ผมอยู่โลกแคบๆรู้แค่ในวงที่ตัวเองซุกหัวอยู่
ตลอดปี2550โดยเฉลี่ยแล้วยอดขายของผู้ค้าวัสดุก่อสร้างลดลงเหนาะๆ15% แต่สาเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากสภาพเศรษฐกิจหากแต่มาจาก"การไร้ความสามารถในการปรับตัว"ของทางบ.เองมากกว่า"
-บริษัทใหญ่เครือข่ายเยอะ แต่ก็อุ้ยอ้ายอืดอาด+รายจ่ายสูงแล้วดันทะลึ่งโบ้ยค่าใช้จ่ายจากความไร้ประสิทธิภาพมาที่ผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้าสูงจนถูกชิงส่วนแบ่งตลาดไปมาก
-ขาดความสามารถในการพัฒนาสินค้าให้ทันคู่แข่ง ช่วงปี2547-2550บ.ซิเมนต์ไทยเข็นสินค้าใหม่ออกมาล้าหลังคู่แข่ง3-6เดือน กว่าสินค้าของตัวเองจะออกสู่ตลาด สินค้าใหม่ของคู่แข่งก็ครองตลาดไปเรียบร้อยแล้ว
-ด้อยความสามารถในการผลิตสินค้าป้อนตลาดให้สม่ำเสมอ สินค้าขายดีหลายชนิดขาดตลาดตลอดกาลแถมทั้งที่ผลิตป้อนให้ผู้แทนจำหน่ายของตัวเองไม่ทัน แต่กลับลัดคิวให้ฝ่ายขายของบ.ตัวเองเอาไปส่งโครงการตัดราคากับผทจ.ของตัวเองได้
การที่บ.ซิเมนต์ไทยออกมาบอกว่ากำไรลดลงแค่1%ถือว่าปากแข็ง/ให้ข้อมูลเท็จครับ....
แต่......ในขณะที่บ.ซิเมนต์ไทยนับวันจะสาละวันเตี้ยลง คู่แข่งที่เคยไม่อยู่ในสายตาเช่นบ.ปูนซิเมนต์นครหลวง/TPIกลับแข็งกล้าขึ้นมาเรื่อยๆ
**************************
ผมเอาข้อมูลของบ.ซิเมนต์ไทยมาร่ายซะยาว เพื่อยกเป็นตัวอย่างมาบอกว่า"อย่าเพิ่งท้อหรือมัวแต่นั่งบ่นกันเลยครับ" ตั้งแต่ผมจำความได้30กว่าปีที่ผ่านมาก็ได้ยินแต่คนบอกว่าเศรษฐกิจแย่ เงินเฟ้อก็แย่ เงินฝืดก็แย่ บาทแข็งก็บ่น บาทอ่อนก็เจ๊ง นอกจากยุคของพล.อ.ชาติชาย ผมไม่เคยได้ยินใครพูดว่า ตอนนี้เศรษฐกิจดี การค้าเยี่ยม ฯลฯเลย .....
ที่เจ๊งก็เจ๊งกันไปแต่ประเทศไทยก็ยังคงมีคนรวยเกิดขึ้นทุกวัน
อยู่ที่การปรับตัวมากกว่าครับ ปรับตัวไม่ได้ก็รอการล่มสลายเบาะๆก็ดักดาน ปรับตัวได้ก็รอด โทษตัวเองก่อนที่จะโทษสิ่งแวดล้อมเถิดครับ
เห็นด้วย เป็นอย่างมากครับพี่
ก่อนอื่นเราต้องวิเคราะปัจจัย ทั้งภายใน และภายนอก อย่างภายนอกเราอาจจะแก้ไขด้วยตนเองไม่ได้(ภาครัฐแก้ไป)แต่ภายในนี้เราสามารถบริหารจัดการได้ ถ้าภายในเราแข็งแกร่ง ภายนอกจะแย่อย่างไร เราก็ประคับประคองพอไปได้ครับ ยังไงเป็นกำลังใจให้พี่ๆทุกคนสู้ต่อไปครับ