม่ดีอาจจะบอกว่าไม่ใช่ซองกระสุนอันนี้ หรือไม่ก็ ถ้าตอนตรวจปืนเป็นซองกระสุนอันนี้ ก็ไม่ออก ป.4 ให้หรอก
อย่าเพิ่งเบื่อเลยครับพี่น้องทั้งหลาย
การถกเถียงเรื่องปัญหากฎหมาย สามารถทำได้ เพราะแต่ละมุมมอง อาจนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของกฎหมายที่ล้าหลังได้เสมอ
ก่อนอื่น...ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า กฎหมายหรือกฎกระทรวงฉบับนี้ เขียนเมื่อปี 2491 ยุคนั้น เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาใหม่ ๆ โลกเทคโนโลยีอาวุธปืนในสมัยนั้น ซองกระสุนที่มีใช้เกิน 10 นัด ส่วนมากเป็นของทางราชการหรือใช้ในการสงคราม ผู้ใช้และผู้ครอบครองคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร
ผมเคยตั้งข้อสังเกตุไว้แล้ว แต่ขอมาตั้งใหม่เมื่อมีผู้สนใจปัญหานี้ คือ กฎกระทรวงห้ามนำเข้า ซองกระสุน แต่เพียงอย่างเดียวที่บรรจุเกิน 10 นัด ไม่ห้ามนำเข้าอาวุธปืนที่สามารถบรรจุเกิน 10 นัดมาด้วย ต้องมีความหมายแน่นอน
ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานอนุญาตให้นำเข้ามาและออกใบอนุญาต สำหรับอาวุธปืนที่มีซองกระสุนเกิน 10 นัด จึงอนุญาตได้ดังที่เห็นกันทั่วไปในปัจจุบันนี้ (นั่นอาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ดูแล้ว ไม่(เห็น)มีกฎหมายห้ามไว้เช่นนั้น จริงๆ )
ปัญหาต่อมา คือว่า แล้วซองกระสุนที่มาพร้อมกับปืนดังกล่าวที่อนุญาตให้นำเข้ามาเช่นนั้น ผิดไปด้วยหรือไม่ ?
ในความเห็นของผม (ไม่เกี่ยวกับคนอื่น) คือ ซองกระสุนเป็นเครื่องอุปกรณ์ส่วนควบของอาวุธปืนนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่ง เมื่ออาวุธปืนที่สามารถบรรจุซองกระสุนมากกว่า 10 นัด ได้รับอนุญาต (ไม่มีเงื่อนไข) จากนายทะเบียนแล้ว ซองกระสุนที่มีอยู่ด้วยในขณะนั้น ย่อมได้รับการอนุญาตไปด้วยเช่นเดียวกัน (ไม่รวมซองกระสุนที่แถมมาด้วยเพราะเป็นอุปกรณ์ต่างหากจากตัวปืน)
การแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อมิให้มีปัญหาในการตีความและอาจเป็นเครื่องมือในการเรียกรับผลประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง อย่างที่ สปพ. กำลังดำเนินการอยู่ ก็สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง และขอยกมือสนับสุนนเต็มที่
ส่วนข้อต้อสู้ตามเหตุผลและข้อคิดเห็นของเพื่อนสมาชิก ย่อมสามารถนำไปอ้างอิงได้ ถ้าคิดว่าเป็นประโยชน์ ลำพังความคิดของผู้ต้องหาถูกดำเนินคดี อาจคิดหาเหตุผลได้น้อยหรือไม่อาจหาเหตุผลได้เลย เพราะไม่อยู่ในวิสัยจะทำได้โดยสถานะการณ์ที่เป็นอยู่
กระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินมาจนเป็นหลักทั่วไปแล้ว มีอยู่ว่า กฎหมายที่มีโทษอาญา ต้องตีความโดยเคร่งครัด และตีความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลย ดังนั้น ในการต่อสู้คดี คือสู้ทั้งในแง่ของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยมีเรื่องราวและเหตุผลสนับสนุนให้เชื่อได้ว่ามีน้ำหนักรับฟังได้ ว่า การกระทำไม่เป็นความผิด
อย่ากลัวการสู้คดี ถ้ามั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน
...สนับสนุนเหตุผล คุณ yakdee(ยักษ์ดี)ครับ.....
ไปยุให้สู้คดี อาจจะทำให้เขาเดือดร้อนมากขึ้นอีกก็ได้ ต้องดูข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป
ทำจริง หรือไม่ทำจริง ผิดกฎหมายเต็ม ๆ หรือ 50/50 มันก็เรื่องหนึ่ง แต่จะสู้หรือถอย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การแนะนำทางกฎหมาย โดยเฉพาะในเมืองไทย รู้แต่ทฤษฎีอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยประสบการณ์
โดยเฉพาะคู่กรณีเป็นตำรวจ หรือฝ่ายปกครอง เราก็ต้องรู้เท่าทันวิชามารทั้งหลายด้วย
ตอนนี้มีสมาชิก สพป. 2 คนที่เป็นข้าราชการ และซื้อปืนสวัสดิการบรรจุเกิน 10 นัดที่ตกลงจะไปเป็นพยานในคดีนี้ ยอมตกเป็นผู้ต้องหาเพื่อเร่งให้แก้กฎกระทรวง
ฝ่ายที่เห็นว่า ถ้าสู้คดีแล้วชนะแน่ ๆ ตกลงจะเข้ามาเล่นด้วย ไหมครับ
ที่จริงมันมีวิธีสู้อีกวิธีหนึ่ง คือสู้ว่าการครอบครองซองกระสุนเกิน 10 นัดไม่มีกฎหมายกำหนดว่าเป็นความผิด
เพราะมาตรา 55 กำหนดว่า
มาตรา ๕๕ ประเภท ชนิด และขนาดของอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้ตามมาตรา ๗ มาตรา ๒๔ หรือมาตรา ๓๘ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
และกฎกระทรวงฉบับที่ 3 เขียนว่า
ข้อ ๒ ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตสำหรับให้ทำหรือสั่งหรือนำเข้าซึ่งอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน สำหรับอาวุธปืนดังต่อไปนี้เพื่อการค้าหรือ เพื่อใช้ส่วนตัว คือ
(๑) ปืนกลทุกชนิด และทุกขนาด
(๒) ปืนเล็กสั้นแบบ ๔๗ ใช้กระสุนหัวป้านขนาด ๘ ม.ม.
(๓) ปืนเล็กสั้นแบบ ๔๗/๖๖ ใช้กระสุนหัวแหลมขนาด ๘ ม.ม.
(๔) ปืนเล็กยาวแบบ ๔๕ และ ๔๖ ใช้กระสุนหัวป้านขนาด ๘ ม.ม.
(๕) ปืนเล็กยาวแบบ ๔๕/๖๖ ใช้กระสุนหัวแหลมขนาด ๘ ม.ม.
(๖) ปืนเล็กยาวแบบ ๖๖ ใช้กระสุนหัวแหลมขนาด ๘ ม.ม.
(๗) ปืนเล็กยาวแบบ ๘๓ ใช้กระสุนหัวแหลมขนาด ๖.๕ ม.ม.
(๘) ปืนยิงเร็วหรือปืนซึ่งมีเครื่องกลไกที่บรรจุกระสุนเองให้สามารถยิงซ้ำได้ทุกขนาด รวมทั้งขนาดปืนพกซึ่งมีความยาวของลำกล้องตั้งแต่ ๑๖๐ ม.ม. ขึ้นไป เว้นแต่ปืนชนิดลำกล้องไม่มีเกลียว ซึ่งใช้ยิงสัตว์
(๙) ปืนชนิดใดที่ใช้กระสุนอย่างเดียวกันได้กับปืนที่กล่าวไว้ตั้งแต่หมายเลข (๒) ถึง (๘)
(๑๐) ปืนทุกชนิดที่สามารถส่งกระสุนซึ่งเป็นวัตถุเคมีชนิดเป็นพิษหรืออาจให้เกิดอันตราย รวมทั้งเชื้อโรค หรือเชื้อเพลิง
(๑๑) ปืนที่มีเครื่องบังคับเสียงให้เบาผิดปกติ
(๑๒) ซองกระสุนที่สามารถบรรจุกระสุนได้เกินกว่าสิบนัด เว้นแต่ซองกระสุนที่ใช้กับปืนลูกกรดขนาด.๒๒
กฎหมายแม่ เขาให้ออกกฎกระทรวงเฉพาะ ประเภท ชนิด และขนาดของอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ไม่ได้รวมไปถึงส่วนประกอบ (ซองกระสุน) ด้วย (1) ถึง (11) ก็เป็นปืนทั้งนั้น ดังนั้น (12) จึงเป็นข้อกฎหมายที่ออกมาโดยไม่มี พ.ร.บ.รองรับ (อ้อ ลืมบอกไป (12) แก้ไขเมื่อ พ.ศ.2522 กำลังหาอยู่เหมือนกันว่า กฎกระทรวงของเดิมเขียนไว้อย่างไร)
เรื่องซองกระสุนเกิน 10 นัด ตื่นเต้นกันมากเกินไปหรือเปล่าครับ
เท่าที่สอบถามมา มี พงส.ดำเนินคดีอยู่ เพียงคนเดียว คนจับ ๆ มาโดยแจ้งข้อหาพกพา แล้วเจ้าตัวก็แจ้งข้อหาเพิ่ม
มือดี ๆ ระดับทำสำนวนกรม เท่าที่สอบถามมาสิบกว่าคน ไม่มีใครคิดจะแจ้งข้อหานี้เลย
ตามอ่านความเห็นของคุณสุพินท์ แล้วพบกับสองความเห็นสุดท้าย เหมือนจะต่างกับที่คุณสุพินท์
เคยให้ความเห็นเป็นแนวทางไว้ ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป กรุณาสรุปให้หน่อยครับ
ที่ให้ความเห็นมานั้น ตกลง เป็นอย่างไรกันแน่ เพื่อสมาชิก ที่ไม่ใช่มีวิชาชีพกฎหมาย
ที่ตามอ่านมาแต่ต้น จะได้ไม่สับสน และเห็นแนวทาง เพื่อเป็นทางที่ดีสำหรับตนเองบ้าง ขอบคุณครับ